นายใหญ่จางไม่เคยพลาดงานใหญ่เช่นนี้ ยามเขามาถึง ภายในวัดก็มีผู้คนเดินกันขวักไขว่แล้ว

โดยเขามีหลานชายนามว่าจางเฉิงเดินตามหลังมาด้วย

“ท่านปู่ พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางแล้ว กว่าจะกลับมาก็คงอีกสองสามปี อีกหลายปีกว่าจะได้กลับมาดื่มชาฌานอีกครั้ง” จางเฉิงเอ่ยพลางถอนหายใจ

“ชาฌานมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน อย่างเจ้าดื่มไปก็มิได้บรรลุธรรมหรอก” นายใหญ่จางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

สองปู่หลานพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงหญิงสาวตะโกนเรียก

“นายใหญ่เจ้าคะ นายใหญ่”

ทั้งสองหยุดเดิน มองดูสาวใช้ที่วิ่งมาจากอีกทาง

“ปั้นฉิน” จางเฉิงประหลาดใจไม่น้อย

“ท่านชาย” สาวใช้รีบคำนับ

“นายหญิงของเจ้ามาที่นี่ด้วยหรือ” นายใหญ่จางถามด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ

“มาดื่มชากับเขาด้วยรึ” นายใหญ่จางเอ่ยพลางยิ้ม

สาวใช้พยักหน้าพร้อมยกมือชี้ไปด้านหลัง

“มาเพราะเรื่องนี้ด้วยเจ้าค่ะ เรือนไท่ผิงของเรามาถวายอาหารเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

นายใหญ่จางและจางเฉิงมองไปทางที่นางชี้ ก็เห็นว่ามีผู้คนมากมายแต่งตัวหลายหลาก บ้างก็ถือตะกร้าไว้ในมือ บ้างก็เทินไว้บนหัวไหล่

“ถวายอย่างนั้นหรือ เรือนไท่ผิงรึ” นายใหญ่จางเอ่ยอย่างแปลกใจ “ที่แท้นางเรียกเจ้าไปเพราะเรื่องนี้นี่เอง”

สาวใช้พยักหน้า

“เรือนไท่ผิงรึ” จางเฉิงเอ่ยร้อง “เรือนไท่ผิงเป็นของพวกเจ้าหรือ”

สาวใช้ยิ้มแล้วพยักหน้าอีกครั้ง

จางเฉิงกำลังเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่สาวใช้กลับคำนับอย่างเกรงใจ

“ข้าต้องรีบไปแล้ว หากเสร็จงานเมื่อใดจะกลับมารับใช้นายใหญ่นะเจ้าคะ” นางเอ่ย

จางเฉิงยังคงประหลาดใจไม่หาย แม้จะเห็นสาวใช้เดินจากไปแล้ว

“เรือนไท่ผิงเป็นของนายหญิงผู้นั้นจริงๆ หรือนี่ หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเขียนอักษรทั้งห้าของวัดเฉี่ยถิงน่ะสิ” เขาเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางถูมือไปมา “ยอดไปเลย ท่านปู่ช่วยไปถามให้หลานสักหน่อยได้หรือไม่ ว่ายอดฝีมือคนใดเป็นผู้เขียนอักษรนั้น”

สีหน้าของนายใหญ่จางก็ดูแปลกใจไม่น้อย แต่จู่ๆ ก็หัวเราะลั่นออกมา

“ว่าแล้ว ว่าแล้ว” เขาเอ่ย “ที่แท้คือนางนี่เอง ที่แท้คือนางนี่เอง”

“ผู้ใดหรือขอรับ” จางเฉิงถามอย่างสงสัย

“แม่นางใช้คำว่าไท่ผิงสองพยางค์นี้อีกแล้ว” นายใหญ่จางไม่ตอบคำถาม แต่กลับส่ายหัวแล้วยิ้ม

“ไท่ผิงอย่างนั้นหรือ สันโดษคือวิถีแห่งสวรรค์ ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความยินดี ไท่ผิงมีความหมายเช่นนี้หรือขอรับ” จางเฉิงถามอย่างไม่เข้าใจ

บทสนทนาที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในหูโดยไม่รู้ตัว

“หมั่นโถวไท่ผิงอร่อยดี” นายใหญ่จางเอ่ยพลางหัวเราะ

หมั่นโถวไท่ผิงอย่างนั้นหรือ

จางเฉิงนิ่งไปชั่วขณะ เกี่ยวอะไรกับหมั่นโถวไท่ผิงกัน หรือว่าเรือนไท่ผิงขายหมั่นโถว ระหว่างที่เขากำลังสับสนอยู่นั้น นายใหญ่จางก็ได้มุ่งหน้าไปยังอุโบสถแล้ว ชายหนุ่มจึงได้รีบตามไป

เมื่อเห็นว่าสาวใช้กลับมาแล้ว ผู้ดูแลอู๋และหลี่ต้าเสามิได้นึกสงสัยหรือเอ่ยถามอะไร เพราะต่างคนต่างกำลังกระวนกระวายใจ ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าสาวใช้กลับมาแล้วด้วยซ้ำ

“พี่หลี่อย่ากังวลไปเลย” สาวใช้เอ่ยปลอบใจ

หลี่ต้าเสาก้มหน้าบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ฝ่ามือกำแน่นแล้วคลายออกเป็นครั้งคราว

“ใช่ อย่ากังวลไปเลย เต้าหู้เราก็เตรียมไว้เกินพอ หากครั้งแรกไม่สำเร็จก็ลองอีกครั้งได้” ผู้ดูแลอู๋เอ่ย

ครั้งนี้พวกเขามากันสี่คน สวีปั้งฉุยแบกหาบไว้บนหลัง หาบข้างหนึ่งมีเตาดินเผา ส่วนอีกข้างคือเครื่องครัว

หากเขาไม่พูดขึ้นมา หลี่ต้าเสาคงจะไม่ประหม่าขนาดนี้

ยามแกะสลักในงานจริง หากครั้งแรกสำเร็จก็ถือว่าสำเร็จ แต่หากไม่สำเร็จ ก็คงล่มไม่เป็นคน ใครจะให้โอกาสลองทำถึงสองสามครั้งเล่า

ฝูงชนที่อยู่ข้างหน้าเริ่มหลั่งไหลเข้ามา ผู้คนเริ่มจัดวางของถวายกันแล้ว เนื่องจากที่ตั้งโต๊ะของพวกเขาอยู่ด้านในสุดจึงต้องรีบเบียดตัวเข้าไป ไม่เช่นนั้นอาจจะติดอยู่ด้านนอก

ไม่รู้ว่าเพราะคนเยอะหรือถูกขวางทางกันแน่ โต๊ะตำแหน่งด้านนอกที่เด่นชัดที่สุด มีคนกลุ่มใหญ่กำลังจัดวางของบนโต๊ะ ทั้งยังใช้เตาดินเผาเหมือนพวกเขาอีกด้วย เพียงแต่คนเหล่านั้นขนย้ายข้าวของมาด้วยรถม้า หากเทียบกับพวกเขาแล้วก็ดูมีระดับมากกว่าโข ข้าวของเครื่องใช้ที่นำมาจัดวางหากไม่ได้ทำจากทองคำก็เป็นเครื่องเงิน สะท้อนแสงพราวตาเมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่อง

“พวกเจ้าหลบหน่อย หลบหน่อย” สวีปั้งฉุยตะโกน

“หลบอะไรเล่า รอเดี๋ยวไม่ได้หรือ” บ่าวที่ขวางทางอยู่ตะโกนอย่างไร้ความเกรงใจ

สวีปั้งฉุยจ้องหน้าถลึงตาใส่ในทันที ผู้ดูแลอู๋จึงรีบรั้งเขาไว้

“พี่ชาย พวกเราคนน้อย ของน้อย ขอเบียดไปก่อนไม่ได้หรือ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

บ่าวมองพวกเขาหัวจรดเท้า พอเห็นว่าพวกเขาทั้งสี่สวมใส่เสื้อผ้าแสนธรรมดา จึงตะคอกกลับด้วยน้ำเสียงอันหยิ่งยโส

“คนน้อย ของน้อย แล้วจะรีบไปทำไม รอไปก่อน” เขาพูด

สวีปั้งฉุยยกเท้าขึ้นถีบในทันใด

“บอกให้หลีกทางหน่อย จะจองหองอะไรนักหนา” เขาโวยวายด้วยความขุ่นเคือง

บ่าวถูกถีบจนล้มไปข้างหน้า แล้วชนเข้ากับชายผู้หนึ่งที่สวมชุดผ้าแพรพร้อมกับหมวกที่เสียบด้วยดอกไม้บนหัว

โต้วชีหันหลังกลับแล้วตบหน้าบ่าวผู้นั้น

“ตาบอดหรืออย่างไร” เขาตวาด

“เถ้าแก่ มีคนหาเรื่องพวกเรา” บ่าวกุมหน้าพลางตะโกนแล้วชี้ไปด้านหลัง

โต้วชีขมวดคิ้วแล้วมองกลับไป เขาเห็นสวีปั้งฉุยที่กำลังแบกหาบหัวเราะอยู่ จากนั้นสายตาก็จดจ้องไปที่หลี่ต้าเสาและผู้ดูแลอู๋ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง โต้วชีตกตะลึง

“ท่านชายโต้ว” ผู้ดูแลอู๋ยิ้มแล้วคำนับ

“เหล่าอู๋หรอกรึ” โต้วชีประหลาดใจ เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“ตอนนี้ข้ากลับไปทำงานเช่นเดิมหาเลี้ยงปากท้อง เถ้าแก่ของข้าก็มาถวายของบูชาเช่นกัน” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หลี่ต้าเสาเงยหน้าขึ้นแล้วชำเลืองมองไปที่โต้วชี ใบหน้าของเขาดูสับสนเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร

โต้วชีตอบ หรี่ตามองแล้วหัวเราะ

“เช่นนั้นหรอกหรือ” เขาพูด “ไม่รู้ว่าร้านเจ้าตั้งอยู่ที่ใดกัน”

“ร้านตั้งอยู่นอกเมือง” ผู้ดูแลอู๋ยิ้มแล้วผายมือออกไป “โต๊ะพวกเราตั้งอยู่หน้าอุโบสถ ขอท่านชายช่วยหลีกทางให้ด้วยเถิด”

ตำแหน่งหน้าอุโบสถราคาถูกที่สุด

โต้วชียิ้มอีกครั้ง

“เช่นนั้นพวกเจ้าไปก่อนเถอะ” เขาเอ่ยพลางหลีกทางให้

ผู้ดูแลอู๋พยักหน้าแล้วโค้งคำนับขอบคุณ เขาเรียกให้หลี่ต้าเสา สวีปั้งฉุยและสาวใช้เดินไปก่อน

“ขอให้ร่ำรวย” โต้วชีลากเสียงยาวตะโกน

ผู้ดูแลอู๋หันกลับมาคำนับขอบคุณด้วยรอยยิ้ม

โต้วชีหัวเราะลั่น เขาหันหลังกลับ ก่อนจะหุบยิ้มลงแล้วสบถออกมา

“ขอให้ร่ำรวยอะไรกัน” เขาผรุสวาท “ไอ้พวกสวะ เฮงซวย ขัดลาภ”

ขณะที่ด้านนอกเสียงดังวุ่นวาย แต่พิธีชงชาฌานภายในอุโบสถกลับเงียบสงบ แม้ว่าจะมีผู้คนเดินเข้าออกมากมายก็ตาม

นี่ถือเป็นหนึ่งในงานประจำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ไม่ว่าชายหนุ่มหรือหญิงสาว ล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดพิธีการ เพียงกวาดสายตามองก็จะเห็นเสื้อผ้าสีสันสดใส ถึงแม้หน้าพระประธานจะไม่ควรส่งเสียงดัง แต่ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าหญิงสาวดังขึ้นเป็นครั้งคราว ดึงดูดให้สายตาให้หันมามอง

“ดูสิ น้องสาวเจ้ามาถึงแล้ว” ท่านชายฉินพูดขึ้นในทันที

ท่านชายโจวหกรีบหันกลับไปมอง เขาเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่รายล้อมไปด้วยสาวใช้สองคนกับบ่าวอีกคนหนึ่งอยู่ด้านหลัง พวกนางกำลังเดินมาอย่างเชื่องช้า ทั้งยังมีเด็กผู้หญิงอีกคนที่กำลังวิ่งมาข้างหน้า พร้อมกับมีแม่นมเดินตามข้างๆ อย่างระมัดระวัง

“ตันเหนียง อย่าวิ่งเร็วนัก” เหล่าพี่สาวรีบตะโกนบอก

ฮูหยินเฉินยื่นมือออกไปจับตันเหนียง

“ท่านแม่ ข้าพาแม่นางเฉิงมาแล้ว” เฉินตันเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ฮูหยินเฉินหัวเราะแล้วเอ่ยชม ก่อนจะมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังเดินเข้ามา

เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับ

แม่นางเฉินสิบแปดก็เดินออกมาข้างหน้าเช่นกัน ส่วนเหล่าพี่สาวและน้องสาวคนอื่นๆ ต่างมองสำรวจนางด้วยความประหลาดใจ เพราะพวกนางเคยได้ยินเรื่องราวของหญิงสาวผู้นี้มาก่อนแล้ว จึงไม่ได้เข้ามาทักทาย

“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่เข้าไปนะ ข้าจะไปเดินเล่นข้างนอกกับแม่นางเฉิง” เฉินตันเหนียงเอ่ยขึ้นมาในทันที

ฮูหยินเฉินนิ่วหน้าส่ายหัว

“ห้ามซน” นางกระซิบ

เฉินตันเหนียงทำหน้ามุ่ย

“ไม่เป็นไร ข้าสัญญากับนางเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าไม่ชอบดื่มชาอยู่แล้ว แต่เพราะได้รับเชิญจากแม่นางเฉินสิบแปด และตั้งใจจะออกมาเดินเที่ยวอยู่แล้ว ยามนี้มีทั้งที่เที่ยวและเพื่อนเที่ยว ช่างดียิ่งนัก”

ฮูหยินเฉินยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม่นางเฉินสิบแปดจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

“ท่านแม่ แม่นางเอ่ยปากเองเช่นนี้แล้ว ก็ตามใจนางเถิด” นางยิ้มแล้วจับมือเฉินตันเหนียงไว้ “ปีนี้สมใจแล้วสินะ ทั้งได้ออกมาเที่ยวเล่น แล้วก็ไม่ต้องเบื่ออีกด้วย”

เฉินตันเหนียงยิ้มอย่างมีความสุขแล้วคว้าแขนเสื้อของเฉิงเจียวเหนียงไว้

“พวกเราไปกันเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วคำนับฮูหยินเฉินอีกครั้ง

ฮูหยินเฉินพยักหน้า นางเองก็จนใจได้แต่กำชับสาวใช้และแม่นมให้ติดตามไป

“เอาอาหารว่าง อาหารว่างของข้ามาด้วย” เฉินตันเหนียงตะโกน

แม่นมกอดกล่องอาหารไว้พลางส่งยิ้มให้นาง นั่นคืออาหารว่างที่เฉิงเจียวเหนียงจัดเตรียมไว้ให้นาง

เฉินตันเหนียงสุขใจที่ได้ทั้งกินทั้งเล่น นางจับมือเฉิงเจียวเหนียงเดินจากไป

“ด้านหลังมีสระให้ปล่อยปลา มีปลาจิ่นหลี เยอะแยะไปหมด เราไปให้อาหารปลากันเถอะ” นางเอ่ยอย่างมีความสุข

 ฮูหยินเฉินได้แต่ส่ายหน้า ยามมองพวกนางเดินจากไป

“ท่านแม่วางใจได้ ตันเหนียงไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ นางเป็นคนพูดเก่ง ส่วนแม่นางเฉิงเองก็ไม่ใช่คนที่คล้อยตามผู้อื่นได้ง่าย นางจะทำก็ต่อเมื่อนางอยากทำเท่านั้น อีกอย่างวันนี้ในวัดผู่ซิวเงียบสงบ คนภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้ ใช่ว่าจะหาโอกาสเดินชมวัดเช่นนี้ได้ง่ายๆ” แม่นางเฉินสิบแปดพูดด้วยรอยยิ้ม พลางพยุงแขนแม่ของตน “พวกนางคนหนึ่งเด็กคนหนึ่งผู้ใหญ่ ส่วนพวกเราแม่ลูกกับพี่น้องทั้งหลาย ทุกคนต่างมีความสุข

ก็เพียงพอแล้ว”

พูดถึงเพียงเท่านี้ ฮูหยินเฉินก็ยิ้มออก

“นี่เจ้าสนิทสนมกับนางแล้วแล้วหรือ” นางเอ่ยพลางก้าวเดินไป “ที่แท้เจ้าก็ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือน

พวกข้า”

“ท่านแม่ อย่าล้อข้าสิ” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มแล้วเดินตามไป “ข้าแค่เรียนรู้จากตันเหนียง ปฏิบัติกับนางด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์”

บ้านตระกูลเฉินเข้าไปในอุโบสถทางประตูข้างพร้อมกับเหล่าฝูงชน

………………………………………………………….