งานพิธีในวัดวันนี้ แต่ละวิหารห้ามคนเข้า มีเพียงพระอุโบสถเท่านั้นที่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปจุดธูปขอพรได้ คนที่สามารถเข้ามายังวิหารด้านหลังได้นั้นมีแต่เพียงผู้มาร่วมพิธีชงชาฌาน และเวลานี้ย่อมมีคนนั่งทำสมาธิอยู่ในพระอุโบสถ
เด็กที่ชอบงานสนุกสนานอย่างเฉินตันเหนียงแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย บนโลกนี้ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ภาพวาดเจ้าแม่กวนอิมบนผนังยังคงดึงดูดสายตาของเฉิงเจียวเหนียง
เด็กอย่างเฉินตันเหนียงไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้เท่าไรนัก ภายในวัดก็ไม่ใช่สถานที่ที่พวกนางจะเดินเที่ยวเล่นไปมาได้ เมื่อเห็นหญิงสาวในวิหาร ผู้ที่เข้าใจประเพณีย่อมต้องเดินออกไปแล้ว
สาวใช้และแม่นมชายตามองเหล่าชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ชายหนุ่มผู้นั้นสวมเสื้อสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์ ทั้งตัวมีเพียงหยกแขวนไว้อย่างเรียบง่าย เขารูปร่างผอมสูง ดวงหน้าดุจหยกขาว บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ชัดเจน
เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนกับพระพุทธรูปหยกขาวที่ส่องประกายงดงามจนผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้
ไม่รู้ว่าเป็นท่านชายตระกูลใด
ชายหนุ่มก้าวเท้าเดิน แม่นมและสาวใช้จึงรีบละสายตาไปทางอื่น แต่เสียงเท้าเหมือนจะไม่ได้ก้าวออกไปไกล แต่กลับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“นี่” เขากล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงไพเราะ
ทุกคนมองตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มผู้นั้นพูดกับพวกนาง หากจะพูดให้ถูกคือยิ้มให้เฉิงเจียวเหนียง
หะ… เหตุใดถึงได้ใจกล้าเช่นนี้
แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้กาลเทศะ สาวใช้และแม่นมของเฉินตันเหนียงรีบมายืนขวางไว้
เฉิงเจียวเหนียงละสายตาจากภาพวาดเมื่อได้ยินเสียงนั้นแล้วชำเลืองมอง
สีหน้าของหญิงสาวยังคงนิ่งเฉย ต่อให้พบกับฝูงหมาป่าหรือพบกับผู้คนก็ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม
อายุของนางคงน้อยกว่าเขาเสียอีก ทั้งๆ ที่เป็นหญิงสาวแท้ๆ แต่เหตุใดถึงได้เยือกเย็นเพียงนี้
นางคงผ่านเรื่องราวอะไรมาถึงทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้
ไม่รู้ว่ายามที่นางเจอตกใจนั้นมีท่าทีอย่างไรบ้าง ว่าแต่นางเคยตกใจบ้างหรือเปล่า
ดวงตานั้นช่างกลมโตยิ่งนัก แต่ยามที่นางมองมา กลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมองเลยสักนิด…
ต่อให้ปิดบังเช่นไร แต่คนที่เคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายมานั้น ย่อมมีสายตาที่เปลี่ยนไป แต่นางกลับไม่มี ตอนที่นางถูกดึงผ้าคลุมหน้าก็ไม่มี
สายตาของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป
หรือว่านางเจอเป็นเช่นนี้ยามเจอคนแปลกหน้า แต่บางทีข้าก็อาจจะไม่ใช่คนแปลกหน้าของนางแล้ว
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
“ที่แท้เจ้าอยู่ที่นี่เอง” เขาเอ่ย
คำพูดนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ สาวใช้และแม่นางอดจะงุนงงไม่ได้ ยามนี้ชายหนุ่มในเมืองหลวงเกี้ยวสาวกันเช่นนี้หรือ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าตอบรับ ถือว่าเป็นการทักทาย
“ใช่” นางตอบกลับ
หรือว่ารู้จักกัน
สาวใช้รู้สึกประหลาดใจ นางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้า มองๆ ดูแล้ว เหมือนเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน…
“พี่เฉิง” เฉินตันเหนียงหันกลับมาแล้วมองไปที่จิ้นอันจวิ๋นอ๋อง จากนั้นมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
“พี่รู้จักเขาหรือ”
เด็กน้อยพูดตามที่คิด เพราะอยากรู้จึงได้ถามออกมาตามตรง
“พบกันเพียงครั้งเดียว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นางยังจำข้าได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ๋นอ๋องยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม
“เจ้าแซ่เฉิง” เขาเอ่ย สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “อ้อ เรือนหลังนั้นแท้จริงแล้วเป็นของเจ้า”
พูดจาไม่มีต้นสายปลายเหตุอีกแล้ว
“ใช่ เรือนหลังนั้นของบ้านเฉิน แต่ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องมองนางแล้วยิ้ม
“ข้าว่าข้าเคยเห็นเจ้าเดินเข้าไป แต่พอไปถามกลับไม่ใช่คนตระกูลเฉิน” เขากล่าว “ทำให้ข้าตกใจแทบแย่ นึกว่าข้าจำผิดคนเสียอีก”
สาวใช้และแม่นมฟังแล้วต่างรู้สึกมึนงง แต่ทั้งสองต่างเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
สาวใช้มองอย่างงุนงน ก่อนจะร้องอุทานแล้วชี้นิ้วไปทางเขาอย่างเสียมารยาท
“อ๋อ อ๋อ ท่านนี่เอง ท่านนี่เอง” ในที่สุดนางก็จำเขาได้แล้วเอ่ยออกมา
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องหัวเราะ ก่อนจะเดินไปยกมือขึ้นปิดปาก ห้ามไม่ให้นางพูด
ที่แท้รู้จักกันมาก่อนหรอกหรือ แม่นมของเฉินตันเหนียงโล่งใจ
แต่ถึงเช่นนั้นก็เถอะ เป็นหนุ่มเป็นสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน เพียงพูดคุยทักทายกันเพียงประโยคสองประโยคก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุยยืดยาว
นางกำลังคิดว่าจะพูดอย่างไรดี เฉิงเจียวเหนียงก็จูงมือเฉินตันเหนียงเดินออกไปแล้ว
“เจ้า เจ้าจะไปไหนหรือ” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องรีบถาม
“ข้าจะไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงหันกลับมาตอบเขา
“เหตุใดถึงกลับเร็วเช่นนี้เล่า” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องยิ้มถาม
“ข้าดูเสร็จแล้ว” นางตอบ
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องตะลึงงันแต่ก็ยิ้มออกมา
ถูกต้องแล้ว ชมพระวิหารต้าฉือเสร็จแล้ว ก็ต้องไปเป็นธรรมดา
เฉิงเจียวเหนียงจูงเฉินตันเหนียงเดินออกจากพระวิหารต้าฉือ
“พวกเราไปดูเจดีย์หลิงกัน” เฉินตันเหนียงเอ่ยเจื้อยแจ้วแล้วรีบเร่งฝีเท้า
สาวใช้และแม่นมต่างรีบเดินตามไป จิ้นอันจวิ๋นอ๋องที่อยู่ด้านหลังก็เดินตามไปด้วยเช่นกัน
“ท่านชาย” สาวใช้หยุดเดินแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ “ท่านอย่าตามพวกเรามาเลย”
“ข้าไม่ได้ตามพวกเจ้า” เขากล่าว “ข้าแค่จะไปดูเจดีย์หลิง”
สาวใช้จ้องตาเขม็ง
“พวกข้าชมเสร็จแล้วท่านค่อยไป” นางกล่าว
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า
“ได้” เขาตอบอย่างไม่ลังเล
คนผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก กล้ามาดึงผ้าคลุมของนายหญิงต่อหน้าผู้คน คำพูดของเขาจะเชื่อได้อย่างไร
“นายหญิงของเจ้าเดินไปไกลแล้ว” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องหัวเราะแล้วยกมือขึ้นมาเตือน
สาวใช้รีบหันกลับไปมอง เฉิงเจียวเหนียงเดินไปแล้วจริงๆ
ตั้งแต่ติดตามนายหญิงมา ไม่ใช่สิ ตั้งแต่ติดตามนายใหญ่มา นางปฏิบัติตนอย่างอ่อนน้อมเสมอมา แต่ครั้นมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ กลับเสียต้องกิริยาให้กับชายเจ้าเล่ห์ผู้นี้
สาวใช้จ้องจิ้นอันจวิ๋นอ๋องตาเขม็งแล้วรีบเดินออกไป
“สาวใช้ผู้นี้สามหาวยิ่งนัก” ขันทีพูด
“คนที่เคยเจอฝูงหมาป่ามาก่อน จะใจกล้าย่อมไม่แปลก” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อ “เจ้านายเป็นเช่นไร สาวใช้ก็เป็นเช่นนั้นแล”
แต่นั่นก็เป็นข้อดีของแม่นางผู้นี้
ขันทีหัวเราะในใจ เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน
“ใช่ ไม่แปลก ข้าน้อยก็โดนคนชมอยู่บ่อยครั้ง” เขาหัวเราะตอบ
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องหัวเราะลั่น
ขันทีมองนายบ่าวทั้งสองที่เดินไกลออกไป อดไม่ได้ที่จะพนมมือ
“องค์ชาย พระโพธิสัตว์ช่างศักดิ์สิทธิ์นักใช่ไหมพะย่ะค่ะ” เขาถาม
ช่างศักดิ์สิทธิ์จริงๆ !
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องพยักหน้า
“ช่างศักดิ์สิทธิ์จริงๆ” เขาเอ่ย
ช่างศักดิ์สิทธิ์จริงๆ !
หานางเจอแล้ว หานางเจอแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะหานางเจอได้ง่ายดายเพียงนี้ ตามพลิกแผ่นดินหากลับไม่พบร่องรอยใดๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาก็พบนางอยู่ตรงหน้าแล้ว!
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องรีบก้าวเท้าตามไป
เฉินตันเหนียงเดินวนรอบเจดีย์อยู่หลายรอบ แม่นมที่ตามมาคอยกำชับว่าควรขอพรอย่างไร
และไม่ลืมที่จะเตือนไม่ให้ขอพรสุ่มสี่สุ่มหา
“ข้าขอพรให้ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ได้หรือไม่” เฉินตันเหนียงถาม
“เช่นนั้นได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นได้เจ้าค่ะ” แม่นมยิ้มตอบ
“พี่เฉิน ท่านก็มาขอพรด้วยกันสิ” เฉินตันเหนียงกวักมือรียก
นางหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ตรงเจดีย์หิน หญิงสาวส่งยิ้มให้นางพร้อมส่ายหน้า
“นายหญิงเฉิงเป็นลูกศิษย์ของผู้บำเพ็ญพรต จึงมิได้มาขอพรต่อหน้าพระพุทธเจ้า” แม่นมกระซิบบอกเฉินตันเหนียง
ลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าจะมาของไหว้สักการะพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
เฉิงเจียวเหนียงเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์หินต่อ เจดีย์สูงเจ็ดชั้น
มีกระดิ่งทองแดงแขวนอยู่ เสียงดังก้องกังวาลไพเราะนักยามลมพัดโชย
สาวใช้ไม่ได้เดินรอบเจดีย์ และก็ไม่ได้มองเจดีย์หินตามเฉิงเจียวเหนียง แต่กลับอยู่ไม่สุขเพราะมองไปทางด้านหลังตลอดเวลา ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ผู้นั้นเดินตามอย่างช้าๆ อยู่ด้านหลังจริงๆ ด้วย
“ตอนเจดีย์สร้างครั้งแรก ตั้งเอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องได้ยินบทสนทนาก็ยิ้มและพูดต่อ
“…ในตอนนั้นมีคนเอ่ยตำหนิว่าเจดีย์เอียง ผู้สร้างตอบว่าอีกร้อยปีจะตั้งตรง” สาวใช้รีบพูดต่อพลางดึงแขนของเฉิงเจียวเหนียงให้เดินออกมา
“…ปีหน้าก็ครบหนึ่งร้อยปีพอดี นายหญิงท่านลองดูที่เจดีย์ อีกเพียงนิดเดียวก็จะตั้งตรงแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงดังก้อง เขาหัวเราะแล้วเดินตามมา
“พวกข้าก็ไม่ได้ตาบอด มองเห็นอยู่” สาวใช้จ้องตาเขม็งแล้วตอบกลับ
เฉิงเจียวเหนียงมองกลับมา จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งยิ้มให้นาง เฉิงเจียวเหนียงละสายตาแล้วหันไปมองเจดีย์ต่อ
สาวใช้ถอนหายใจ ทำทีเหมือนไม่สนใจเขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงยิ้ม
“ใช่หรือไม่” เขาถามเสียงสูง
เฉิงเจียวเหนียงหันมามองเขาอีกครั้ง
“ใช่” นางตอบ
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องมองไปที่นาง รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
……………………………………………..