บทที่ 117 วิชาประสานโจมตี

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 117 วิชาประสานโจมตี

 

“องครักษ์ จับตัวพวกมันสองคนเอาไว้!”

ซงซานเอ้อร์สงตะโกนไปยังองครักษ์ที่ยืนไกลๆ อยู่ตรงประตูเมือง

แน่นอนว่าองครักษ์ประจำประตูเมืองย่อมรู้จักผู้ดูแลที่ได้รับบรรณานาการมาของตระกูลเยี่ยน ทุกคนจึงชักกระบี่ออกมาจากฝักแล้วขวางประตูเมืองเอาไว้

ในเวลาเดียวกันยังมีคนอีกสองคนเริ่มทำหน้าที่ปิดประตูเมือง เมื่อประตูเมืองถูกปิดลงก็เท่ากับพวกเขาจนตรอกไร้หนทางหลีกหนีอย่างแท้จริง

บริเวณประตูเมืองที่มีคนจำนวนมากสัญจรเข้าออก ตอนนั้นพลันเกิดความอลหม่านขึ้น ทุกคนต่างพากันถอยหลังไปหลบข้างๆ เพราะกลัวว่าตนเองจะโดนลูกหลงไปด้วย

สีหน้าของหลัวซิวยังคงไม่แปรเปลี่ยน แต่ลู่เมิ่งเหยากลับมีสีหน้ากังวล

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็เริ่มออกแรงบีบมือของลู่เมิ่งเหยาแรงขึ้น แล้วยกเธอขึ้นไปแบกไว้ด้านหลัง

ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มตรงหน้าอกเบียดเข้ากับหลังของหลัวซิว ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว จากนั้นเธอจึงรับรู้ได้ถึงเสียงลมดังหวีดหวิวเข้ามาในหูของเธอ

หลัวซิวใช้ความเร็วเต็มที่ เขาเคลื่อนผ่านสถานที่รอบกายด้วยเงาเศษแปดสายเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง

องครักษ์ที่อยู่ตรงประตูส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่บรรลุถึงระดับการกลั่นร่าง และผู้ที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนถึงชี่ไห่ขั้นสามเท่านั้น

แน่นอนว่าผู้ที่มีพลังในระดับนี้ไม่สามารถขัดขวางหลัวซิวได้แน่

“กริ๊ง!”

ทุกครั้งที่กระบี่เงามืดแหวกว่ายไปในอากาศ เสียงคมมีดจะดังก้องและตามมาด้วยโลหิตสาดกระเซ็น

เขารู้ความจริงที่ว่าการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้รอดได้ ห้ามใจอ่อนกับศัตรูอย่างเด็ดขาด ต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไร้ปราณีและเด็ดเดี่ยว

วิชาเงาเศษสิบช่องของแดนบรรลุผลยังไม่มีทีท่าจะช้าลง ความเร็วของหลัวซิวทะยานเพิ่มขึ้น องครักษ์ที่กำลังจะปิดประตูเมืองยังไม่ทันจะรู้ตัวก็ถูกกระบี่เงามืดฟันเข้าที่ลำคอเสียแล้ว

“ชั่วช้า แกกล้าสังหารองครักษ์ของเมืองเชียวรึ!”

เกิดเสียงเท้าของสัตว์ดังขึ้น หลัวซิวเหลียวหลังไปมองจึงเห็นว่าเยี่ยนซิวกำลังขี่ม้าคอขนเขาเดียวไล่กวดมา

ม้าคอขนเขาเดียวเป็นอสูรระดับ 3 ที่มีฝีเท้ารวดเร็ว ความเร็วที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะสู้หลัวซิวไม่ได้ แต่มีความอึดกว่ามากนัก ไม่เหมือนกับหลัวซิวที่ใช้วิชาท่าร่างในการเคลื่อนที่ทำให้สูญเสียปราณแท้ไปอย่างมาก

“ขึ้นม้า!”

เมื่อเห็นว่าซงซานเอ้อร์สงไม่สามารถตามหลัวซิวทัน เยี่ยนชิวจึงรีบแผดเสียงออกคำสั่งให้ยอดฝีมือพรสวรรค์ทั้งสองคนนี้ขึ้นมานั่งด้วยกัน

ม้าคอขนเขาเดียวมีแผ่นหลังกว้าง ดังนั้นต่อให้คนทั้งสามขึ้นมานั่งพร้อมๆ กันก็ยังไม่เบียด แถมยังไม่ส่งผลต่อความเร็วของมันอีกด้วย

รูปร่างของเมืองโจว๋ซิงที่อยู่ด้านหลังของเขาเริ่มเล็กลงและรางเลือนลงเรื่อยๆ

หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม หลัวซิวจึงหยุดแล้วหันหน้ากลับไปมองคนทั้งสามที่ขี่ม้าคอขนเขาเดียว

หลังจากวิ่งหนีมาสองชั่วยาม ก็ได้เดินทางมาถึงทุ่งหญ้ารกร้างกว้างใหญ่ จากกระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิวแล้วเขาไม่พบว่ามีอะไรตามมาด้านหลัง

ลำพังเพียงจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 1 สองคน หลัวซิวไม่มีทางกลัว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรต้องหนีอีก

ส่วนจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับหกอย่างเยี่ยนชิว ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของหลัวซิวเช่นกัน

“ซานซงเอ้อร์สง พวกแกช่วยฉันจัดการไอ้หมอนั่นที” เยี่ยนชิวแสยะยิ้มออกมา

ซงซานเอ้อร์สงไม่กล่าวอะไร แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ แต่เมื่อต้องรับมือกับจอมยุทธ์ชี่ไห่ คนทั้งสองก็ต้องร่วมมือกัน

นี่เป็นความเคยชินที่ถูกฝึกฝนมามากกว่า 10 ปี และความเคยชินนี้ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว พวกเขาที่อยู่ในพรสวรรค์ขั้น 1 เมื่อร่วมมือกันสามารถฆ่าจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 3 ไปได้หลายคนแล้ว บางครั้งยังสามารถจัดการยอดฝีมือขั้น 4 ได้อีกด้วย

ทั้งสองดึงกระบี่ออกมาจากฝัก ผู้หนึ่งฟันไปที่แขนของหลัวซิว อีกผู้หนึ่งฟันไปที่ขาของหลัวซิว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำตามคำสั่งของเยี่ยนชิวโดยเลือกที่จะจัดการแขนขาของเขาก่อน

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวของซงซานเอ้อร์สง และตอนนี้เขาได้ถูกปิดกั้นเอาไว้ทุกทางหนี แม้ว่าวิชาท่าร่างจะยอดเยี่ยมมากเพียงใด ก็ยากที่จะรับมือการร่วมมือกันเช่นนี้ได้

“วิชากระบี่พรากชีวี!”

หลัวซิวขับเคลื่อนปราณแท้ กระบี่เงามืดเรืองเพลิงมรณะ ออกมา จากนั้นจึงเริ่มร่ายรำวิชากระบี่แสงเหนือขั้นที่สอง ไม่ว่าจะเป็นกำลังหรือความเร็วในการโจมตีล้วนเหนือกว่าวิชากระบี่สะท้อนแสงขั้นที่หนึ่ง

สีหน้าของซงซานเอ้อร์สงยังคงไร้อารมณ์ใด พวกเขามั่นใจในการประสานโจมตีของตัวเองมากๆ อย่าว่าแต่จอมยุทธ์ชี่ไห่เลย แม้แต่จอมยุทธ์พรสวรรค์ก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้

แต่เมื่อหลัวซิวร่ายรำกระบี่ในมือของตัวเองแล้ว ดวงตาของพวกเขาทั้งสองพลันเบิกกว้าง แววตาฉาบไปด้วยความพรั่นพรึง

“ฟึ่บ! ฟึ่บ!”

เสียงดังสะท้อนกังวาน เกิดประกายแสงพุ่งสว่างวาบ แรงอาฆาตแค้นเย็นยะเยือกถ่ายทอดจากกระบี่มายังร่าง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพลังชีวิตของตัวเองกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปเรื่อยๆ

“กระบี่ว่องไวนัก และมีพลังงานที่น่าประหลาด”

สีหน้าของซงซานเอ้อร์สงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งสองใช้กระบี่โจมตีเข้าไปพร้อมๆ กัน แต่อีกฝ่ายกลับสามารถป้องกันเอาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขามีความว่องไวมากเสียจนทำให้กระบี่ของคนทั้งสองกระเด็นออกมาพร้อมๆ กัน

วิชายุทธ์บนโลกใบนี้ ความเร็วถือเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ ดาบเร็วทำให้คนหวาดหวั่น สำหรับซงซานเอ้อร์สงที่ถนัดในการประสานโจมตีนั้นกลับไม่เป็นปัญหาอะไร

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลนั่นก็คือ พลังงานประหลาดที่ถ่ายทอดจากกระบี่มาที่ร่างกายของพวกเขา ทำให้แขนของพวกเขาที่ถือกระบี่เอาไว้ได้รับแรงกระทบจนรู้สึกชา

พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้ว่า พลังเพลิงมรณะที่แผ่ออกมาจากการสัมผัสโดนกระบี่นั้น ได้ทำลายลายเส้นชีวิตของมือข้างที่พวกเขาถือกระบี่ไปแล้ว และเป็นเพราะหลัวซิวยังฝึกตนอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก พลังงานที่แผ่ออกมาจึงยังไม่แข็งแกร่ง มิเช่นนั้นแล้วการโจมตีเพียงครั้งเดียวจะสามารถทำลายแขนของพวกเขาได้ในทันที

หากเทียบกับจอมยุทธ์ยอดฝีมือในแดนพรสวรรค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์หรือวิชาท่าร่างของหลัวซิวล้วนแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่หนึ่งขั้น

ความโดดเด่นของจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่ที่ปราณแท้พรสวรรค์ของพลัง Attr ที่แข็งแกร่ง และบังเอิญว่าเพลิงมรณะของหลัวซิวสามารถชดเชยจุดนี้ได้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เขากับจอมยุทธ์พรสวรรค์สามารถทัดทานกันได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากัน

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 5 แต่โดยภาพรวมแล้วเขาอยู่ในระดับของแดนพรสวรรค์ขั้น 4 แล้ว

ซงซารเอ้อร์สงสบตากัน ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใดพวกเขาทั้งสองต่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้ทันที พลังงานสีดำแปลกประหลาดทำให้เขาเกิดความหวาดหวั่น ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนกันว่าจะใช้วิธีการประสานโจมตีเพื่อกำราบให้สำเร็จ

“มังกรคู่ชิงหยุน!”

ร่างของซงซานเอ้อร์สงปรากฏลำแสงสีเขียวส่องแสงวิบไหว ปราณแท้ในพลัง Attr คือปราณแท้ธาตุไม้พรสวรรค์

มือข้างหนึ่งของพวกเขาถือกระบี่ อีกด้านส่งพลังตราประทับ ปราณแท้บนเรือนร่างส่องสว่างรวมเข้าด้วยกัน

“โฮ่!”

ราวกับเกิดเสียงมังกรคำรามแว่วดังขึ้น ซงซานเอ้อร์สงหยิบกระบี่ของตัวเองออกมา กระบี่ฟาดฟันจนเกิดแสงรวมเป็นหนึ่ง และบังเกิดเป็นภาพรูปร่างราวกับมังกรสีเขียว ที่ร้องคำรามแล้วพุ่งทะยานไปยังหลัวซิว

พลังการโจมตีครั้งนี้เทียบเท่ากับพลังทั้งหมดของจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 4

หลัวซิวหยิบยันต์หยกสีเหลืองออกมาจากแหวนเก็บของแล้วออกแรงบีบจนแตก ม่านสำแสงได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา

ยันต์หยกคือสมบัติล้ำค่าของนักค่ายกล และชิ้นที่หลัวซิวกำลังใช้อยู่นั้นคือเกราะป้องกันสามชั้นยันต์หยกที่หลอมมาจากหยกเหลือง

“วิชากระบี่แสงเหนือ!”

และในเวลาเดียวกันนั้น หลัวซิวก็ได้ใช้กระบวนท่า 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชากระบี่แสงเหนือ

วิชากระบี่แสงเหนือคือวิชายุทธ์ระดับ 5 แต่หลัวซิวยังไม่ได้ฝึกถึงแดนบริบูรณ์ ดังนั้นกระบวนท่ากระบี่แสงเหนือนี้จึงยังไม่เต็มรูปแบบ

แต่ถึงกระนั้น พลังกระบวนท่าของวิชากระบี่แสงเหนือก็ยังร้ายกาจกว่าวิชากระบี่สะท้อนแสงและกระบี่พรากชีวีมากนัก

เกิดเสียงดังฉึก ปราณแท้พรสวรรค์ที่ก่อตัวรวมเป็นภาพมังกรเขียวลวงตาถูกกระบี่เงามืดฟันจนลำแสงสีเขียวระเบิดประสานซ่านเซ็น แต่หลัวซิวได้เกราะป้องกันม่านแสงของตนเป็นเกราะป้องกันเอาไว้

ซงซานเอ้อร์สงถลึงตาค้าง อ้าปากหวอ พวกเขาไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งจะสามารถรับมือวิชาประสานโจมตีได้เช่นนี้