เสื้อที่เปียกชุ่มแนบติดกับตัวทำให้ไม่สบายตัว เซียวยวี่รีบลุกขึ้น ถอดเสื้อที่เปียกออก เปลี่ยนเสื้อซับใน เมื่อถึงคราวจะใส่เสื้อตัวนอก ยามเซียวยวี่เห็นเสื้อที่ถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบซึ่งวางไว้บนเก้าอี้ข้างเตียง ก็ถึงกับผงะไป
นั่นคือชุดตรงสีน้ำเงินเข้มในตู้เสื้อผ้าที่เขาไม่เคยแตะต้องมาก่อน
วันแรกที่เขากลับมา เซียวจื่อเซวียนก็เคยบอกเขา ว่านั่นคือเสื้อที่เซี่ยยวี่หลัวตัดเย็บด้วยตัวเอง
เพียงแต่ ตั้งแต่เขากลับมา ก็ไม่เคยแตะต้องเสื้อใหม่ตัวนั้น เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่ได้กล่าวอะไร เซียวยวี่จึงทำเป็นมองไม่เห็น
ยังคงสวมใส่ชุดตรงสีเทาสองตัวที่ซักจนสีซีดต่อ ตอนนี้ชุดตรงสีเทาที่ซักจนสีซีดตัวหนึ่งตากอยู่ข้างนอก ตัวที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแล้ว เสื้อที่สามารถสวมได้ ก็เหลือเพียงเสื้อใหม่ตัวนี้
เซียวยวี่หยิบเสื้อขึ้นมา ดมทีหนึ่ง บนเสื้อยังมีกลิ่นหอมเบาบางของดอกไม้ คาดว่าคงซักด้วยสบู่
เขากลับเสื้อดูด้านใน เห็นเพียงด้านในถูกตัดเย็บอย่างเรียบร้อย ฝีเข็มละเอียด แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าทำงานเย็บปักจนชำนาญ
ช่างน่าประหลาดนัก
ท่านตาของเซี่ยยวี่หลัวบอกว่านางร่างกายไม่ดีตั้งแต่เด็ก มักจะล้มป่วยบ่อยๆ ดังนั้น จึงไม่มีใครบังคับให้นางเรียนสิ่งต่างๆ ไม่เคยทำงานบ้านงานเรือน ยิ่งไม่รู้เรื่องงานเย็บปักถักร้อย แม้แต่ร้อยด้ายเข้ารูเข็มยังทำไม่เป็น
คนที่ร้อยด้ายเข้ารูเข็มยังทำไม่เป็น จะเรียนรู้จนเข้าใจด้วยตัวเองโดยไม่มีอาจารย์สอน จนตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นได้อย่างไร?
เซียวยวี่ลูบฝีเข็มละเอียดบนเสื้อเบาๆ ใบหน้าฉายประกายฉงนสงสัย
เซี่ยยวี่หลัวได้ยินว่าเซียวยวี่ตื่นแล้ว ดูไปแล้วท่าทางมีสติแจ่มชัด เซี่ยยวี่หลัวจึงผ่อนลมหายใจยาว “เช่นนั้นก็ดี รีบไปตามพี่ใหญ่ของเจ้ามากินข้าวเถอะ พี่ใหญ่ของเจ้าดื่มสุรามา จะกินอาหารที่มันเลี่ยนเกินไปไม่ได้ เย็นนี้พวกเรากินโจ๊ก”
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งย่อมเห็นพ้อง “เจ้าค่ะ”
เซี่ยยวี่หลัวเห็นเด็กสองคนไม่มีข้อเรียกร้องเรื่องอาหารการกิน จึงหยิบไข่ตุ๋นชามใหญ่ออกมาจากหม้อราวกับเล่นกลก็มิปาน “โจ๊กก็มี ไข่ตุ๋นก็มี พี่ใหญ่ของเจ้ากินเจ้านี่เล็กน้อย ก็ถือว่าดี”
โจ๊กหนึ่งหม้อใหญ่ สามสมบัติของชาวสวนจานใหญ่ ไข่ตุ๋นหนึ่งชาม ยังมีหน่อไม้ดองอีกหนึ่งอย่าง ยกไปวางบนโต๊ะ เซี่ยยวี่หลัวยกน้ำข้าวมาอีกหนึ่งถ้วย
ตอนเซียวยวี่มาถึงห้องโถง ทุกคนกำลังรอให้เขามานั่งที่โต๊ะ
เซี่ยยวี่หลัววางอาหารเสร็จ เพิ่งเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซียวยวี่เข้ามาแล้ว
เซียวยวี่สวมใส่เสื้อใหม่ที่นางทำไว้บนกาย พอเห็นแล้วก็รู้สึกเบื้องหน้าสว่างวาบ
เสื้อสีน้ำเงินเข้มซึ่งเป็นผ้าฝ้ายละเอียดห่อหุ้มคนร่างสูงใหญ่ที่ซูบผอมไว้ สวมใส่เช่นนี้แล้วช่างมาดเข้มเสียยิ่งกว่าอะไร
ประกายแสงในแววตาเซี่ยยวี่หลัวคงอยู่พักหนึ่ง เซียวยวี่เห็นอย่างชัดเจน
หากเป็นแต่ก่อน เขาต้องรังเกียจที่เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนมีความคิดตื้นเขินที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอก มาบัดนี้… เขากลับมีความรู้สึกยินดีเล็กน้อย ยินดีที่อย่างน้อยตัวเองก็มีรูปลักษณ์หน้าตาที่ทำให้นางตกตะลึงได้
“พี่ใหญ่ ท่านดีขึ้นหรือยัง? ยังวิงเวียนศีรษะอยู่หรือไม่? ยังปวดหัวอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ” เซียวจื่อเมิ่งจับแขนเซียวยวี่พร้อมเอ่ยถามด้วยความห่วงใย น้ำเสียงใสละมุนเต็มไปด้วยความห่วงใย
เซียวยวี่ลูบศีรษะเซียวจื่อเมิ่ง “ดีขึ้นมากแล้ว พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไร”
“พี่ใหญ่ เมื่อก่อนท่านดื่มสุราเก่งมากไม่ใช่หรือขอรับ? ทำไมดื่มแค่สามถ้วยก็เมาเสียแล้ว? เมื่อก่อนท่านดื่มกับพี่เซียวยิงสองคน ดื่มไปตั้งสองไห พี่เซียวยิงเมาไม่เป็นท่า ท่านยังไม่เป็นอะไรสักนิดเลย! ” เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เซี่ยยวี่หลัวส่งเสียง “เอ๋” ทีหนึ่ง หันมองเซียวจื่อเซวียนด้วยท่าทีสงสัย
เซียวยวี่เกรงว่าเซี่ยยวี่หลัวจะจับพิรุธได้ เอื้อมมือไปคลำหน้าผากตัวเอง แสร้งทำเหมือนยังรู้สึกไม่สบายตัวมาก “ครั้งก่อนข้ากับพี่เซียวยิงดื่มสุราที่เจือจางมาก ไม่ได้แรงเท่าไร สุราครั้งนี้แรงกว่าเล็กน้อย”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยความไม่ประสา “อ่อ เป็นเช่นนั้นเอง! ”
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว่ามีเหตุผลเช่นกัน “ในเมื่อยังรู้สึกไม่สบายตัว ก็รีบมากินอาหารก่อน แล้วค่อยกลับไปพักต่อ! ”
ทั้งสี่คนนั่งลงข้างโต๊ะ ตรงหน้าเซี่ยยวี่หลัวและเด็กสองคนมีชามใบเดียว มีเพียงเซียวยวี่ที่มีชามสองใบอยู่ตรงหน้า ชามเปล่าใบหนึ่ง และน้ำข้าวอีกหนึ่ง
เซียวยวี่รู้สึกประหลาดใจ “นี่คือ…”
“ข้าเกรงว่าเจ้าดื่มสุรามากเกินไป จะไม่สบายท้อง จึงเตรียมน้ำข้าวไว้ให้เจ้าถ้วยหนึ่ง เจ้าดื่มน้ำข้าวก่อน จะได้ย่อยง่าย” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว
น้ำเสียงของนางอ่อนโยนมาก ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นที่พัดผ่านกลางใจ ทำให้หัวใจสั่นไหว
เซียวยวี่ขานตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก้มหน้าดื่มน้ำข้าวก่อน น้ำข้าวเข้มข้น มีกลิ่นหอมกรุ่นของข้าว ดื่มลงไปหลายคำ ในท้องรู้สึกทั้งอุ่นทั้งร้อน สบายยิ่งนัก
ไข่ตุ๋นใช้ไข่ห้าฟอง ตักให้เด็กสองคนคนละเกือบครึ่งชาม ตัวนางเองกินเพียงสองช้อน เมื่อเห็นเด็กๆ กินไข่แล้ว จึงตักโจ๊กข้นให้พวกเขา สามสมบัติของชาวสวนใส่พริกเพียงสองเม็ด เซี่ยยวี่หลัวคัดเฉพาะพริกอ่อนมา พริกอ่อนไม่เผ็ด เพียงแต่งเติมรสชาติเท่านั้น เด็กสองคนกินอย่างเอร็ดอร่อย
เซียวยวี่ดื่มน้ำข้าวเสร็จแล้วเซี่ยยวี่หลัวจึงตักไข่ตุ๋นใส่ชามของเขาครึ่งชาม “กินไข่ตุ๋นบ้าง”
เซียวยวี่ขานตอบทีหนึ่ง ก้มหน้ากินไข่ตุ๋น
หลังจากกินไข่ตุ๋นหมดแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจึงตักโจ๊กให้อีก
เซียวยวี่เห็นช้อนที่ตักข้าวช้อนแล้วช้อนเล่า โจ๊กข้นถูกตักจนเต็มหนึ่งชามใหญ่ เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้กล่าวอะไรอีก ตักเสร็จนางก็ก้มหน้ากินข้าว ไม่สนใจเซียวยวี่อีก
เซียวยวี่เพิ่งดื่มน้ำข้าวไปหนึ่งถ้วย ทั้งยังกินไข่ตุ๋นไปครึ่งชาม อาหารที่กินไปตอนมื้อเที่ยงรวมถึงสุราที่ดื่มไปล้วนยังย่อยไม่หมด เขาไม่ค่อยหิวเท่าไร แต่เห็นว่าโจ๊กชามนี้เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนตักให้ เซียวยวี่ก็ไม่อยากบอกว่าเขากินไม่ไหวแล้ว ได้แต่ก้มหน้ากินโจ๊กต่อ
ผัดมะเขือยาว พริก และถั่วฝักยาวด้วยไฟแรง ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำมัน ทั้งหอมทั้งอร่อย เซียวยวี่ชอบกินอาหารรสเผ็ด รสเผ็ดเจือจางเช่นนี้สำหรับเขาก็เหมือนไม่มีรสเผ็ด แต่เซียวยวี่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน ถึงแม้ในท้องจะไม่เหลือพื้นที่ให้ใส่อาหารแล้ว เซียวยวี่ก็ยังกินโจ๊กชามใหญ่นั่นจนหมด
อาหารในจานบนโต๊ะถูกกินจนเกลี้ยง โจ๊กก็กินจนหมดแล้ว เซี่ยยวี่หลัวไหวคิ้วทีหนึ่ง พร้อมเผยรอยยิ้มบาง
อาหารที่ตัวเองทำถูกคนกินจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง ความรู้สึกนี้ช่างดีเสียยิ่งกว่ากระไร
เมื่อก่อนตอนเซี่ยยวี่หลัวทำบล็อกอาหารรสเลิศ ทุกครั้งจะทำเองกินเอง เพียงทำให้คนอื่นดู ตัวเองกินสองสามคำก็ไม่อยากกินแล้ว แต่ตอนนี้เล่า เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่ว่านางทำอะไร ก็จะมีคนกิน ความรู้สึกนี้ดีกว่าทำเองแล้วให้คนอื่นดูมากนัก
เซียวจื่อเซวียนยังคงไปล้างชามเหมือนเคย เซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเมิ่งช่วยหยิบชามกับตะเกียบไปที่ห้องครัว เช็ดโต๊ะเสร็จ จึงกวาดพื้น เซี่ยยวี่หลัวก็ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว
ภายนอกยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง เซี่ยยวี่หลัวจะไปรดน้ำต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน
สวนหลังบ้านมีถังน้ำ และมีกระบวย เซี่ยยวี่หลัวบอกกล่าวแล้วจึงไป
ภายในห้องโถงไม่มีคนแล้ว หลังจากเซียวยวี่กินเสร็จก็กลับห้องของตัวเองไปแล้ว เซี่ยยวี่หลัวอารมณ์ดียิ่งนัก มายังประตูหลังของห้องโถง ผลักเปิดประตูเดินออกไป
นางอารมณ์ดีมาก เมื่อครู่กินข้าวจนอิ่ม สวนหลังบ้านก็เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ จึงฮัมเพลงอย่างอดไม่ได้