แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ทว่าหลินหลันยังคงไม่อาจข่มตานอนได้ นางได้ยินเสียงหมิงอวินข้างกายพลิกตัวอย่างระมัดระวัง แสดงให้เห็นว่าเขายังนอนไม่หลับเช่นกัน
“พี่ใหญ่น่าจะใกล้กลับมาแล้วกระมัง” หลินหลันเอ่ยถามเสียงบางเบา
หลี่หมิงอวินส่งเสียง อืม อันแสนแผ่วเบา “คงใกล้แล้วละ”
แม้หลินหลันไม่ได้เอ่ยถาม และหมิงอวินก็ไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ เช่นกัน ทว่าหลินหลันรู้ดีว่าหมิงอวินกำลังเป็นกังวลเรื่องหมิงจู
“หมิงอวิน” หลินหลันขยับตัวเข้าไปซบ หมิงอวินอ้าแขนตามสัญชาตญาณเพื่อเป็นหมอนให้นางหนุน
หลินหลันเอ่ยอย่างลังเล “ข้าคิดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหนือการควบคุมไปหน่อยเสียแล้ว ไม่เป็นไปตามผลลัพธ์อย่างที่ข้าคาดไว้ก่อนหน้า”
หลี่หมิงอวินเงียบ ภายใต้ค่ำคืนเงียบสงัด น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบพร่าไม่สุขุมนุ่มลึก มีความเศร้ารันทดเจืออยู่เล็กน้อย “นั่นเป็นเพราะพวกเราไม่อาจรู้ได้ว่าจิตใจคนเรามันอำมหิตได้ถึงระดับใด”
“หรือบางทีเราอาจกังวลมากไป” หลินหลันกล่าวปลอบใจตนเอง
“เอ้อร์เส้าเหยียขอรับ…” ตงจึเคาะประตูอยู่ด้านนอก
หลี่หมิงอวินตื่นตกใจก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนไปเปิดประตู
หลินหลันได้ยินตงจึเอ่ยว่าคุณชายใหญ่กลับมาแล้ว ทว่าแม่นางน้อยหมิงจูไม่ได้กลับมาด้วย
หลินหลันใจหล่นวูบ เนิ่นนานพอตัวกว่านางจะได้ยินหมิงอวินเอ่ยขึ้น “เจ้าให้เหวินซานพาหวังต้าไห่ออกจากเมืองหลวงโดยมุ่งไปทางตอนใต้ให้เร็วที่สุด ถ้าหาก…คนเหล่านั้นไม่เป็นอันใดก็คิดหาวิธีเอากล่องอาหารกลับมา หากสายเกินไปเสียแล้วก็ลองดูว่ายังพอช่วยชีวิตเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะได้หรือไม่ หลังจากนั้นรีบกลับมารายงานข้า”
“ขอรับ…” ตงจึงขานรับแล้วจากไป
บนรถม้า หมิงจูรับประทานของว่างไปสามสี่ชิ้น ทำให้ท้องไส้ไม่รู้สึกหิวขนาดนั้นแล้ว นางจึงหันมากล่าวต่อมารดาด้วยความใส่ใจ “ท่านแม่ ท่านก็กินหน่อยเถอะ!”
ในมือนางฮานถือหนังสือหย่าร้างฉบับนั้นพลางถอนหายใจด้วยความหดหู่ “แม่ไม่หิว ตอนนี้แม่ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”
หนังสือหย่าร้างก็เขียนขึ้นมาเสร็จสรรพแล้ว ครานี้หลี่จิ้งเสียนคงต้องการตัดขาดกับนางอย่างสิ้นเชิงแล้วสินะ
หมิงจูรู้ดีว่ามารดากำลังรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรปลอบใจมารดาอย่างไรดี จึงได้แต่เอนกายพิงศีรษะลงบนเข่าของมารดาอย่างเงียบๆ ฟังเสียงล้อรถที่เคลื่อนหมุนดังเอี๊ยดอ๊าด…ไม่ทันใดก็รู้สึกเปลือกตาหนักอึ้งก่อนสะลึมสะลือหลับไป
ท้องนภาค่อยๆ สว่างไสวขึ้น นายสวี่ผู้คุมรถเอ่ยขอความคิดเห็น “ฮูหยินขอรับ เบื้องหน้ามีบ้านของชาวบ้านอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องการพักผ่อนกันก่อนสักหน่อยหรือไม่ขอรับ…”
นางฮานเลิกผ้าม่านรถเปิดออก เมื่อทอดสายตามองไกลออกไปก็ปรากฏควันไฟลอยโขมง “แวะเข้าไปดูหน่อยแล้วกัน!”
หมิงจูยังคงหลับสนิท นางฮานลูบคลำผมของหมิงจูด้วยความรักใคร่เอ็นดู เอ่ยเรียกด้วยเสียงบางเบา “หมิงจู ตื่นเถอะ ฟ้าสางแล้ว…”
ทว่าหมิงจูยังคงไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง นางฮานจึงเผยรอยยิ้มพลางตบแผ่นหลังของหมิงจูอย่างเบามือ “จูเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว…”
หมิงจูยังคงไม่ขยับเขยื้อน นางฮานรู้สึกถึงความผิดปกติจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของหมิงจูก่อนตามมาด้วยเสียงร้องตระหนกตกใจเพราะใบหน้าของหมิงจูร้อนจี๋
“จูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์…เจ้าตื่นสิ! จูเอ๋อร์…” นางฮานส่งเสียงร้องเรียกพลางเขย่าตัวหมิงจู
เหล่าสวี่รีบหยุดรถม้าทันที “ฮูหยิน เสี่ยวเจี่ยะเป็นอันใดไปหรือขอรับ”
นางฮานกล่าวอย่างลนลานทั้งน้ำตา “หมิงจูเป็นไข้ ตัวร้อนจี๋ นี่…นี่จะทำอย่างไรกันดี”
นายสวี่กล่าว “เช่นนั้นรีบพาไปหาหมอให้ตรวจดูอาการเถิดขอรับ”
ทว่า หมู่บ้านชนบทที่แสนห่างไกลความเจริญนี้จะไปหาหมอจากแห่งหนใดหรือ
เหวินซานและฝูอานไล่ติดตามมาโดยมุ่งลงทางทิศใต้ไปตามเส้นทางหลัก กระทั่งยามท้องนภาสว่างโล่งก็ยังคงไม่เห็นวี่แววรถม้าของจวนหลี่
“หรือว่าเอ้อร์เส้าเหยียคาดการณ์ผิดพลาดไป พวกนางไม่ได้เดินทางมาเส้นทางนี้ด้วยซ้ำ…” ฝูอานกล่าวด้วยความสงสัย
เหวินซานที่นั่งอยู่ในรถม้ามองดูทิศทางเบื้องหน้าแล้วเอ่ยด้วยความมั่นใจ “ไม่ผิดหรอก พวกนางนอกจากกลับบ้านเกิดก็ไม่มีที่อื่นใดให้ไปได้อีกแล้ว พวกเรามุ่งตามไปข้างหน้าอีกหน่อยแล้วกัน”
หวังต้าไห่ถูกเหวินซานฉุดกระชากให้ขึ้นรถม้ามาด้วยกันกลางดึกโดยที่เหวินซานไม่ได้บอกกล่าวว่าไปทำอันใด เอ่ยเพียงว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน พอเขาขึ้นรถไม่ทันไรก็นอนหลับต่อไปพักใหญ่ ยามนี้เพิ่งสะลึมสะลือลืมตาขึ้นจึงเอ่ยถามด้วยความมึนงง “นี่พวกเรากำลังจะไปไหนกันหรือ”
ยามนี้เองเหวินซานถึงได้บอกกล่าว “เอ้อร์เส้าเหยียกังวลว่าหลี่เหล่าเหยียจะวางยาพิษในอาหารให้นางฮานกับแม่นางน้อยหมิงจู”
หวังต้าไห่ตกตะลึง กล่าวด้วยความสงสัย “เช่นนั้นนายน้อยของพวกเจ้าจะร้อนใจไปทำไมกัน แม่เลี้ยงสารเลวประเภทนั้น โดนยาพิษตายไปน่ะดีที่สุดแล้ว นี่อย่างไรล่ะ ที่เรียกว่าคนชั่วร้ายมักมีคนที่ชั่วร้ายกว่ามาจองเวร”
เหวินซานกล่าว “หากเป็นแค่แม่เลี้ยงชั่วร้ายนั่นผู้เดียว เอ้อร์เส้าเหยียก็คงไม่สนใจไยดีหรอก ปัญหาคือแม่นางน้อยหมิงจูอยู่บนรถด้วยน่ะสิ”
หวังต้าไห่พยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นคงต้องรีบแล้วละ หากที่ใส่ลงไปเป็นพวกสารหนูอะไรนั่น เกรงว่าจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว”
รถม้าจึงเคลื่อนตัวต่อไปด้วยความเร็วอีกระยะหนึ่ง ระหว่างนั้นฝูอานกล่าวขึ้นกะทันหัน “เหวินซาน ดูนั่นเร็วเข้า ด้านหน้าใช่รถม้าของจวนหลี่หรือไม่”
เหวินซานยื่นศีรษะออกไปมองแล้วกล่าวด้วยความดีใจ “ใช่ๆ”
นางฮานกำลังสติแตก ทันทีที่เห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามาจึงพุ่งไปอยู่กลางทางเพื่อขวางรถม้าไว้โดยไม่สนว่ามันอันตรายหรือไม่
ฝูอานที่เตรียมตัวไว้แต่แรก กุมบังเหียนเพื่อบังคับให้รถม้าหยุดเคลื่อนที่
“ต้าเหยียท่านนี้ ท่านโปรดช่วยชี้นำด้วยเจ้าค่ะว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีหมออยู่แห่งหนใดบ้าง” นางฮานร้อนรนใจจนแทบร้องไห้ออกมา
เหวินซานรู้สึกอึดอัดใจทันทีที่ได้ยินคำพูดของนางฮาน นางแม่เลี้ยงชั่วร้ายไม่เป็นอะไร แต่ดันเป็นแม่นางน้อยหมิงจูที่ดันต้องประสบเหตุการณ์ดังกล่าวนั่น นี่มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! อะไรจะดวงแข็งปานนี้
เหวินซานส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หวังต้าไห่ หวังต้าไห่จึงยื่นหน้าออกจากรถม้าแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดป่วยแล้วหรือ”
“ลูกสาวข้า ต้าเหยีย ลูกสาวข้าแย่แล้วเจ้าค่ะ…”
ฝูอานแสยะยิ้ม “นับว่าเจ้าโชคดี เพราะนายท่านตระกูลข้าเป็นหมอ”
นางฮานดีอกดีใจยกใหญ่ นางคุกเข่าลงตามด้วยก้มศีรษะคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า “ท่านหมอโปรดช่วยลูกข้าด้วย ได้โปรด หญิงชราอย่างข้าขอร้องท่านละ…”
หวังต้าไห่ถือกล่องยาลงจากรถแล้วเดินไปยังรถม้าของนางฮานเพื่อช่วยตรวจวัดชีพจรให้หมิงจู ใบหน้าของหมิงจูแดงก่ำด้วยพิษไข้ เมื่อตรวจดูช่องปากปรากฏว่ามีอาการเหงือกบวม เลือดออกตามไรฟัน นอกจากนั้นยังมีกลิ่นเหม็น หวังต้าไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจภายใต้สีหน้าจริงจัง “รีบไปบ้านชาวบ้านด้านหน้าแล้วนำไข่ไก่กับนมวัวมาหน่อย เร็วเข้า…”
นายสวี่กล่าวทันควัน “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
นางฮานร้อนรนใจอย่างยิ่ง “ท่านหมอ สรุปแล้วลูกสาวข้าเป็นอันใดหรือเจ้าคะ”
หวังต้าไห่กล่าว “ถูกยาพิษ นางกินอะไรเข้าไป”
ภายในสมองนางฮานแทบระเบิดออกเป็นจุณ ถูกยาพิษ? จะถูกยาพิษได้อย่างไรกัน ในเมื่อหมิงจูเอ่ยว่าสองวันมานี้นางไม่ได้กินอะไรทั้งนั้น…จริงสิ ขนมอบ หมิงเจ๋อเอ่ยว่าเป็นของว่างที่หลี่จิ้งเสียนเตรียมไว้ให้ สวรรค์! นางควรนึกขึ้นได้แต่แรก ไอ้คนสารเลวผู้นี้เกลียดนางเข้ากระดูกดำจนอยากให้นางตายไปให้รู้แล้วรู้รอด แล้วไยจะมีน้ำใจเตรียมขนมไว้ให้นางเช่นนี้ไปได้ นางฮานรีบไปนำกล่องขนมมาเปิดดูอย่างลนลานแล้วตะโกนขึ้น “ท่านหมอ ท่านดูนี่เจ้าค่ะ ลูกสาวข้ากินขนมถั่วแดงนี่เข้าไปสามสี่ชิ้นเจ้าค่ะ”
หวังต้าไห่หยิบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วจ่อไว้ที่ปลายจมูกเพื่อสูดดม ก่อนแบะมันออกแล้วตรวจสอบอย่างละเอียด ปรากฏว่าในขนมอบนี้มีสารปรอทปะปนอยู่
“ไม่ผิดแน่ ขนมนี่มีสารปรอทอยู่ด้วย ลูกสาวเจ้ากินเข้าไปกี่ชิ้น” หวังต้าไห่เอ่ยถาม
นางฮานตัวสั่นเทิ้ม ลิ้นพันกันไปหมดจนแทบพูดไม่ออก “ไม่…ไม่รู้แน่ชัดเจ้าค่ะ น่าจะสี่ห้าชิ้น…เห็นจะได้ มันร้ายแรงหรือเจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียน เจ้ามันไอ้คนอำมหิตถึงขั้นวางยานางได้ลงคอ อีกทั้งยังเป็นการใช้สารปรอท นี่เขาคิดจะแก้แค้นแทนอนุภรรยาหลิวหรือไร ไอ้คนชั่ว คิดจะวางยาพิษนางให้ตายๆ ไปก็ช่าง ทว่าทั้งๆ ที่เขารู้ว่าหมิงจูอยู่กับนางด้วย เมื่อมีของกินอยู่แล้วมีหรือหมิงจูจะไม่กินมันเข้าไปด้วย เขาคิดจะให้หมิงจูตายไปพร้อมๆ กับนางเลยหรือ ใครๆ ต่างเอ่ยว่าถึงเสือจะดุร้ายแต่มันก็ไม่กินลูกของตนเอง[1] ทว่าสัตว์เดรัจฉานยังสู้หลี่จิ้งเสียนไม่ได้ด้วยซ้ำ…นางฮานกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น หากหมิงจูมีอันเป็นไป นางก็ไม่ขอมีชีวิตนี้อยู่อีกแล้วและจะต้องลากเขาให้ตายไปพร้อมๆ กันด้วยเสียเลย
“นับว่าเจ้าโชคดีที่ได้พบเจอข้า หากช้าไปอีกนิด ต่อให้เป็นเซียนหมอจากแห่งหนใดก็ไม่อาจช่วยชีวิตลูกสาวเจ้าได้แล้ว” หวังต้าไห่กล่าว
ฝูอานแนะนำขึ้น “จะทำการรักษากันที่นี่คงไม่เหมาะนัก ไม่สู้ไปหาบ้านคนที่เบื้องหน้านั่นเพื่อปักหลักชั่วคราวดีหรือไม่”
หลังการช่วยชีวิตครั้งนี้ผ่านพ้นไป หมิงจูจึงพ้นขีดอันตรายได้ในที่สุด “ถึงจะช่วยชีวิตไว้ได้ ทว่าอาจมีผลสืบเนื่องจากการเจ็บป่วยครั้งนี้”
นางฮานกล่าวด้วยความหวาดกลัว “จะมีผลสืบเนื่องจากอาการป่วยอย่างไรหรือเจ้าคะ”
หวังต้าไห่ครุ่นคิดชั่วขณะ “ตอนนี้คงบอกแน่ชัดไม่ได้ ลูกสาวเจ้ากินขนมนั่นเข้าไปในปริมาณมิใช่น้อยๆ และพิษแทรกซึมเข้าไปมากแล้วด้วย หากพิษเข้าไปทำลายส่วนสมองก็อาจกลายเป็นคนไม่สมประกอบ หากทำลายตับไต เช่นนั้นก็คงเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว แต่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือลูกสาวเจ้าอาจมีบุตรไม่ได้เสียแล้ว”
นางฮานรู้สึกราวกับถูกของแข็งกระทบลงมาที่ศีรษะอย่างจัง ใช่แล้ว ตอนนั้นที่นางเลือกใช้สารปรอททำร้ายอนุภรรยาหลิวก็เคยถามไถ่หมอไว้แล้วเช่นกัน หากถูกพิษในสารปรอทจนถึงระดับหนึ่งอาจทำให้ผู้ถูกพิษไม่อาจมีบุตรได้ ตอนนั้นมันเป็นผลลัพธ์ที่นางต้องการ แต่การวางยาของนางทำโดยค่อยๆ ใส่ลงไปทีละนิด ไม่เหมือนหลี่จิ้งเสียนสัตว์เดรัจฉานผู้นี้ที่ใส่ในคราเดียวปริมาณมากเพียงนี้ นางฮานมองดูหมิงจูที่กำลังสลบไสล ภายในใจเจ็บปวดประหนึ่งถูกมีดกรีดเฉือน หากหมิงจูไม่สมประกอบหรือมีบุตรไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ของหมิงจูคงนับวันเป็นอันพังพินาศแล้วจริงๆ…นางรู้สึกสงสารหมิงจูเสียเหลือเกิน!
นางฮานโน้มเข้าไปโอบกอดหมิงจูพร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาด้วยความเศร้าโศก
หวังต้าไห่ที่ได้ยินกิตติศัพท์ความชั่วร้ายของนางฮานมาก่อนหน้าจึงรู้สึกเกลียดชังนางอย่างยิ่ง “นี่! เจ้าร้องไห้เช่นนี้ คนเขาคงได้คิดว่าลูกสาวเจ้าใกล้ตาย แล้วใครเขาจะกล้าให้เจ้าอยู่ต่ออีกหรือ” เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
นางฮานถึงได้พยายามสะกดกลั้นความเศร้าโศกไว้ ทำเพียงส่งเสียงสะอึกสะอื้น
หวังต้าไห่เลิกคิ้วขึ้น เผยสีหน้าเหยียดหยัน “นี่! ข้าว่าเจ้าคงไปทำเรื่องแย่ๆ อันใดกับคนอื่นเขาไว้แล้วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นเหตุใดคนเขาถึงต้องวางยาเพื่อทำร้ายพวกเจ้าด้วย”
นางฮานสะดุ้งเฮือก ทันใดนั้นภายในสมองปรากฏคำว่า ‘กรรมตามสนอง’ ล่องลอยขึ้นมา นางรู้สึกหวาดกลัว นี่มันเป็นกรรมตามสนองจริงๆ หรือ ทว่าต่อให้เป็นกรรมตามสนองก็ควรตกมาอยู่ที่นางสิ หมิงจูไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอันใด นางยังเป็นเด็กอยู่เลย! แล้วเช่นนี้ภายภาคหน้าจะให้นางทำเช่นไร ไม่สิ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของหลี่จิ้งเสียนไอ้สัตว์เดรัจฉานผู้นั้น ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา
หวังต้าไห่มองดูสีหน้านางฮานที่ไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย แต่กลับมีเพียงดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น จึงอดถอนหายใจพลางส่ายหน้าไม่ได้ นางแม่เลี้ยงชั่วร้ายผู้นี้ จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่รู้จักสำนึกอีก คงเกินเยียวยาแล้วจริงๆ น่าเสียดายเหลือเกินที่ผู้ถูกพิษไม่ใช่นาง
“ข้าเขียนใบจ่ายยาไว้ให้เจ้าสองอย่าง นี่เป็นใบจ่ายยาสำหรับการถอนพิษ เอามาลองกินต่อเนื่องดูก่อน และเสริมด้วยแกงถั่วเขียวทุกวันเพื่อขจัดพิษ หากเจ็ดวันไปแล้วยังขจัดพิษไม่เกลี้ยงก็กินต่อเนื่องไปอีกเจ็ดวัน ส่วนนี่เป็นใบจ่ายยาสำหรับบำรุงร่างกาย ทว่าไว้ถึงตอนนั้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าพาลูกเจ้าไปหาหมอตรวจดูอาการอีกทีจะดีกว่า จะได้บำรุงตามอาการเป็นจริง” หวังต้าไห่ยื่นใบจ่ายยาสองใบให้นางฮานก่อนยกสองมือขึ้นคารวะแล้วขอตัวลา
นางฮานถือใบจ่ายยาแล้วกล่าวขอบคุณหวังต้าไห่ยกใหญ่ “มิทราบว่าท่านเป็นหมออยู่แห่งหนใดหรือเจ้าคะ ภายภาคหน้าหากมีโอกาสจะได้ไปเยี่ยมท่านเพื่อเป็นการขอบคุณถึงที่”
หวังต้าไห่กล่าวเชิงเหยียดหยามเบาๆ “มิต้องขอบคุณหรอก ตัวข้าเองเป็นหมอ ดังนั้นเรื่องการรักษาชีวิตคนก็เป็นหน้าที่ของข้า ทว่า ข้าขอแนะนำเจ้า เป็นคนทั้งทีก็ควรสะสมคุณงามความดีเอาไว้ให้มากๆ ต่อให้มิใช่สะสมคุณงามความดีเพื่อตนเองก็ถือว่าสะสมเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไป ข้าขอตัวลาก่อนละ”
นางฮานตกตะลึง หมอท่านนี้พูดจาแปลกประหลาดชอบกล เขามีสิทธิ์อันใดมาชี้ขาดว่านางเป็นคนไม่ดีถึงได้พบเจอเวรกรรมตามสนองเช่นนี้ คนที่ควรได้รับกรรมตามสนองควรเป็นหลี่จิ้งเสียนนั่นต่างหาก นางจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่ ไม่มีทาง
หวังต้าไห่กลับขึ้นไปบนรถม้า เหวินซานเอ่ยถามทันที “เป็นอย่างไรบ้าง นางรอดหรือไม่”
หวังต้าไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยเจ้าระบุให้ข้าออกโรงทั้งที แล้วข้าจะทำให้ผิดหวังได้หรือ ทว่าการวางยาพิษนี่มันอำมหิตมากทีเดียว ต่อให้ไม่ตายแต่ก็ทำให้คนถูกพิษไม่สมประกอบได้ และคงไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้เสียแล้ว”
เหวินซานรู้สึกถึงความเกลียดชังเย็นเยียบขึ้นมาทันใด นายท่านหลี่ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง!
[1]ถึงเสือจะดุร้ายแต่มันก็ไม่กินลูกของตนเอง (虎毒不食子) หมายความว่า คนเราไม่ว่าเหี้ยมโหดแค่ไหนก็ไม่ทำร้ายลูกของตนเอง