ต้นสนสูงใหญ่ กาตัวหนึ่งส่งเสียงร้องยามบินผ่านไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองต้นสนที่พลิ้วไหวตามแรงลม
“เจ้ามาอยู่เมืองหลวงก็นานแล้ว เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกหรือ” เขาถาม
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงบังจิ้นอันจวิ๋นอ๋องไว้ เพียงแต่เกลียดตัวเองที่ตัวเล็กไป
เทียบไม่ได้กับองค์ชายและเฉิงเจียวเหนียงเลย
นางจำได้อย่างเลือนลางว่าเมื่อก่อนนางสูงกว่าเฉิงเจียวเหนียงเล็กน้อย หลังจากผ่านปีใหม่มา นายหญิงสูงขึ้นอีกแล้วหรือนี่…
เสื้อตัวนี้ก็ควรตัดใหม่ได้แล้ว
“ข้าเก่งกว่าเจ้า ข้ามาที่นี่ถึงสองหนแล้ว”จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไร
“ว่ากันว่าต้นสนต้นนี้ปลูกในสมัยราชวงศ์ฮั่น” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องพูดพลางผายมือไปที่ต้นไม้
เฉิงเจียวเหนียงหันมองตาม
ลำต้นแข็งแรง กิ่งก้านแผ่ใบเขียวขจี
“ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจเล็กๆ ที่เคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียว” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขา
“ครั้งที่แล้วที่ข้ามา เจอนักบวชพูดจาเยิ่นเย้อน่ารำคาญ ข้าทนฟังไม่จบก็ต้องไล่เขาไป หากข้าได้มาที่นี่หลายหน คงได้ฟังเรื่องราวน่าเบื่อหน่ายพวกนั้น วันนี้คงมีเรื่องมาเล่าให้เจ้าฟังอีกเยอะเลย” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องยิ้มพูด
“มิบังอาจรบกวนท่านชาย” สาวใช้เอ่ยพลางเขย่งตัวให้สูงขึ้นเพื่อบดบังสายตาของเขา “หากจะฟังเรื่องเล่า ข้าเล่าให้นายหญิงฟังเองได้”
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเดินก้าวเข้ามาใกล้อย่างง่ายดาย
“เรื่องเล่าของเจ้าก็เป็นของเจ้า เรื่องเล่าของข้าก็เป็นของข้า ไม่เหมือนกัน” เขาอมยิ้มแล้วหันไปมองทางเฉิงเจียวเหนียงขณะพูด
สาวใช้กัดฟันแล้วก้าวเท้าตามไป
หลังจากการเดินขอพรอันน่าเบื่อหน่ายเสร็จลง เฉินตันเหนียงเองก็เดินรอบเจดีย์ครบแล้ว
“ข้าหิวแล้ว” นางเอ่ย ความสุขที่อยู่ตรงหน้าก็มลายหายไปทันที “อาหารว่างของข้าล่ะ”
“อยู่ที่ปั้นฉินและจินเกอร์ทางโน้นเจ้าค่ะ พวกข้าเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว ไปกินที่สระน้ำอภัยทานดีไหมเจ้าคะ” สาวใช้รีบถามอย่างดีใจ
เฉินตันเหนียงพยักหน้า
“หากกินไม่หมดก็ให้เป็นอาหารปลา พวกปลาก็จะได้กินขนมแสนอร่อยที่พี่เฉิงทำ” นางเอ่ยพลางตบมือ
ปั้นฉินปูผ้ารองนั่งเรียบร้อยแล้ว นางเงยหน้ามองไปทางจินเกอร์ที่ไม่รู้ไปนำกิ่งไม้ที่ไหนมาตีน้ำเล่น
“อย่าซน” นางรีบตะโกนบอก
จินเกอร์หัวเราะแล้วโยนกิ่งไม้ทิ้ง
“นายหญิงมาแล้ว” นางเงยหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
แม่นมเช็ดมือให้กับเฉินตันเหนียง ขณะที่ปั้นฉินส่งผ้าเช็ดมืออุ่นที่เตรียมไว้ให้เฉิงเจียวเหนียง
“พี่ปั้นฉิน” จินเกอร์เรียก
ปั้นฉินหันมา นางมองจินเกอร์ทั้งยังมองไปรอบๆ สาวใช้ซ้ายทีขวาที
“พี่ตื่นตระหนกอะไรหรือ โดนสุนัขไล่กัดมาหรืออย่างไร” เขาถาม
เมื่อพูดจบ สาวใช้พยายามจะรีบห้ามปราบ แต่ก็ช้าไปหนึ่งก้าว
เสียงของขันทีหน้านิ่วดังมาจากระเบียงทางเดิน
“บังอาจ!” เขาตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเหมือนโมโหมาก
จินเกอร์มึนงงไปชั่วขณะ คนอื่นก็งุนงงเช่นกัน
สามารถเข้าไปในสถานที่เช่นนั้นได้ แม้จะไม่ได้แต่งกายโดดเด่นอะไรมาก แต่จากกิริยาท่าทางก็พอมองออกว่าชายหนุ่มผู้นี้มิได้มาจากตระกูลธรรมดา
หากแค่พูดแทรกมาก็ช่างมันไปเถอะ แต่หากมาด่ากันเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเรื่องกันแน่
สาวใช้กระวนกระวายใจ แต่สีหน้ายังนิ่งเรียบดังเดิม ยามนี้ทำได้เพียงเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้ย่อมไม่ผิด นางหันกลับมามองขันที
“ข้าเกิดมาไม่เคยโดนผู้ใดด่าทอเช่นนี้มาก่อน ผู้ใดกันแน่ที่บังอาจ ผู้ใดกันแน่ที่ไม่มีมารยาท” นางขมวดคิ้วเอ่ย
ขันทีผู้นั้นส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“วัดนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า ว่าก็ว่าเถอะ เหตุใดบางคนถึงทำตัวไร้มารยาทได้ แต่เหตุใดบางคนกลับด่าทอผู้อื่นไม่ได้” เขาเอื้อนเอ่ย
บรรยากาศเริ่มดุเดือด
“ใช่” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องพูดขึ้นแล้วยกเท้าถีบขันทีผู้นั้น “นางยังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีๆ จะไปต่อว่าผู้อื่นเช่นนั้นได้อย่างไร! เจ้าน่ะสิเป็นสุนัข!”
ขันทีถูกถีบกระเด็นไปไกล ยิ้มกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม
บรรยากาศเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง
จินเกอร์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรได้แต่ยืนเกาหัวอยู่อีกด้านหนึ่ง ปั้นฉินเก็บผ้าเช็ดมือของเฉิงเจียวเหนียงแล้วเดินออกไป
สาวใช้ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะประคองเฉิงเจียวเหนียงให้นั่งลง
เฉินตันเหนียงไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ปล่อยให้สาวใช้เช็ดมือไป จากนั้นจึงนั่งลงแล้วเปิดกล่องหยิบขนมข้าวปั้นขึ้นมากินหนึ่งชิ้น
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเดินตามมาด้วยความสบายใจ เขายืนพิงราวจับพลางมองปลาในสระน้ำ
“ตระกูลเฉินเป็นญาติเจ้าหรือ” เขาถาม
“ข้าแซ่เฉิง” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเหมือนคิดอะไรออก เลยส่งเสียงร้องออกมา
“ฮ่า” เขาหันกลับมาหัวเราะ “ที่แท้แม่นางเฉิงก็คือเจ้านี่เอง”
บังเอิญพบกันระหว่างทางยามขึ้นมาจากตอนใต้ ทั้งยังสนิทสนมกับบ้านตระกูลเฉิน ท่าทางรีบร้อนตอนออกเดินทางยามค่ำคืน เมื่อนับเวลาดูแล้ว… บวกกับเรือนที่ซื้อจากตระกูลเฉินอีก….
นางคือแม่นางเฉิงที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพ คนที่บีบบังคับหมอหลวงหลี่ต้องซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง ที่แท้ก็คือนางนี่เอง
เขาครุ่นคิดพลางมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง
ใบหน้าเหมือนไร้ความรู้สึก เหมือนไม่ใส่ใจสิ่งใด อายุเพียงแค่นี้ แต่กลับไม่กลัวสิ่งใดเลย
ทำเหมือนไม่รู้ ไม่กลัว แต่กลับวางแผนมาเป็นอย่างดี
“ทำไมเจ้าถึงได้เก่งกาจเช่นนี้” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องก้าวมาข้างหน้าแล้วถามอย่างประหลาดใจ
“แน่นอน พี่เฉิงเก่งมาก” เฉินตันเหนียงเอ่ย “พี่เฉิงเก่งที่สุด”
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องหัวเราะ
“ใช่ ใช่ เก่งมาก” เขายิ้มพลางพยักหน้า
เฉินตันเหนียงไม่สนใจเขาแล้วยื่นมือไปขอขนมจากเฉิงเจียวเหนียง
“ข้าชอบอันนี้” นางเอ่ย
เด็กน้อยสวมเสื้อสีแดงยื่นมือขาวอวบหยิบขนมสีเขียวขึ้นมา มองดูแล้วน่าจะอร่อยและหอมหวาน
“ข้าก็หิวแล้ว” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเอ่ย
เฉินตันเหนียงรีบกอดกล่องขนมไว้ มองคนที่อยากกินอย่างระแวง
แม่นมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
อยากกินหรือ โตขนาดนี้แล้วไม่ใช่เด็กเสียหน่อย ยังอยากกินอีก นี่คงเป็นวิธีเกี้ยวพาราสีผู้หญิงของเขาสินะ
ลูกไม้ตื้นๆ ของชายหนุ่มเช่นนี้ ใครก็มองออก
เพียงแต่นายหญิงเฉิงไม่ใช่เจ้านายของตน อีกทั้งนายหญิงยังรู้จักชายผู้นั้นด้วย นางก็ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอย่างไร
สาวใช้มองไปทางชายผู้นั้น นางโกรธจนแทบตัวสั่น
“ท่าน…” นางเปิดปากกำลังจะตะโกน
“ข้าไม่ได้กินข้าวเช้า” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องตัดบท “เดิมทีข้าจะไปกินบะหมี่เจ แต่เห็นแม่นางกินได้น่าอร่อยนัก ข้าก็หิวจนแถบทนไม่ไหวแล้ว”
“หากหิวจริงๆ ก็กินเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็ปิดปากเงียบ โมโหจนพูดอะไรไม่ออก
เฉินตันเหนียงเบ้ปาก
“ข้ามีเแค่สามชิ้นเอง” นางตะโกน
“ประเดี๋ยวข้าเลี้ยงบะหมี่เจเจ้า” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องยิ้มพลางยื่นมือขอ “ให้ข้าชิ้นหนึ่งได้ไหม”
“ข้าไม่กินบะหมี่เจ ข้าจะกินบะหมี่เนื้อ” เฉินตันเหนียงเอ่ย
“ที่ข้ายังมี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เฉินตันเหนียงสบายใจ แล้วรีบนำกล่องขนมออกมา
“ข้าให้ท่านชิ้นหนึ่งก็ได้” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเดินเข้ามาใกล้ โน้มตัวหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วนำเข้าปาก
“ขอบใจเจ้ามาก” เขายิ้มเอ่ยแล้วมองไปที่เฉินตันเหนียง “วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ขอบใจมากที่ให้ข้ากิน”
เฉินตันเหนียงส่งเสียงฮึดฮัดในจมูก
สำหรับเด็กอย่างนางแล้ววันเกิดนั้นเป็นวันที่สำคัญมาก แต่เพราะว่ายังเด็กนักและไม่อยากจะตามใจจนเสียคน จึงไม่เคยได้จัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โต แต่ของขวัญจากพ่อแม่และญาติสนิทและการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“วันเกิดของท่านทำไมไม่กินข้าวกับครอบครัวของท่านเล่า ท่านพ่อและท่านแม่ของท่านเหตุถึงให้ท่านออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้” นางถาม
“แม่นางสิบเก้า” แม่นมเรียกเสียงเบาพลางดึงนางมากอดไว้ “แม่นางสิบเก้า พวกเราไปดูกันเถอะว่าฮูหยินออกมาแล้วหรือยัง”
นางเอ่ยพลางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
นางหมายจะเตือนเฉิงเจียวเหนียงด้วยเช่นกัน
เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงแล้วค่อยๆ ดื่มน้ำอย่างเชื่องช้า ปั้นฉินที่อยู่อีกฝั่งก็ยื่นตะกร้าขนมให้
“เช่นนี้แล้ว ข้าให้ท่านทั้งหมดเลยแล้วกัน” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องมองตะกร้าที่ยื่นมาให้ก็ยิ้มออกมา
“ขอบใจเจ้ามาก” เขาเอ่ยพร้อมยื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงใจ อีกมือหนึ่งก็กินขนมในมือจนหมดภายในคำเดียว จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิบจากตะกร้าอีกหนึ่งชิ้นแล้วค่อยๆ กิน
ท่าทางคงหิวมากจริงๆ …
พูดออกมาได้ไม่อายปากว่าอยากกิน ช่างเสียเปรียบเจ้าจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ยิ่งนัก!
นายหญิงเป็นคนอารมณ์ดีเสมอมา ขอเพียงแต่ไม่กดดันนาง ไม่ยั่วยุนาง ไม่ประสงค์ร้ายต่อนางเป็นพอ
แม้ว่านางจะพูดไม่เก่ง แต่นางไม่เคยว่าร้ายให้ผู้อื่นก่อน ในทางกลับกันนางกลับเป็นคนง่ายๆ รักสงบ เจราจาง่ายที่สุดแล้ว
สาวใช้โมโหมาก นายหญิงแสนดีเกินไป!
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นเอ่ย
แม่นมของเฉินตันเหนียงถอดหายใจอย่างโล่งอก สาวใช้ก็เช่นเดียวกัน จากนั้นจึงรีบเรียกให้ปั้นฉินและจินเกอร์เก็บของ
“ตอนนี้พิธีชงชาฌานคงใกล้เสร็จแล้ว คงต้องรอหน้าอุโบสถอีกนานกว่าคนข้างในจะออกมา”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขณะอุ้มตะกร้าขนมไว้ในมือ
สีหน้าช่างดูเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าพวกนางตั้งใจหาข้ออ้างเพื่อหลีกหนีไปหลังจากได้ที่แม่นมเตือนหรือเปล่า
“ข้ารู้” เฉิงเจียวเหนียงตอบพลางมองไปข้างหน้า “ที่ข้าจะไปดูไม่ใช่คนด้านใน”
สวีปั้งฉุยนั่งพัดเตาไฟ ดอกไม้และผลไม้สดถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะ มองแล้วช่างดึงดูดสายตายิ่งนัก
……………………………………………………..