หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.488 – นายหญิงแห่งเกาะหมอก (2)

 

“นายหญิง ต้องการให้เรียกกองทัพออกมาล้างบางสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้เลยหรือไม่?” มอนสเตอร์ยักษ์คุกเข่าลง ปากเอ่ยถามด้วยความเคารพ

 

“เจ้ากระหายที่จะสังหารขนาดนั้นเชียวหรือ?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

 

มอนสเตอร์ยักษ์ลดศีรษะลง เอ่ยด้วยความถ่อมตน “โปรดยกโทษสำหรับวาจาที่ผิดพลั้งของข้าด้วย ในยามที่มาถึง ข้าเพียงสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ราวกับถูกข่มเอาไว้ของท่านจึงพลั้งปากไป”

 

“ข่มเอาไว้อย่างงั้นหรอ?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเปล่งเสียงกระซิบ “นั่นสินะ ฉันก็อดกลั้นมันมานานแล้วจริงๆนั่นแหละ และคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเผชิญหน้ากับมัน … ”

 

เธอยื่นมือออกไป คว้าจับคทาที่ปักลงบนพื้นดิน

 

มอนสเตอร์กางฝ่ามือของมันออก และปล่อยให้ซูเซี่ยเอ๋อขึ้นไปยืน

 

จากนั้นมันก็ยกร่างของซูเซี่ยเอ๋อไปวางไว้เหนือศีรษะ

 

“ไปกันเถอะ พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางด้านนั้น” ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ขอรับ”

 

มอนสเตอร์กางคู่ปีกออก และเริ่มสั่นกระพืออย่างแรง

 

ได้ยินเพียงเสียงวูบบบบ! ร่างของมอนสเตอร์ก็ทะยานตัวขึ้นไปบนอากาศ มุ่งไกลออกไปยังทิศทางเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง

 

มอนสเตอร์บินอย่างรวดเร็ว และเกือบจะหายลับไปในพริบตาเดียว

 

ซางหยิงฮ่าวจ้องมองบนท้องฟ้า ปากเอ่ยพึมพำ “นั่นเธอจะไปที่ไหนกันน่ะ?”

 

“ไม่รู้สิ แต่ดูจากสีหน้าที่กำลังโกรธอยู่ บางทีคนที่นางกำลังจะไปหา คงมิแคล้วต้องประสบพบเจอกับภัยพิบัติเป็นแน่” วิหคขาวกล่าว

 

“ฉันว่านะ ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น ถ้าพวกเราไปคงจะกลายเป็นภาระเธอเปล่าๆ” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว

 

ประธานาธิบดีที่ยืนอยู่ตรงประตูวิลล่าเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ “ในเมื่อไม่มีปัญหาด้านความปลอดภัยแล้ว ถ้าอย่างงั้นเรื่องระหว่างเธอกับเก้าตระกูลใหญ่ พวกเราก็อย่าเข้าไปแทรกแซงเลยจะดีกว่า”

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เวโรน่าผงกหัว

 

แล้วทุกคนก็กลับเข้าไปในวิลล่า

 

แต่เพียงแค่หย่อนก้นลงนั่ง ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าหวาดผวาขึ้นทันใด

 

เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่ล้มลงด้วยความเจ็บปวด กลิ้งลงกับพื้นไม่หยุด

 

คล้ายกำลังทุกข์ทรมานจากอะไรบางอย่าง

 

ฝูงชนโดยรอบตกใจ

 

แต่ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ทำอะไร เย่เฟย์หยูก็ผุดลุกขึ้นมาเสียก่อน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ไม่มีอะไรหรอก แค่จู่ๆมันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาน่ะ ตอนนี้โอเคแล้ว” เย่เฟย์หยูอ้าปากหอบหายใจ

 

ขณะที่สีหน้าของเขาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ

 

“คือฉัน อยากจะถามว่าพวกนายได้ยินอะไรกันบ้างไหม?”

 

ผู้คนและอาวุธจากปรภพเงียบเสียงลง

 

แม้จะหุบปากกันหมด แต่บริเวณโดยรอบก็ยังคงเงียบสงบ และได้ยินเพียงเสียงลมภูเขาจากภายนอกหน้าต่างที่พัดเข้ามา พร้อมกับใบไม้ที่สั่นไหวจนเกิดเสียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

 

“หากเจ้ากำลังหมายถึงเสียงลมภูเขาแล้วล่ะก็ ข้าเองก็ได้ยินมันนะ” วิหคขาวกล่าว

 

“ไม่ใช่ มันไม่ใช่เสียงลมภูเขา” เย่เฟย์หยูเดินออกไป

 

“แต่มันก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นอีกแล้วนะ” เหลียวฮังกล่าว

 

“ไม่ใช่ว่าที่นายได้ยินไปนั่นมันเป็นเสียงจากเทคนิคเทียนซวนของตัวเองหรอกหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยออกมา

 

คราวนี้ สีหน้าของเย่เฟย์หยูยิ่งแปลกไปมากกว่าเดิม

 

“นี่ไม่มีใครได้ยินอะไรเลยจริงๆหรอ?”

 

ทั้งหมดส่ายศีรษะปฏิเสธ

 

ซางหยิงฮ่าวนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “ว่าแต่นายได้ยินอะไรบ้าง?”

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงมันมาจากที่ไหน แต่มันพูดกับฉันว่า : ยินดีต้อนรับสู่ ‘ระบบสะสมแต้มพลังวิญญาณ’ นับจากนี้ไป การสังหารของคุณจะช่วยเพิ่มพูนแต้มที่ว่านี้โดยตรง สามารถเริ่มทำการดูดซับแต้มพลังวิญญาณบริสุทธิ์ได้โดยตรง และอัตราการวิวัฒนาการของคุณก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น”

 

“ไพ่นั่น – ฉันขอเดามันมันจะต้องเป็นเพราะไพ่ที่ซูเซี่ยเอ๋อมอบให้แกแน่ๆ” เหลียวฮังกล่าว

 

ฝูงชนตกอยู่ในความสับสนทันใด

 

“แต้มพลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ … ช่างเป็นชื่อที่ชวนให้หวนคิดถึงยิ่งนัก” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยอารมณ์

 

“แต้มพลังวิญญาณคืออะไร?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

“แต้มพลังวิญญาณเดิมถูกเรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติ มันเป็นรากฐานของโลก และเป็นพลังบริสุทธิ์ของทุกสิ่งมีชีวิตทั้งมวลสามารถใช้กระตุ้นได้กระทั่งกฏเกณฑ์”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณหันไปมองเย่เฟย์หยู “ดูเหมือนว่าซูเซี่ยเอ๋อจะมอบพลังอันน่าเหลือเชื่อจากเทคนิคเทียนซวนให้แก่เจ้านะ”

 

“เอ่อ พูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

“ก็หมายความว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆน่ะสิ ขนาดพวกเราเองยังไม่สามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้เลย มีเพียงสิ่งประดิษฐ์เทวะเท่านั้นแหละจึงจะใช้ได้” วิหคขาวกล่าวด้วยความอิจฉา

 

“ถ้าอย่างงั้น นี่หมายความว่าฉันจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะอย่างงั้นหรอ?” เย่เฟย์หยูเริ่มสับสน

 

“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่เจ้าจะกลายเป็น สิ่งที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าพวกเราเหล่าสิ่งประดิษฐ์เทวะต่างหาก” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

เมื่อได้ยินคำนี้ของตะขอเกี่ยววิญญาณ ฝูงชนก็หันไปมองเย่เฟย์หยูด้วยความอิจฉา

 

“แต่ฉันก็เป็นหุ้นส่วนของกู่ฉิงซานเหมือนกันนะ เมื่อกี้เธอก็ควรที่จะมอบมันให้ฉันด้วยสิ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยความคิดของตนเองออกมาดังๆ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณอธิบาย “การที่สิ่งต่างๆสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้โดยตรงนั้นมิใช่เรื่องปกติธรรมดา ปรากฏการเช่นนี้มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นในโลกหกวิถี – ข้าคิดว่าเธอคงได้รับเจ้าสิ่งมีมาโดยบังเอิญเป็นแน่”

 

“แต่เธอก็ได้มอบมันได้แก่เย่เฟย์หยู” เหลียวฮังกล่าวอย่างไม่ยินยอม

 

“เพราะเย่เฟย์หยูคือพี่น้องของกู่ฉิงซานยังไงล่ะ” วิหคขาวขัดจังหวะ

 

“เออ แต่นั่นฉันก็เหมือนกันนี่!” เหลียวฮังตะโกน

 

“มันจะต้องไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ จ้าวมณฑลซูน่ะไม่ได้เป็นคนเรียบง่ายอย่างที่เห็นหรอก เธอจะต้องไม่มอบมันให้แก่เย่เฟย์หยูเพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอย่างแน่นอน” ประธานาธิบดีกล่าว

 

แล้วทุกคนก็หันมามองเขา

 

ดวงตาของประธานาธิบดีเปล่งประกาย มันเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาทางโลก

 

“นอกไปจากด้านความแข็งแกร่งแล้ว พวกเธอจงอย่าได้ดูถูกในด้านอื่นๆของเด็กสาวคนนี้เชียวล่ะ”

 

“ทำไมกัน?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

 

“อย่าลืมสิว่าเย่เฟย์หยูเป็นคนเปลี่ยนทัศนคติของซูเซี่ยเอ๋อ และนั่นเพียงเรื่องเดียวก็ทำให้เธอประทับใจได้แล้ว” ประธานาธิบดีกล่าว

 

เวโรน่าเอ่ยเสริม “นอกจากนี้ เธอยังได้รับความทรงจำของแฟนของเย่เฟย์หยูมาอีก ดังนั้นเธอเลยตระหนักเกี่ยวกับตัวเขาได้อย่างละเอียด”

 

“ถูกต้อง ในร่างกายของเย่เฟย์หยูคงจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกพอใจนั่นแหละ” ประธานาธิบดีกล่าว

 

สองผู้นำเพียงเอ่ยไม่กี่คำ สิ่งต่างๆก็เริ่มที่จะชัดเจนยิ่งขึ้น

 

เมื่อทุกคนคิดตาม ทั้งหมดก็ค่อยๆพากันพยักหน้าว่าเข้าใจอย่างเงียบๆ

 

เหลียวฮังมองเย่เฟย์หยูอย่างไม่เต็มใจ “เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการฝึกยุทธของฉันไวที่สุด ฉันไม่เห็นด้วยที่เจ้าหนุ่มนี่จะมาใช้วิธีโกงกันแบบนี้!”

 

แต่เย่เฟย์หยูไม่สนใจคำใส่ร้ายของเหลียวฮัง

 

เขาหยิบสมองควอนตัมขึ้นมาและกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง  ช่วยหาเหยื่อให้ฉันหน่อยสิ”

 

เขาต้องการที่จะไปทดสอบเกี่ยวกับแต้มพลังวิญญาณ ที่มันจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ตัวเขา

 

เทพธิดากงเจิ้ง “มิสเตอร์เย่เฟย์หยู ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างออกไปราวๆ 750 กิโลเมตร มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งอยู่”

 

“ชายคนนี้พึ่งได้ลงมือสังหารเทศมนตรีท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจไป เขาทำการปล้นห้องนิรภัยของธนาคาร ดังนั้นภายใต้กฏหมายของรัฐบาลกลาง คุณสามารถจัดการกับคนผู้นี้ได้”

 

“รับทราบ”

 

เย่เฟย์หยูปิดสมองควอนตัม

 

เขากำลังจะออกไป แต่ก็ดันได้ยินถึงเสียงเคาะประตูจากภายนอกวิลล่าเสียก่อน

 

พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังลอดเข้ามา “มีใครอยู่ข้างในบ้างไหม?”

 

“แกเป็นใครกัน?” เหลียวฮังตะโกนถามกลับ

 

เขาลุกขึ้นยืน และเตรียมจะเดินไปเปิดประตู

 

ทว่ากลับถูกซางหยิงฮ่าวชักมือยั้งไว้เสียก่อน

 

“อย่าไป”

 

ซางหยิงฮ่าวเปล่งเสียงกระซิบ

 

“ทำไม? มีอะไรงั้นหรอ” เหลียวฮังถาม

 

“กลิ่นอายสังหารที่ถูกปกปิดเอาไว้ของอีกฝ่าย มันไม่ธรรมดาเลย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

เขาผุดลุกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เริ่มทำการถ่ายเทพลังวิญญาณและเตรียมที่จะเหวี่ยงมันออกไปในอา-

 

ปัง!

 

แต่ประตูกลับถูกเปิดออกเสียก่อน

 

เห็นแค่เพียงชายผมยาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู

 

พร้อมกับหอกยาวสีแดงที่แบกอยู่บนหลังเขา

 

ชายที่พึ่งเปิดประตูมองเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามารถตระหนักถึงกลิ่นอายสังหารของฉันได้ นี่มันน่าสนใจจริงๆ – แต่คุณเข้าใจผิดไปอย่างนึงนะ กลิ่นอายสังหารของฉันไม่ได้มุ่งไปที่คุณหรอก”

 

“ไม่ทราบว่าแขกที่เคารพผู้นี้คือใคร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

ชายโค้งกายทักทายและกล่าว “ฉันเป็นผู้ส่งสาร”

 

“ผู้ส่งสารจากใคร?”

 

“โลกอาชูร่า”

 

เหล่าฝูงชนภายในห้องหน้าเปลี่ยนสีหน้าทันที

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “แล้วเจ้ามาทำอะไรในโลกมนุษย์?”

 

“ขอกล่าวให้มันกระชับสั้นๆเลยก็แล้วกันนะ อันที่จริงแล้วพวกเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ) จากโลกสวรรค์ กับวิญญาณร้ายในโลกผีโหยกำลังก่อตั้งพันธมิตรกัน เพื่อเตรียมที่จะเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับโลกมนุษย์ที่ได้หลอมรวมเข้ากับโลกปรภพอยู่น่ะ”

 

“แต่เหมือนกับว่าเทพสวรรค์จะพึ่งพ่ายแพ้ไปไม่ใช่หรือ” ประธานาธิบดีกล่าวเสียงหม่น

 

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก็จริง  แต่นั่นเขาได้พ่ายไปด้วยฝีมือของผู้ทรงพลังจากโลกอื่น และเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็ยังไม่ยอมรับถึงการตายของเขา”

 

ชายผู้แบกหอกกล่าวต่อว่า “ด้วยเหตุที่ว่าโลกได้รับการช่วยเหลือจากคนตายนับล้านๆเอาไว้ โดยที่ตนไม่ได้จ่ายสิ่งใดเลย แถมยังได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดจากการผสานรวมของสองโลกเข้าด้วยกันอีก”

 

เขายิ้มและกล่าวว่า “ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าการผสานรวมระหว่างสองโลกจะนำมาซึ่งความได้เปรียบอันใหญ่หลวงนี้ ทุกชีวิตกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพและวิญญาณร้ายจึงทนไม่ไหว”

 

“คุณเลยกำลังจะบอกว่าพวกเขาก็เลยบังเกิดความโลภขึ้นในหัวใจอย่างงั้นสินะ” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

 

“ใช่ หากโลกสวรรค์หรือโลกผีโหยสามารถผสานรวมเข้ากับโลกของพวกคุณได้ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น – สิ่งดีๆขนาดนี้ พวกเขาจะอยู่เฉยได้อย่างไร?”

 

ทุกคนตะลึงงันราวกับถูกแช่แข็ง

 

ทั้งห้องจมลงสู่ความเงียบ

 

“แล้วคุณมาที่นี่เพียงเพื่อแจ้งเรื่องนี้อย่างงั้นหรอ?” ซางหยิงฮ่าวซักถามด้วยความสงสัย

 

“แน่นอนว่าไม่”

 

ชายแบกหอกกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งโลกจ้าวอสูรเองก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างลับๆอยู่เช่นกัน ขณะที่โลกทั้งหกวิถีล้วนบังเกิดความโลภในโลกของกันและกันขึ้น ดังนั้นฉันจึงมาเตือนพวกคุณล่วงหน้า”

 

เวโรน่าเอ่ยเข้าประเด็น “ตามที่คุณพูดมา โลกสวรรค์ , โลกผีโหย และโลกจ้าวอสูรล้วนบังเกิดความละโมบต่อโลกมนุษย์ ถ้าอย่างงั้นคุณจะบอกว่าโลกอาชูร่ากำลังหวังดีกับเราใช่ไหม?”

 

ชายแบกหอกยิ้มและกล่าว “ทางเรามีแผนว่าจะมาอย่างสันติ – โปรดทำการผสานรวมเข้ากับโลกอาชูร่าของพวกเราด้วย แล้วพวกเราจะให้ที่หลบภัยแก่พวกท่าน คอยปกป้องการรุกรานจากโลกอื่นเอง”

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ เมืองหลวงของรัฐบาลกลาง

 

ท่ามกลางแสงสลัว งานแถลงข่าวของเก้าตระกูลใหญ่ที่พึ่งจะเสร็จสิ้นลง

 

เวลานี้ บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ถอนตัวจากไปกันแล้ว

 

ขณะที่บุคคลสำคัญของเก้าตระกูลใหญ่ได้มารวมตัวกันในลานกว้างของตระกูลหวง เพื่อเริ่มงานเลี้ยงอาหารค่ำ

 

งานเลี้ยงจะไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมงาน

 

ปัจจุบันนี้ นอกเหนือไปจากจ้าวมณฑลจากเก้าตระกูลใหญ่และผู้สืบทอดโดยตรงแล้ว ก็มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเท่านั้น

 

ด้วยความช่วยเหลือจากการผสานรวมกันระหว่างสองโลก ส่งผลให้การฝึกยุทธของพวกเขาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะในด้านทักษะและขอบเขต

 

และขอบเขตแก่นทองคำ ก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตขั้นต่ำสุดที่จะสามารถเข้าร่วมกับเก้าตระกูลใหญ่ได้

 

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ตัวตนที่ทรงพลังจึงทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง

 

พวกเขาทักทายซึ่งกันและกัน และพยายามตรวจสอบสถานะและขอบเขตวรยุทธของอีกฝ่าย

 

สหพันธ์พันธมิตรผู้ฝึกยุทธได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว

 

นี่จะกลายเป็นองค์กรที่ทรงพลังที่สุด และเป็นศูนย์กลางอำนาจที่อยู่เหนือรัฐประเทศ

 

พันธมิตรที่จะกลายมาเป็นตัวแทนอนาคตของโลกใบนี้

 

ในฐานะผู้ปกครองในอนาคตอันใกล้ แขกเหรื่อทั้งหลายในงานนี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า

 

เวลานั้นเอง เข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขเจ็ด

 

แล้วชายชราที่ดูสง่างามก็ก้าวขึ้นมาบนเวที

 

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี” ชายชรามองไปยังผู้ชมและเริ่มกล่าว

 

“วันๆนี้ จะเป็นอีกวันหนึ่งที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”

 

-ปัง!

 

ประตูหน้าถูกกระแทกเปิดออก

 

พร้อมกับสายลมกรรโชกที่พัดเข้ามาในลาน

 

ร่างของซูเซี่ยเอ๋อปรากฏขึ้นท่ามกลางสายลม กลบรัศมีคนอื่นๆในงานจนหมองไป

 

“นั่นซูเซี่ยเอ๋อ!”

 

“ท่านจ้าวมณฑลซู!”

 

“ลูกแม่!”

 

ฝูงชนโดยรอบที่พบเห็นเธอเริ่มจะตะโกนออกมา

 

การจู่โจมที่เตรียมพร้อมเอาไว้ชะงักลงทันที

 

เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นจ้าวมณฑล นี่จึงนับว่าไม่ใช่ภัยคุกคามใดๆ

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลัวแทบตาย – โชคดีจริงๆที่สามารถระบุถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ซะก่อน ไม่งั้นฝ่ายตรงข้ามคงได้รับบาดเจ็บแน่ๆ

 

แล้วถ้าหากเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น หนึ่งในจ้าวมณฑลจากเก้าตระกูลใหญ่เกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาโดยบังเอิญ พวกเขาจะไม่ถูกห่ากระสุนยิงจนพรุนเป็นการลงโทษหรอกหรือ

 

“เซี่ยเอ๋อ!”

 

“ลูกสาวที่รัก มาทางนี้เร็วเข้า”

 

พ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อโบกมือมาทางเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเดินไปอย่างเงียบๆ จ้องมองพ่อแม่ของตนแล้วกล่าวเสียงกระซิบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูเหมือนว่าพวกท่านก็จะรู้ว่าหนูเป็นจ้าวมณฑลของตระกูลซูนี่นา แล้วทำไมถึงข้ามหน้าข้ามตาหนู ใช้ชื่อของตระกูลซูด้วยตัวเองล่ะ?”

 

บนใบหน้าพ่อของซูเซี่ยเอ๋อ -ซูเซิงเหวินกลับไม่เผยถึงการแสดงออกใดๆเลยแม้แต่น้อย

 

กระทั่งในตอนนี้ เขาก็ยังไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด

 

“เซี่ยเอ๋อ เจ้าก็แค่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจ้าวมณฑล ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังไม่รู้ ดังนั้นพวกเราเลยต้องรับหน้าที่เป็นคนคอยจัดการเรื่องราวต่างๆแทนเจ้า” มาดามซูกล่าวเสียงแข็ง

 

“ใช่แล้วล่ะเซี่ยเอ๋อ เจ้ายังเด็กเกินไป พ่อแม่น่ะไม่ประสงค์ร้ายหรอกนะ พวกเขาหวังดีและกำลังช่วยเจ้าอยู่ต่างหาก” อีกจ้าวมณฑลกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ขณะที่จ้าวมณฑลคนอื่นๆเริ่มจะพยักหน้า และพากันตอบว่าใช่

 

แต่ทันใดนั้น จู่ๆซูเซี่ยเอ๋อก็ยื่นมือออกไป และคว้าจับแขนพ่อแม่ของเธอ

 

พ่อแม่ของเธอพลันแข็งทื่อราวกับหุ่นกระบอก จู่ๆสีหน้าแววตาก็นิ่งค้างไป และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีกเลย

 

ตามด้วยสองแมลงตัวยาวๆสีดำคืบคลานออกมาจากหูพ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อ มันกระโจนตัวแล้วบินออกไป แต่-

 

-เพี๊ยะ!

 

พวกมันก็ล้มเหลวที่จะหลบหนี ถูกระเบิดตัวแตกกลายเป็นละอองหมอกสีดำสองกลุ่มในอากาศโดยตรง

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ .. ”

 

ความคับข้องใจและความเศร้าโศกของซูเซี่ยเอ๋อกระจายออกไปโดยสิ้นเชิง

 

พร้อมกับประกายแสงสีขาวที่เริ่มบิดตัวเป็นเกลียวคลื่น ขยายออกมาจากตัวเธออย่างต่อเนื่อง อัดแน่นกันจนแปรสภาพเป็นหนามแหลม

 

“มีใครบางคนกล้าที่จะพยายามบิดเบือนจิตใจพ่อแม่ของฉัน นี่มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ”