บทที่ 61.2 ข้าพร้อมที่จะพ่ายแพ้ (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ฉินเฟิงหัวเราะและพูดว่า “อาจารย์โจว อาจารย์หยุน ในอนาคตหากท่านทั้งคู่ต้องการสิ่งใด ท่านสามารถมุ่งหน้ามาหาข้าที่ร้านนี้ได้ แม้จะไม่กล้าบอกว่าข้ามีสินค้าทุกอย่าง แต่อย่างน้อยสิ่งของจำเป็นทั่วไปข้าก็ต้องมีครบแน่นอน อีกทั้งข้าก็ยังยินดีขายให้ท่านในราคาทุนอีกด้วย” อันที่จริงเขาไม่ได้เงินสักเหรียญจากโจวเหว่ยชิง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเดิมพันและการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทั้ง 2 คนนี้ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายมาที่ร้านของเขา ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าเวลานี้จะดึกดื่นมากแล้ว แต่ร้านของเขาก็ยังมีลูกค้าจำนวนมากอยู่ในร้าน อีกทั้งยังมีคำสั่งซื้อมากมายในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา การที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีความสามารถโดดเด่นมาเลือกซื้อสินค้าจากร้านของเขา นั่นให้ผลลัพธ์ดีกว่าการโฆษณาป่าวประกาศใดๆ ด้วยซ้ำ

พวกเขาเอ่ยลาฉินเฟิง จากนั้นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พาหยุนลี่กลับไปที่บ้านของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าบ้านของพวกเขาค่อนข้างใหญ่โต ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในการหาห้องพักให้หยุนลี่

ทันทีที่พวกเขามาถึงบ้าน โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ว่าหมิงฮัวยังไม่ได้กลับมา ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก เขาย่อมสุขใจมากกว่าหากนิกายปีศาจสวรรค์ไม่มาตามราวีเขา วันนี้เสียดายเพียงอย่างเดียวคือแม้เขาจะได้ยินเสียงของเทียนเอ๋อร์อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้มองเห็นความงามที่น่าอัศจรรย์นั้นอีกหน สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจมาก

หยุนลี่ไม่ได้สนใจเรื่องที่พักอาศัยของเขามากนักและไม่แม้แต่จะตรวจสอบห้องพักของตนด้วยซ้ำ เขารีบพุ่งเข้าไปในห้องของโจวเหว่ยชิงอย่างไม่ลังเลด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็รีบร้อนตรวจสอบค้อนคู่ของโจวเหว่ยชิงอีกหน

แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักกับตัวเอง เธอหันไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมเครื่องดื่มให้พวกเขาเพราะรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องอยู่ในนั้นอีกนาน หลังจากนั้นเธอก็มุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อเริ่มฝึกปราณต่อ

ท่ามกลางประกายแสงสีทองเข้ม โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยค้อนคู่ซึ่งเป็นอาวุธชิ้นแรกในชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานของเขาอีกครั้ง เมื่อหยุนลี่เริ่มตรวจสอบสภาพของพวกมันใกล้ๆ สายตาของเขาก็ระยิบระยับด้วยความหลงใหล

“ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามารถต่อกรกับหลินเทียนอ้าวผู้น่าเกรงขามคนนั้นได้ มันน่าทึ่งมาก…สวยงามมากเหลือเกิน…ชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานนี้คู่ควรกับคำว่าตำนานจริงๆ! จะว่าไปแล้ว เจ้าทำอย่างไรถึงหลอมรวมสิ่งนี้ได้สำเร็จ? หรือว่านิกายของเจ้าสามารถสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้จริงๆ? แม้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าจะสร้างม้วนคัมภีร์เช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่ก็น่าจะต้องใช้ถึง 10 แผ่นเพื่อรับประกันความสำเร็จไม่ใช่หรือ?”

โจวเหว่ยชิงเอ่ยตอบอย่างสงสัย “ทำไมข้าได้ยินมาจากอาจารย์ว่าไม่ใช่แค่ 10 แผ่น?! อย่างไรก็ตาม นิกายของข้ามีเพียงแผ่นเดียว และข้าก็โชคดีมากเพราะหลอมรวมสำเร็จภายในครั้งเดียวนี่แหละ”

หยุนลี่จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด “บัดซบ!…เจ้าคนน่ารังเกียจ…น่ารังเกียจเกินไปแล้ว! ข้าช่างโชคร้ายเหลือเกิน ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจทั้ง 2 นับจากนี้เป็นต้นไปทุกๆวัน อ้า…ชีวิตของข้าช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว!” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนฝึกฝนมาอย่างหนักเป็นเวลาหลายปีเพียงเพื่อจะกลายมาเป็นข้ารับใช้ของคนอื่น วางเดิมพันและสูญเสียอิสรภาพของตัวเองไปง่ายๆ เช่นนี้…เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสร้อยเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นดวงตาแสดงความเศร้าโศกของหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็หัวเราะและพูดว่า “ก็อย่างที่พูดไป เจ้าโดนข้าหลอกจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็เป็นเพราะความทะนงตัวของเจ้าเองมิใช่หรือ เฮ้อ โชคร้ายสำหรับหลินเทียนอ้าวจริงๆ เขาเป็นคนเสนอตัวให้ข้าเองด้วยซ้ำ พลังป้องกันของเขาเหนือมนุษย์เกินไป! นี่ยังไม่พูดถึงพลังป้องกันของเขา แค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวก็น่าสะพรึงกลัวแล้ว…แปลกจริงๆ…เขาไม่ใช่จ้าวมณีที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง ทว่าพละกำลังของเขากลับดูแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อมาก”

หยุนลี่กรุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “เหว่ยชิง ถ้าข้าเดาไม่ผิด ข้าคิดว่าพี่หลินมีสายเลือดชนเผ่าคนเถื่อน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ยิ่งเขามีชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ นั่นย่อมเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาถูกเงื่อนไขการเดิมพันจำกัดความสามารถเอาไว้ แม้ว่าเจ้าจะมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เหนือมนุษย์พอๆ กันและให้พวกเราทั้ง 2 คนโจมตีเขาพร้อมๆ กัน ข้าก็ยังคิดว่าเราอาจจะเอา ชนะเขาไม่ได้ แม้ว่าค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานของเจ้าจะทรงพลังอย่างมาก แต่มันก็มีเพียงชิ้นเดียว หากไม่มีการเสริมพลังจากทักษะอื่นๆ แม้ว่าเจ้าจะใช้พลังเต็มที่ เจ้าก็ยังไม่สามารถทำร้ายเขาได้อยู่ดี นอกจากนี้พลังปรานสวรรค์ของเขาก็ยังเหลืออยู่เต็มเปี่ยม ทั้งยังมีมณียุทธ์ประเภทความทรหดอีก ด้วยเหตุนั้น พลังของเขาจึงสามารถคงอยู่ได้นานกว่าพวกเรา หากต้องต่อสู้กันจริงๆ เราต้องพ่ายแพ้ให้แก่เขาอย่างแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “สู้จริงๆ งั้นหรือ? ทำไมข้าต้องต่อสู้กับเขาด้วยล่ะ? ถ้าข้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าตัวเองวิ่งเร็วกว่าเขา ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนของตัวเองกันทั้งนั้น เหตุผลที่เขาเลือกเดิมพันกับพวกเราก็เพราะพลังป้องกันของเขา เขามั่นใจในเรื่องพละกำลังของตนเอง แต่ไม่มีความมั่นใจในเรื่องความเร็ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ ทั้งยังถูกใช้ไปกับการป้องกันอีกด้วย…ข้าชักจะสงสัยว่าแล้วว่าหากใช้กับอาวุธต่อสู้ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร…”

ในขณะที่เขาพูดถึงจุดนี้ ทั้งคู่ก็สบตากันและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจ หยุนลี่กล่าวอย่างจริงจัง “เหว่ย ชิง ดูเหมือนว่าเราควรค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ และอาจจะออกแบบชุดประสานศาสตรามณียุทธ์สักหลายๆ ชุด นี่อาจจะเป็นแหล่งรายได้ที่ดีสำหรับเราก็ได้”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นทันที เขาฟาดมือลงบนหน้าขาของตัวเองอย่างกะทันหันขณะที่ร้องอุทานว่า “ถูกต้อง! เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้เรายังมีหลินเทียนอ้าว เพื่อนที่น่ารังเกียจคนนั้นเป็นตัวอย่างชั้นดี ฮ่าๆๆๆๆๆ”

“เจ้ายังมีหน้าเรียกเขาว่าคนน่ารังเกียจ? ไม่ใช่เจ้าก็น่ารังเกียจเหมือนกันหรอกเรอะ? หากระดับพลังปราณของเจ้าเทียบเท่ากับเขาในปัจจุบัน พลังโดยรวมของเจ้าอาจน่ากลัวกว่าเขาด้วยซ้ำ เฮ้ เดี๋ยว อย่าเพิ่งเก็บค้อนของเจ้านะ ให้ข้าตรวจดูก่อน…”

เมื่ออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ 2 คนสุมหัวอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาทำให้ไม่ต้องปกปิดความลับใดๆ ต่อกัน นั่นทำให้พวกเขาใช้เวลายามค่ำคืนไปกับการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างยาวนานจนไม่ยอมหลับใหล

เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็เดินออกจากห้องด้วยสภาพดวงตาหมีแพนด้า

หยุนลี่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขากล่าวว่า “เจ้านาย ข้าจะไปหาอะไรกินแล้วเข้านอน ข้ามีแผนสำหรับแบบร่างใหม่แล้ว เมื่อท่านกลับจากโรงเรียน เราก็สามารถหารือกันต่อได้” เมื่อพูดจบ เขาก็มุ่งหน้าไปทางห้องครัว

หลังจากสนทนากันทั้งคืน หยุนลี่ก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของโจวเหว่ยชิงได้ชัดเจนขึ้นมาก หลังจากที่โจว เหว่ยชิงถูกบังคับให้ยอมช่วยเขาหาวัตถุดิบสำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานของเขา หยุนลี่ก็เริ่มเรียกเขาว่าเจ้านาย อย่างไรนั่นก็เป็นความจริงอยู่แล้ว อีกทั้งการเรียกเขาว่าเจ้านายก็ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะโจวเหว่ยชิงก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเขาเช่นกัน หลังจากพูดคุยกันทั้งคืน พวกเขาก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็มีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือการสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานให้สำเร็จและสวมใส่พวกมันในอนาคต

“อ้วนน้อย!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วมองมาที่เขาด้วยสายตาตักเตือน

ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร โจวเหว่ยชิงก็รีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งชุดนักเรียนที่ซักจนหอมสะอาดให้เขาผลัดเปลี่ยน เมื่อเธอมองไปยังใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา เธอก็รู้สึกขุ่นมัวในใจ ขณะสัมผัสใบหน้าของเขาเบาๆ เธอก็เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม “อ้วนน้อย ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา แต่การรีบร้อนทำสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ตอนนี้เจ้าทำได้ดีมากอยู่แล้ว สัญญากับข้าได้ไหมว่าในอนาคตเจ้าจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนี้อีก? ข้าไม่ต้องการให้เจ้าใช้อนาคตและชีวิตตัวเองเป็นของเดิมพันอีกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าพบคนที่มีไม้ตายซุกซ่อนอยู่อีกชั้น? คนที่มีพลังอำนาจมากกว่าเจ้า?”

โจวเหว่ยชิงกอดเธอไว้ในอ้อมแขน รู้สึกถึงความอบอุ่นและกลิ่นหอมจางๆ จากเส้นผมของอีกฝ่าย เขาเอ่ยออกมาเบาๆ “เมื่อวานข้าก็หุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า “อย่าหักโหมมากเกินไปจนไม่ยอมหลับยอมนอน ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและกระซิบเข้าที่หูของเธอเบาๆ “อยากให้ข้านอนหลับสบายก็ง่ายๆ…หากสามารถนอนกอดปิงเอ๋อร์คนงามของข้าเข้านอนได้ทุกคืน ใครจะอยากอยู่ทำงานต่อถึงเช้า!”

“ฮึ่ม! ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ หยุดล้อเล่นได้แล้ว ไปกินอาหารเช้าของเจ้าซะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงอีกครั้ง เธอดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา ก่อนจะหันหลังกลับและมุ่งหน้าเข้าไปในครัว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โจวเหว่ยชิงคาดไม่ถึงก็คือเธอไม่โวยวายกับการถูกสัมผัสเนื้อตัวมากเท่าเดิมแล้ว อย่างน้อยอาการต่อต้านก็ค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ เพราะถึงอย่างไรเธอก็คิดว่าเขาเป็นสามีของเธอแล้วนั่นเอง

หลังอาหารเช้า โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะหาววอดออกมา หลังจากจดจ่อกับการเรียนรู้มาตลอดทั้งคืน เขาก็เหน็ดเหนื่อยมาก หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเร็วๆ ในที่สุดสมองของเขาก็แจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังโรงเรียน เขาก็ลอบมองห้องของหยุนหลี่อย่างอิจฉา อย่างน้อยเจ้านั่นก็สามารถนอนหลับพักผ่อนได้! อ๊าาาา วันนี้ข้ากลับต้องทนทุกข์ทรมานในชั้นเรียน!

โจวเหว่ยชิงจับมือเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนด้วยกัน อย่างไรโจว เหว่ยชิงก็ได้ประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาไปแล้ว อีกทั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยอมรับและไม่ได้เขินอายอะไรขนาดนั้นอีก

ไม่นานประตูของโรงเรียนก็อยู่ในระยะสายตาของพวกเขา แต่ทว่าจู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะมีรถม้ามากมายกำลังจอดเทียบอยู่หน้าโรงเรียนของพวกเขา ฝูงชนจำนวนมากกำลังยืนออกันอยู่หน้าประตูเพื่อเมียงมองไปยังรถม้าเหล่านั้น จากสิ่งที่พวกเขาเห็น บริเวณนั้นมีรถม้ามากกว่า 10 คันและผู้คนเกือบ 200 คนยืนอยู่รอบๆ หลายคนยังให้บรรยากาศคล้ายพวกขุนนางที่สง่างามและสูงส่ง

“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมถึงมีคนอยู่ที่นี่เยอะแยะขนาดนี้?” โจวเหว่ยชิงหยุดอยู่กับที่ด้วยความลังเลและเอ่ยถามเสียงดัง

ในขณะนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เธอลังเลว่าจะตอบรับคำขอของอ้วนน้อยดีหรือไม่ ถ้าเธอไม่ยอมให้เขาใกล้ชิดสนิทสนมด้วย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่อาจยับยั้งชั่งใจตนเองได้? นอกจากนี้ยังมีหมิงฮัวผู้งดงามเปี่ยมเสน่ห์อยู่ในบ้านกับพวกเขาด้วย…

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เธอก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาสับสน เมื่อเห็นเหตุการณ์บริเวณหน้าโรงเรียน เธอก็รู้สึกตกใจขึ้นมาเช่นกัน “แม้ในวันลงทะเบียนเรียน รถม้าก็ยังมีไม่มากเท่านี้!”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้ๆ พวกเขา “ศิษย์น้อง จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า” โจวเหว่ยชิงหันไปตามเสียง ไม่นานก็เห็นเย่เป่าเปาเดินมาจากระยะไกลๆในชุดเครื่องแบบชนชั้นสูง วันนี้เขาอยู่คนเดียวโดยไม่มีลูกน้องเดินตามเป็นพรวน เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์หล่อเหลาและไร้พิษสงของเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่ายากที่จะจินตนาการว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้นำนักเรียนชนชั้นสูงในโรงเรียนของพวกเขา

“เป็นเพราะข้า? รุ่นพี่ รถม้าเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับข้างั้นหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย สัญชาติญาณระแวดระวังค่อยๆเพิ่มระดับขึ้นในใจของเขา เย่เป่าเปาคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้าของตนเอง มันจึงยากที่จะอ่านใจเขาได้ การที่เขาเป็นถึงผู้นำนักเรียนชนชั้นสูง โดยธรรมชาติแล้วจะเป็นคนที่รับมือง่ายๆ ได้อย่างไร

เย่เป่าเปากล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้อง เจ้าลืมไปแล้ว? เจ้าคิดหรือว่าการที่ห้องเรียนสามัญชนของเจ้าลงมือกับนักเรียนชนชั้นสูงจำนวนมากเมื่อวานนี้จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ตามมาเลย? พูดอีกอย่างคือ พวกเจ้าทุบตีพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม! นักเรียนชั้นปีที่ 2 เกือบครึ่งหนึ่งกระดูกหักเเละยังมีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากทีเดียว”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เรื่องนั้นท่านไม่สามารถตำหนิพวกเราได้ อย่างไรโรงเรียนก็ลงโทษทั้ง 2 ฝ่ายอย่างยุติธรรมแล้ว ท่านจะโทษอะไรข้าได้อีก?”

เย่เป่าเปาหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าทำได้อย่างไร แต่เจ้าก็เป็นบุคคลสำคัญที่โรงเรียนต้องเก็บรักษาเอาไว้ โรงเรียนจึงไม่ได้ตามราวีเจ้าหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่เจ้าอย่าลืมว่าที่นี่คือเมืองเฟยหลี่และขุนนางหลายคนก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน สำหรับพวกเขา เจ้ายังคงเป็นผู้ยุยงให้นักเรียนคนอื่นแข็งข้อกับนักเรียนชนชั้นสูง เมื่อเจ้าทุบตีพวกเด็กๆ คนเฒ่าคนแก่ก็จะต้องปรากฏตัวขึ้นเพื่อทวงความยุติธรรมให้บุตรหลาน ทุกคนที่ประตูกำลังรอเจ้าอยู่ ภายในรถม้ามีคนจำนวนมากที่ถูกทุบตีเมื่อวานนี้ พวกเขากำลังรอชี้นิ้วว่าเป็นเจ้า แม้ว่าโรงเรียนจะไม่ดำเนินการกับเจ้า แต่เจ้าคิดว่าพวกขุนนางจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปเงียบๆ หรือ?