บทที่ 61.3 ข้าพร้อมที่จะพ่ายแพ้ (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ไม่ใช่ว่าท่านผู้อำนวยการของเราเป็นถึงองค์หญิงหรอกหรือ? ขุนนางเหล่านี้กล้าทำตัวหยิ่งยโสกับนางได้อย่างไร?”

เย่เป่าเปาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในขณะที่เขาพูดว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นคนฉลาด แต่จะพูดเช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าฝ่าบาทหรือท่านผู้อำนวยการของพวกเราจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง คนเหล่านี้ก็คงจะไม่แค่รอเจ้าอยู่ด้านนอกประตูโรงเรียน อย่างน้อยพวกเขาก็คงจะบุกเข้าไปข้างในเพื่อตามหาเจ้าเป็นแน่ ทว่าแม้จะเป็นท่านผู้อำนวยการ หากต้องเผชิญหน้ากับขุนนางจำนวนมากเช่นนี้ อย่างไรก็ยังยากที่จะทนต่อแรงกดดันดังกล่าวได้ ศิษย์น้อง เจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อมล่ะ แม้ข้าจะยังเชื่อว่าโรงเรียนสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ก็เถอะ เพราะถึงอย่างไรโรงเรียนก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ของตนเองไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเปลี่ยนใจกะทันหันได้”

โจวเหว่ยชิงแค่นเสียงตอบ “ขอบคุณศิษย์พี่ที่นำข่าวมาแจ้งให้ข้าทราบ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้อย่างแน่นอน”

เย่เป่าเปาโบกมือและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาเตือนเรื่องนี้กับเจ้าเพียงเพราะต้องการให้เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า เจ้าคิดว่าสามัญชนคนหนึ่งมีค่าพอให้ข้าต้องออกโรงนำข่าวมาบอกด้วยตนเองหรือ? ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้เจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ในสายตาของข้า ข้าคิดว่าเจ้าเป็นบุคคลอันตรายประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตของเจ้า คิดแล้วก็ดูท่าว่าน่าจะอันตรายมากเกินไป ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับบางคนที่อันตรายเช่นนี้…ดังนั้นข้าจึงทำได้แค่พยายามเป็นเพื่อนกับเจ้า”

ดวงตาของพวกเขาสบเข้าด้วยกัน โจวเหว่ยชิงยิ้มและพยักหน้าให้อีกฝ่าย เขายื่นมือขวาออกไปและกล่าวว่า “เช่นนั้นจากนี้ไปพวกเราเป็นเพื่อนกัน ทว่าหลักการเดิมของข้าก็จะไม่โอนเอนเด็ดขาด ท่านอย่าได้คิดว่าจะนำนักเรียนสามัญชนในห้องของข้าไปอยู่ใต้อาณัติได้”

เย่เป่าเปาหัวเราะและพูดว่า “อย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน หากนักเรียนสามัญชนเหล่านั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้า เช่นนั้นจะแตกต่างอันใดกับอยู่ใต้อาณัติของข้าด้วยเล่า? ได้ยินมาว่าเจ้าประกาศตัวจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงภายใน 4 ปีข้างหน้าให้ได้ เช่นนี้ข้าก็จะตั้งตารอเลยทีเดียว! ในอนาคตหากเจ้าจะขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็อย่าลืมข้าด้วยแล้วกัน ข้าจะให้ราคาที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน มาสิ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปทางด้านข้าง คนเหล่านี้เป็นพวกโง่เง่าอย่างแท้จริง ทำราวกับว่าการปิดกั้นประตูทางเข้าหลักจะมีประโยชน์อะไรมากมาย คิดว่าเราไม่สามารถกระโดดข้ามกำแพงไปได้งั้นรึ”

หากจะให้พูดตามตรง โจวเหว่ยชิงไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับเย่เป่าเปาเลยจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่สามารถอ่านใจบุคคลนี้ได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าเขาอันตรายพอๆ กับหมิงฮัว อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลังจากเข้าเรียนในโรงเรียนทหารเฟยหลี่มาได้เพียงไม่กี่วัน เขาก็สร้างศัตรูเอาไว้มากมาย หากเผลอสร้างศัตรูขึ้นมาอีกโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เขาก็คงจะเป็นไอ้งั่งคนหนึ่งแล้ว นอกจากนี้อีกฝ่ายยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเป็นมิตรก่อนด้วย

หลังจากเดินอ้อมประตูทางเข้าหลักมาได้ ทั้ง 3 คนก็คิดจะเข้าไปข้างในโรงเรียนโดยใช้กำแพงทางด้านข้าง ต้องบอกก่อนว่ากำแพงของโรงเรียนทหารเฟยหลี่นั้นสูงมากจริงๆ เพราะมันมีความสูงเกือบ 6 เมตร อีกทั้งยังมีเหล็กแหลมๆ กั้นอยู่ด้านบนเช่นกัน การกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเช่นนี้จึงเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับคนธรรมดามาก แต่สำหรับจ้าวมณีที่ทรงพลังเช่นพวกเขา แน่นอนว่าย่อมไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากนัก

เย่เป่าเปาชี้ไปด้านบน ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “กระโดดข้ามตรงนี้ไปกันเถอะ” เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้น แสงสีฟ้าก็ส่องสว่างออกมาจากฝ่ามือของเขา ทันใดนั้นแท่งน้ำแข็งก็ก่อตัวขึ้นมา เกิดเป็นภาพน่าทึ่งเมื่อแท่งน้ำแข็งนั้นขยายขึ้นสูงจนกลายเป็นเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ นำพาร่างของเย่เป่าเปาขึ้นไปด้านบนด้วยกัน ในเวลาไม่กี่นาที มันก็ขยายขึ้นสูงเกินกำแพง 6 เมตร เย่เป่าเปาเดินเหยียบไปบนแท่งน้ำแข็งนั้นอย่างรวดเร็วและทิ้งตัวข้ามกำแพงไป

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความประหลาดใจ ทั้งสองคนรู้สึกได้ว่าขณะที่เย่เป่าเปาสร้างเสาน้ำแข็งขึ้นมา เขาไม่ได้ใช้ทักษะใดๆ เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามณีธาตุของเขาคือธาตุน้ำและเขาก็ใช้น้ำสร้างน้ำแข็งด้วยพลังปราณสวรรค์ของเขา พลังควบคุมที่แข็งแกร่งและปริมาณพลังปราณสวรรค์ของเขาค่อนข้างน่าประทับใจ จากสิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะมีระดับพลังปราณที่สูงกว่าพวกเขา บางทีอาจจะใกล้เคียงกับหมิงฮัวซึ่งเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 4 ชุดด้วยซ้ำ ส่วนเหตุผลที่เขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ก็เพราะว่ามีเพียงจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้นที่มีธาตุบริสุทธ์เพียงพอจะเปลี่ยนน้ำเป็นน้ำแข็งได้ง่ายๆ

โจวเหว่ยชิงยกเอวบอบบางของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นอุ้มและใช้เท้าขวากระแทกพื้นเสียงดัง *ปัง* จากนั้นทั้ง 2 ก็ทะยานขึ้นเหนือกำแพง 6 ฟุตก่อนจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ เย่เป่าเปาจึงเห็นว่าโจวเหว่ยชิงจึงใช้เพียงแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียวเพื่อกระโดดข้ามกำแพง ทั้งยังสามารถแบกคนอื่นไปได้อีกด้วย ส่วนโจวเหว่ยชิงนั้น เขาต้องการแสดงพลังให้เย่เป่าเปาเห็นเล็กน้อย แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะพลังขาขวาปีศาจ แต่เนื่องจากเย่เป่าเปาได้แสดงพลังของตนออกมาให้เขาเห็นแล้ว โจวเหว่ยชิงจะปกปิดซ่อนเร้นพลังของตนเองต่อไปได้อย่างไร หากจะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเย่เป่าเปา เขาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเท่าเทียมกัน มิฉะนั้นมิตรภาพก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้

“ศิษย์น้องมีทักษะเยี่ยมยอดจริงๆ” เย่เป่าเปากล่าวชมเขาด้วยความประหลาดใจขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้มองขณะโจวเหว่ยชิงกระโดดข้ามมาอีกฝั่ง แต่เขาก็ยังสามารถเดาได้จากร่องรอยในอากาศว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้ใช้พลังปราณสวรรค์เลย

“รุ่นพี่เองก็ทรงพลังมากเช่นกัน แม้ท่านจะอยู่ในโรงเรียนเจ้ามณี ข้าก็ยังเชื่อว่าท่านจะยังเป็นอันดับต้นๆ ของที่นั่น” อย่างไรการสรรเสริญเยินยอก็ไม่ต้องเสียเงิน ดังนั้นใครจะไม่อยากชมเชยผู้อื่นเพื่อเอาอกเอาใจบ้าง? อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะมีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นโจวเหว่ยชิง เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำให้น้ำเสียงของตนฟังดูจริงใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จ้าวมณีก็ส่ายหัวอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ศิษย์น้อง โรงเรียนเจ้ามณีไม่ได้กระจอกอย่างที่เจ้าคิด หากพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจแล้วล่ะก็ ในโรงเรียนของเรานั้น มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแข่งขันกับข้าได้ อย่างไรก็ตาม หากจะเปรียบเทียบกับโรงเรียนเจ้ามณี พลังของข้าก็ยังยากที่จะเบียดเข้าไปใน 50 อันดับแรกจากจำนวนนักเรียนร้อยกว่าคนด้วยซ้ำ ผู้อำนวยการโรงเรียนเจ้ามณีเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรของเรา พลังของเขาทะลวงผ่านระดับเทวะขึ้นไปแล้ว ทั้งยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาที่มีมณี 10 ชุดเพียงคนเดียวในอาณาจักรของเรา โรงเรียนของพวกเขามุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการใช้พลังต่อสู้ พวกเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมายในขณะที่โรงเรียนทหารของเรามุ่งเน้นไปที่ความรู้ทางด้านทหาร เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเราจะเปรียบเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร ความจริงแล้วข้าอาจจะไม่สามารถเอาชนะนักเรียนจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ชุดของพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปแม้แต่น้อย”

“จ้าวมณีสวรรค์ระดับราชา?” ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็สูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินคำนั้น การเลื่อนระดับมณีสวรรค์จาก 9 ชุดเป็น 10 ชุดอาจฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วมันไม่ง่ายดายเช่นนั้น จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะนั้นถือว่าหายากมากแล้ว แต่ทั้งอาณาจักรเฟยหลี่ก็อาจพบได้มากกว่า 20 คน อย่างไรก็ตาม ที่นี่มีจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาเพียงคนเดียวเท่านั้น และนั่นก็เป็นระดับพลังที่เหนือขึ้นไปอีกขั้น เพื่อให้สามารถมองเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน อาจพูดได้ว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาขั้นแรกเพียงคนเดียวก็สามารถฆ่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะระดับสูง 10 คนได้อย่างง่ายดาย

เย่เป่าเปายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ศิษย์น้องไม่จำเป็นต้องแปลกใจไปหรอก ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนจ้าวมณียังมีสถานะอื่นอีกด้วย เขาเป็นนายท่านเจ้าของสำนักกักเก็บทักษะในอาณาจักรเฟยหลี่และยังเป็นอัครมหาเสนาบดีของอาณาจักรอีกด้วย ตอนนี้ระดับพลังปราณของเขาคือระดับราชาขั้นกลางแล้ว”

เมื่อจ้าวมณีสวรรค์ผู้หนึ่งเลื่อนขั้นขึ้นไปถึงระดับราชา ขั้นพลังต่างๆ อย่างเช่นขั้นแรก ขั้นกลาง และขั้นสูงจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนมณีอีกต่อไป แต่เป็นไปตามระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาต่างหาก จากสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียวก็บอกแล้วได้ว่าการเพิ่มระดับพลังปราณ ณ เวลานั้นยากเพียงใด

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกและพูดว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโรงเรียนเจ้ามณีจะทรงพลังและมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้”

เย่เป่าเปายิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ไม่ว่าจ้าวมณีสวรรค์จะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็อยู่ตัวคนเดียว ฉะนั้นพวกเขาจะเทียบกับพวกเรา คนที่จะกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้อย่างไร? ไม่ว่าแต่ละคนจะมีพลังมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับคนทั้งกองทัพได้อยู่ดี เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็มีพลังปราณสวรรค์ในปริมาณที่จำกัด ท้ายที่สุดพลังก็ต้องหมดลงอยู่ดี”

“เอาล่ะ ข้าพูดมากพอแล้ว ศิษย์น้อง ข้าคงต้องกลับไปที่ชั้นเรียนก่อน หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ แต่ในอีกไม่กี่วันนี้ข้าอาจจะต้องจากไปสักพัก ถ้าเป็นไปได้ ช่วงนี้ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปนอกโรงเรียนและอยู่ในหอพักไปสักพักเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง ด้วยฐานะองค์หญิงของท่านผู้อำนวยการ คงจะไม่มีใครกล้าเข้ามาสร้างปัญหาในโรงเรียนแน่นอน ทว่าหลังจากการต่อสู้เมื่อวานนี้ ห้องเรียนเอกสามัญของเจ้าก็มีชื่อเสียงใหญ่โตแล้ว ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะก่อปัญหามากขึ้นก็ได้”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่รุ่นพี่ไม่มาหาเรื่องข้า ข้าจะต้องหวาดกลัวใครอีก”

เย่เป่าเปาหัวเราะและโบกมือให้โจวเหว่ยชิงก่อนจะเดินจากไป

เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึงห้องเรียน พวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศภายในห้องนั้นค่อนข้างตึงเครียด

ห้องเรียนเงียบสงบมากเกินไป ส่วนหมิงฮัวนั้นมาถึงก่อนแล้ว เธอนั่งอยู่ที่ด้านหน้าห้องพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อโจวเหว่ยชิงเข้ามาในห้อง ทุกคนก็หันมามองเขา นักเรียนบางคนถึงกับลุกขึ้นยืน

“หัวหน้า ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงแสดงความกังวลดังเล็ดลอดออกมาหลายเสียงทันที

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด? นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าได้อย่างไร?”

หมิงฮัวกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าสร้างปัญหาให้กับตระกูลขุนนางมากกว่า 10 ตระกูล ขุนนางขั้นที่ 1 จำนวน 2 คน ขุนนางขั้นที่ 2 จำนวน 6 คน ขุนนางขั้นที่ 3 จำนวน 9 คน ส่วนที่เหลือเป็นขุนนางขั้นที่ 4 นั่นยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกหรือ? แม้แต่ท่านผู้อำนวยการก็ยังต้องหัวหมุนกับการจัดการพวกเขา เจ้าจะก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร?”

เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งยืนขึ้นอย่างกะทันหันและร้องออกมาว่า “หัวหน้าห้อง พวกเราทุกคนก็เป็นผู้ลงมือในเหตุการณ์เมื่อวานนี้เช่นกัน ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่เด็กๆ ข้ายังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน ถ้าโรงเรียนลงโทษท่าน ให้นับข้าเข้าไปด้วยก็แล้วกัน ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกับท่านเอง!”

ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น นักเรียนสามัญชนทุกคนก็ส่งเสียงโวยวายออกมาเช่นเดียวกัน ไม่นานก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นทั่วชั้นเรียน

“ใช่แล้ว! หัวหน้า! พวกเราจะรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกัน! ไม่ใช่ท่านเคยพูดหรือว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หนึ่งสู่เหล่า เรารวมเป็นหนึ่ง!”

เมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของเพื่อนร่วมชั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกอบอุ่นในใจ เขารู้ทันทีว่าความพยายามในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาของตนไม่ได้สูญเปล่า ไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาเท่านั้น จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกจุดประกายขึ้นมาด้วย นี่คือผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดที่เขาคาดหวังเอาไว้เลยทีเดียว

แม้แต่หมิงฮัวก็ยังจ้องไปที่นักเรียนทั้งห้องด้วยความตกตะลึง อย่างไรเธอก็เคยผ่านช่วงเวลาแห่งการเป็นนักเรียนมาก่อน แต่เธอไม่เคยเห็นห้องเรียนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและทุกคนยังเคารพรักในตัวบุคคลหนึ่งมากมายขนาดนี้ นี่เพิ่งจะเปิดเทอมได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่? หากสิ่งนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นักเรียนสามัญชนเหล่านี้จะถึงขั้นเต็มใจสละชีพเพื่อเขาหรือไม่?

หมิงฮัวตระหนักได้ทันทีว่าสายตาของบิดานั้นเฉียบคมมากจริงๆ โจวเหว่ยชิงไม่ใช่แค่คนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกที่มีความสามารถสูงส่งเท่านั้น เขายังมีทักษะผู้นำที่แปลกประหลาดจนเธอไม่อาจอธิบายได้ นั่นแตกต่างจากความเป็นผู้นำของพี่ใหญ่ของเธอ โจวเหว่ยชิงเป็นผู้นำประเภทที่อาจทำให้ผู้ติดตามของเขาบ้าคลั่งและคลั่งไคล้ บางทีก็อาจชักนำพวกพ้องไปในทางที่ ‘ไม่ดี’ ได้ หมิงฮัวไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้ แต่เธอรู้สึกชัดเจนว่ามันเหมือนกับที่บิดาของเธอเคยพูดเอาไว้ พวกเขาไม่อาจมีปัญหากับโจวเหว่ยชิงได้อีกต่อไปเพราะนั่นจะทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับนิกายของพวกเขาไปด้วย

“เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกคนเงียบหน่อย” โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ เขากล่าวต่อด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “พูดกันพอแล้ว เมื่อวานนี้ท่านผู้อำนวยการของเราได้ประกาศคำตัดสินออกมาแล้ว ดังนั้นจึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆอีก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ข้าก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้ามาช่วยข้ารับผิดชอบ เพราะท้ายที่สุดนั่นคือสิ่งที่หัวหน้าห้องต้องรับผิดชอบ คิดว่าพวกเจ้าเรียกข้าว่าหัวหน้าเพื่ออะไร? หัวหน้าจะต้องคอยแบกรับแรงกดดันทั้งหมดอยู่ แล้ว!”