บทที่ 183 ศักดิ์สิทธิ์

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

วัดชื่อดังแห่งนี้ได้รับการบริจาคและหล่อเลี้ยงจากผู้ศรัทธาชายหญิงนับไม่ถ้วน แม้ว่าจะไม่ใช่อุโบสถหลังใหญ่โต แต่ก็กว้างถึงยี่สิบจ้านและลึกกว่าสิบจ้าน สองข้างมีเสาต้นใหญ่ขนาดหลายคนโอบ ตั้งเด่นเป็นสง่า

เสาทั้งสองแบ่งแยกโถงทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกออกจากกัน เบาะรองนั่งทรงกลมเกือบสี่ร้อยอันวางบนพื้นอิฐสีเข้มแวววาว ยามนี้มีผู้คนนั่งจับจองเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว แขกผู้ชายนั่งอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนผู้หญิงจะนั่งอยู่ฝั่งขวา เรียงรายเป็นระเบียบ

ต้องขอบคุณสายสัมพันธ์ของท่านชายฉินสิบสาม ท่านชายโจวหกจึงได้นั่งในตำแหน่งที่ค่อนข้างดี

จากมุมนี้สามารถมองเห็นพิธีชงชาฌานและผู้คนในอุโบสถได้อย่างชัดเจน

สมาชิกผู้หญิงของตระกูลเฉินนั่งลงกันครบหมดแล้ว แต่เพราะพิธียังไม่เริ่ม พวกนางจึงยังเอ่ยกระซิบ หัวเราะพูดคุยและทักทายกับคนรู้จักอยู่

สองที่นั่งซ้ายขวาข้างฮูหยินเฉินยังคงว่างเปล่า แต่ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาในอุโบสถ ท่าทางดูดีใจแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวล จากนั้นก็นั่งลงบนเบาะที่ว่าง แต่กลับไม่ใช่หญิงสาวผู้นั้นที่เขาอยากเจอ

ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว

ท่ามกลางเสียงดังจอแจ เสียงสวดมนต์ของพิธีกรรมก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้า เป็นสัญญาณว่าพิธีชงชาฌานกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ภายในอุโบสถเงียบสงบลง

ในยามนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเดินเข้ามาแล้ว

ท่านชายโจวหกคลายมือบนตัก ความผิดหวังปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว

มาแล้วก็ไม่เข้ามา ไปทำอะไรที่ไหนกัน นางจะอยู่สงบสุขสักครู่ไม่ได้เลยหรือ

กลีบดอกไม้หนึ่งกำมือร่วงหล่นลงสู่สระน้ำ ฝูงปลาที่เฝ้าคอยแย่งอาหารพากันกรูเข้ามาในทันที แต่เมื่อรู้ว่าถูกหลอกจึงว่ายออกไป

เฉินตันเหนียงหัวเราะ โดยมีสาวใช้และแม่นมเฝ้ามองอยู่ไม่ให้คลาดสายตา เพราะกลัวว่านางจะจับราวกั้นหยกไว้ไม่แน่นพอ

“ข้าเอง ข้าเอง” จินเกอร์บิดอาหารปลาสองสามชิ้นที่ซื้อมาแล้วโยนลงสระ

“ดูนั่นสิ ได้ยินมาว่าเป็นปลาที่ฮ่องเต้ปล่อย” สาวใช้เอ่ยพลางชี้ไปที่ปลาตัวนั้น

ปลาหลากสีเต็มสระน้ำทำให้ดวงตาพร่ามัว ปั้นฉินเบิกตากว้างแต่ก็ยังมองไม่ออกว่าแต่ละตัวต่างกันอย่างไร

“พี่เฉิง”

เฉินตันเหนียงวิ่งจากริมสระน้ำไปหยุดอยู่ตรงเฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงยืนตัวตรงมือไขว้หลัง สายตาจ้องมองไปที่สระน้ำ

“พี่ไม่พอใจหรือ” เฉินตันเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

“เปล่า เหตุใดถึงถามเช่นนั้น” นางถาม

“ท่านแม่บอกว่า พี่ถูกญาติรังเกียจ น่าสงสารนัก… ” เฉินตันเหนียงเอ่ย

แม่นมที่อยู่ด้านหลังดวงตาเบิกโพรงด้วยความตกใจ จากนั้นจึงรีบวิ่งไปข้างหน้า

“แม่นางสิบเก้า อย่าพูดล้อเล่นเช่นนี้สิเจ้าคะ ฮูหยิน ฮูหยินไม่ได้พูดเช่นนั้น” นางรีบปฏิเสธ

ท่านแม่เป็นคนพูดเองแท้ๆ แต่แม่นมกลับไม่ให้พูด แม้ว่าเฉินตันเหนียงจะยังเด็ก แต่ก็รู้ว่าตนพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

“ข้า ข้าหมายถึงพี่เฉิงไม่ต้องกลัวไป ท่านแม่ พี่สาวและข้าชอบพี่มาก พวกเขาไม่ต้องการพี่ พวกเราต้องการ พี่ไม่น่าสงสาร” นางรีบเอ่ยต่อ

คำพูดนี้ ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า สาวใช้ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก

พูดลับหลังก็คือพูดลับหลังอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะชื่นชมหรือให้ร้ายก็ดี แต่คำว่าน่าสงสารนั้นยากจะอธิบาย หากมองในแง่ดีก็เพียงแค่พูดถึง  หากมองในแง่ร้ายก็คือนินทา ยิ่งเป็นหญิงสาวที่จิตใจอ่อนไหวกว่าคนทั่วไปเช่นนาง มองผิวเผินดูเหมือนเย็นชา แต่ลับหลังก็ยังเก็บคำคนมาใส่ใจอยู่ร่ำไป

หญิงสาวผู้นี้ช่างเดาใจยากนักทั้งยังเป็นคนสำคัญที่สุดของตระกูล หากเอ่ยล่วงเกินนาง จะมิแย่ไปกันหมดหรือ

เคยบอกแล้วว่าอย่าปล่อยให้ตันเหนียงอยู่กับนางบ่อยๆ คำพูดของเด็กนั้นไม่ควรถือสา

แม่นมกังวลจนเหงื่อไหลซึมหลัง ระหว่างที่จะหาวิธีการพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ เฉิงเจียวเหนียงก็ยื่นมือออกไปจับเฉินตันเหนียงไว้แล้ว

“ข้าไม่กลัวหรอก” นางเอ่ย “พวกเขาไม่ต้องการข้า ไม่เป็นไร”

เฉินตันเหนียงจับมือนางแล้วพยักหน้า

“พี่อย่าเสียใจไป ท่านแม่บอกว่าคนที่เข้าใจทุกอย่างต่างหากเป็นทุกข์ที่สุด” นางเอ่ยต่อ

แม่นมที่เพิ่งจะโล่งใจไปเปราะหนึ่งแทบจะเป็นลมอีกครั้ง

“ข้าก็มิได้เป็นทุกข์” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะข้าเข้าใจ ข้าจึงไม่เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรให้น่าเศร้าใจ”

นางหันหลังแล้วจูงมือเฉินตันเหนียงก้าวเดินออกไป

อุโบสถตั้งอยู่ริมสระที่เดินผ่านมา ทางเดินนี้ยาวถึงสิบจ้าน

“ข้าเคยบ้ามาก่อนคือความจริง และเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกคนอื่นรังเกียจ” นางเอ่ย “หากคนอื่นปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าหากคนอื่นไม่ชอบข้า ก็ห้ามเขาไม่ได้ คนบนโลกนี้จะชอบเจ้าทุกคนได้อย่างไร แต่ถ้ามีใครไม่ชอบเจ้า เจ้าควรโกรธแค้นเขาอย่างนั้นหรือ”

เฉินตันเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง

“ลูกพี่ลูกน้องไม่ชอบข้า ยามข้ากลับไปที่บ้านท่านยาย นางบอกให้น้องคนอื่นๆ ห้ามเล่นกับข้า ข้าเลยเกลียดนาง” นางเบ้ปากเอ่ย

“เกลียดนาง แล้วนางให้เจ้าเล่นกับคนอื่นๆ หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม

“ไม่” เฉินตันเหนียงถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่

“ดังนั้น อย่าไปสนใจเลย สู้ไปเล่นสนุกกับคนที่ชอบเจ้าดีกว่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เว้นแต่นางจะรังแกเจ้า”

เฉินตันเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง

“หากรังแกข้าแล้วจะทำเช่นไร” นางถามด้วยแววตาเป็นประกาย

เฉิงเจียวเหนียงก้มลงมองนางแล้วยิ้มออกมา

“ข้าไม่รู้” นางเอ่ย “เพราะข้าไม่ใช่เจ้า”

เฉินตันเหนียงเอียงศีรษะ

“แล้วถ้ามีคนรังแกพี่ล่ะ พี่จะทำอย่างไร” นางถาม

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มอีกครั้ง

“ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาต้องการทำอะไร” นางตอบ

เฉินตันเหนียงจับเครื่องประดับห่วงทองบนลำคออย่างสับสน

พวกนางพูดคุยกันจนเดินมาถึงประตูหลังของปีกข้างอุโบสถ เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินแล้วหันมองแผ่นป้ายที่แขวนอยู่

“ที่นี่คือพระอุโบสถต้าฉือสำหรับกราบไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิม” สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น

“เราไปดูนางพญามังกรกันเถอะ” เฉินตันเหนียงเอ่ยขึ้น นางทิ้งคำพูดที่ตนยังสงสัยเมื่อครู่ไป ก่อนจะก้าวเข้าไปในอุโบสถอย่างยิ้มแย้มแล้วพูดขึ้นว่า “…แล้วก็มีเจ้าแม่กวนอิมอยู่เต็มผนังไปหมด งดงามนัก…”

“นี่คือภาพวาดพระโพธิสัตว์กวนอิมอวตาลสามสิบสองภาค” สาวใช้บรรยายด้วยเสียงแผ่วเบาอยู่ด้านหลัง

เฉิงเจียวเหนียงก้าวไปข้างหน้า

สาวใช้โบกมือให้กับปั้นฉินและจินเกอร์ที่กำลังเดินตามเข้ามา

“พวกเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเถอะ ข้าดูแลนายหญิงเอง” นางเอ่ย “อีกเดี๋ยวก็ไปปูผ้าริมสระน้ำ แล้วก็จัดอาหารว่างที่เตรียมมา ในสวนมีน้ำบ่อ พวกเจ้าตักขึ้นมาแล้วใช้เตาดินเผาต้มน้ำให้นายหญิงกิน”

จินเกอร์และปั้นฉินขานรับ ไม่ได้อิดออดกับงานที่ได้รับมอบหมายจากนางแต่อย่างใด จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

ณ อุโบสถที่จัดพิธีชงชาฌาน เสียงเพลงบรรเลงและบทสวดดังขึ้น

ทุกคนเฝ้ามองการนั่งสมาธิจนจบพิธี ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เริ่มพรมน้ำมนต์

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามนับตั้งแต่เริ่มพิธี ท่านชายโจวหกนั่งไม่เป็นสุข เขามองออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราวอย่างอดไม่ได้ จนกระทั่งท่านชายฉินสิบสามสะกิดมือเขา

‘ทำอะไรของเจ้า’

ท่านชายฉินสิบสามถามด้วยสายตา

‘เปล่าเสียหน่อย’

ท่านชายโจวหกถลึงตากลับ

ท่านชายฉินสิบสามอ่านแววตาของเขาออก ท่านชายโจวหกหลบสายตาทำเหมือนมองไม่เห็น

เขาจ้องมองการเคลื่อนไหวของพระภิกษุสูงอายุโดยไม่ละสายตา แต่ในใจกลับคิดแต่ว่าในเมื่อเฉิงเจียวเหนียงมาถึงแล้ว ก็ต้องอยู่ในวัด มิฉะนั้นนางคงไม่มา

หรือไม่ก็เกิดอะไรขึ้นกะทันหันเลยออกไปก่อน ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้นกับนางได้

มีเรื่องอะไรถึงต้องรีบร้อนเช่นนั้น

ทั้งหยิ่งผยองและแปลกคนนัก แต่ไหนแต่ไรมาก็สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย ใครจะทำอะไรนางได้

ท่านชายโจวหกว้าวุ่น

แต่ทว่าใครจะแปลกประหลาดตั้งแต่กำเนิดกันเล่า

เขาพลันนึกถึงท่านอา หญิงร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนเบาะ กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขา

“…จื่อเจี้ยนรีบมาเร็ว อามีลูกอมให้เจ้ากิน” นางกวักมือเรียก

ท่านแม่บอกว่าท่านอาเลี้ยงเด็กบ้าไว้ในบ้าน เข้าไปแล้วจะกลายเป็นคนบ้า

“ข้าไม่กินขนมของคนบ้า…” เขาในวัยเด็กตะโกนแล้วหันหลังกลับวิ่งหนีออกไป

ไม่มีผู้ใดตะโกนหรือด่าทอไล่หลัง เขาเหลียวหลังชายตามองอย่างกระวนกระวาย ทว่าภายในห้องโถงมีเพียงหญิงสาวที่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเช่นเคยให้แก่เขา

ท่านอาและท่านย่าหน้าตาเหมือนกันมาก ตอนเด็กเขานอนกับท่านย่า และท่านย่าจะล้างเท้าให้เขาทุกคืน ยามล้างเท้าจะนวดนิ้วเท้าไปด้วย ร้องเพลงกล่อมไปด้วย

นิ้วหัวแม่มือสั้น นิ้วชี้ยาว…

จากนั้นเขาหัวเราะ ท่านย่าก็หัวเราะตาม แต่คืนวันเหล่านั้นช่างแสนสั้น ไม่นานเขาก็ไม่ได้เห็นท่านย่าหัวเราะอีกเลย เขามักเห็นนางร้องไห้ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น ร้องไห้ไป ถอนหายใจไป หลังจากนั้นร่างกายก็สูบผอมอย่างรวดเร็ว รูปร่างหน้าตาก็ยิ่งเหมือนท่านอาเข้าไปอีก

ท่านพ่อเล่าว่าท่านพ่อของท่านย่ายิงปืนเก่งมาก ตอนท่านย่าแต่งงานเข้าเรือนมา ท่านปู่และท่านย่าเคยประลองฝีมือการยิงปืนกัน ท่านปู่เกือบรับมือไม่ไหว

ท่านย่าขี่ม้าควงปืนเก่งนัก ฝึกฝนจนเป็นยอดฝีมือ อันที่จริงนางควรจะอายุยืนเป็นร้อยปี

แต่หลังจากท่านอาจากโลกนี้ไป ท่านย่าก็ต้องกินยาทุกวันและจากไปหลังจากนั้นไม่กี่ปี

ท่านพ่อกับท่านแม่เล่าว่าถ้าไม่ใช่เพราะคนบ้านั่น ตอนนี้ท่านอากับท่านย่าคงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแน่นอน

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนบ้านั่น

เหตุใดตระกูลโจวของพวกเขาถึงได้โชคร้าย แถมยังต้องเลี้ยงดูคนบ้าด้วย

หรือว่านี่คือผลกรรมตามที่ผู้คนนินทาว่าท่านปู่เข่นฆ่าชีวิตคนมากมาย

มือของท่านชายโจวหกกำแน่น เสียงกัดฟันดังกรอด

คราวนี้ไม่ใช่แค่ท่านชายฉินสิบสามเท่านั้นที่จ้องมองมาที่เขา

ท่านชายโจวหกก้มหน้าลงแล้วขยับตัวจัดท่านั่ง

แต่ทว่าจะโทษคนบ้านั่นได้อย่างไร

ผู้ใดอยากเป็นคนบ้ากันเล่า …

ใครจะยอมให้ตัวเองเป็นคนบ้า…

ดังนั้นนางจึงต้องป้องกันตัว ไม่เชื่อใจญาติมิตรคนใดทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างไรได้เล่า

แม้ว่าจะเกิดใหม่อีกครั้ง พวกเขาก็เลือกทำเช่นเดิม ความห่างเหิน ความหมางเมินจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อดีตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำได้เพียงมองไปข้างหน้า

ท่านชายฉินสิบสามเคยพูดไว้ว่า ต้องอาศัยความจริงใจ แต่ว่านางจะยอมมองเห็นความจริงใจของเขาหรือ

และอีกอย่าง ต้องทำเช่นไรหรือถึงจะเรียกว่าจริงใจ

ภายในอุโบสถเริ่มโกลาหล นั่นเป็นเพราะท่านอาจารย์หมิงไห่กำลังรดน้ำมนต์ ผู้คนต่างพากันกรูเข้ามาก้มหัวรับพร

ท่านชายโจวหกก็หมอบลงเช่นกัน

“เดิมทีฮ่องเต้อู่ตั้งชื่อให้ว่าพระอาจารย์เจินจี้ แล้วก็ให้เสื้อคลุมสีม่วงเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระอุโบสถกวนอิม”

สาวใช้บรรยายพร้อมกับชี้ไปที่ประตูอุโบสถ

จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางดูเบื่อหน่ายเต็มที

“ข้าอยากกินบะหมี่สักชามตอนนี้เลย” เขาเอ่ย “พวกหุ่นไม้ดินหินเหล่านี้มีอะไรน่าดูกัน”

ขันทีลุกลี้ลุกลนก่อนโบกมือในทันที

“ห้ามลบหลู่นะพะย่ะค่ะ ห้ามลบหลู่นะพะย่ะค่ะ” เขากระซิบพลางพนมมือสวดคาถา

จิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้สึกว่าน่าขันนัก

“หากหุ่นไม้ดินหินนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ก็ช่วยให้ความปรารถนาข้าเป็นจริงที” เขายิ้มเอ่ย จากนั้นก็มีผู้ศรัทธาในพระธรรมเดินมา นางก้าวขึ้นขั้นบันไดแล้วข้ามธรณีประตูสูง ก่อนจะก้าวเข้าไปในอุโบสถ แล้วมุ่งตรงไปที่รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมสูงใหญ่ รูปปั้นตกแต่งด้วยทองคำและอัญมณีส่องประกายระยิบระยับ เขาเหลือบตามอง แต่หูกลับได้ยินเสียงทอดถอนใจ

เป็นเสียงของหญิงสาว จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เขามองหญิงสาวนางหนึ่งที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม

นางสวมใส่เสื้อสีฟ้าคราม ผมเพ่าจัดทรงอย่างเรียบง่าย แต่เพราะมีคนเดินเข้ามาอย่างกะทันหัน เขาจึงหันไปมองอีกครั้ง

ใบหน้าขาวนวลดุจหยก ดวงตาเป็นประกาย กิริยาท่าทางแข็งทื่อดั่งขอนไม้เหมือนกับสีหน้าของนาง

ใบหน้านั้นไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งๆ ที่มีสายตาจ้องมองนางแท้ๆ แต่กลับทำท่าเฉยเมยเหมือนกับรูปปั้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดหายใจไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะยื่นมือไปคลำจี้หยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวอย่างไม่เชื่อสายตา

ให้ตายเหอะ พระโพธิสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ !

………………………………………………………..