บทที่ 202 ชมเรื่องสนุก

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

เกาะลอยได้เล็กๆ ใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจึงทะลุผ่านบริเวณฮุ่นตุ้นที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก หลังจากได้เห็นท้องฟ้าสีครามและเมฆขาวอีกครั้งก็กระแทกลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง

เกาะลอยได้ขนาดสิบหมู่กระแทกลงในหุบเขาอย่างหนักหน่วงทำลายหุบเขาไปครึ่งหนึ่งในพริบตา หนึ่งในสามของเกาะลอยได้กระแทกเศษหิน จินเฟยเหยาถูกการสั่นสะเทือนทำเอาหัวหมุนตาลาย หลังจากลุกขึ้นยืนในพื้นที่เกาะลอยได้ ก็เริ่มพินิจหุบเขาที่ถูกทำลายจนเละเทะ

เกาะลอยได้มีประโยชน์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าภายนอกบอลแสงจะเป็นทิศทางใดหรือหมุนอย่างไร มันก็จะหันหน้าไปข้างหน้าและตั้งอย่างมั่นคงชั่วนิรันดร

เสียงดังขนาดนี้กลับไม่ได้เรียกคนมามุงดู ท่าทางใกล้ๆ นี้น่าจะไม่มีใคร ภูเขาเขียวขจีลำธารใสกระจ่างรอบด้าน ไม่เห็นร่างใครสักคน จินเฟยเหยาจึงไม่แน่ใจว่านางอยู่ที่โลกเผ่ามารหรือโลกวิญญาณเป่ยเฉิน

เวทมนตร์ที่ใช้ควบคุมเกาะลอยได้ประโยคนั้นติดอยู่ในสมองจินเฟยเหยาอย่างแน่นหนา นางพาพั่งจื่อและต้านิวออกจากเกาะและเก็บเกาะลอยได้ชั่วคราว

หลังจากเก็บเกาะลอยได้ นางเพิ่งคิดจะออกไปสำรวจว่าที่นี่เป็นที่ใด พลันรู้สึกว่าเกาะลอยได้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น จินเฟยเหยาไม่ได้เปลี่ยนเกาะลอยได้ให้ใหญ่ขึ้นทว่าใช้การรับรู้ไปสัมผัสเกาะลอยได้โดยตรง นางพบว่าเข้าเกาะลอยได้ในมือไม่ได้ คิดจะลองนำสิ่งของในเกาะลอยได้ออกมาเช่นดินบนพื้นหรือชามที่ทิ้งไว้บนพื้นก็ล้มเหลว

จินเฟยเหยาตะลึงงัน ถ้าจะเข้าเกาะลอยได้หรือนำสิ่งของด้านในออกมาต้องเปลี่ยนเกาะลอยได้ให้มีขนาดใหญ่ ไม่เช่นนั้นคิดจะใส่สิ่งของไว้ด้านในก็ทำไม่ได้ เกาะลอยได้ขนาดสิบหมู่ ไม่ว่าโยนไว้ที่ใดล้วนเป็นวัตถุที่สะดุดตาอย่างยิ่ง โดดเด่นเกินไปแล้ว ถ้าถูกคนพบเห็นมิสังหารคนปล้นชิงสมบัติหรือ

เหตุใดทุกอย่างจึงมีข้อบกพร่องนะ ไม่มีสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมหรือ จินเฟยเหยางุนงง นี่มันเรื่องอะไรกัน!

แต่ถ้าเป็นถ้ำเซียนอาศัยอยู่ระยะยาว เปลี่ยนให้ใหญ่ก็เปลี่ยนให้ใหญ่ ถึงตอนนั้นคงยุ่งยากหน่อย ก่อนอื่นต้องใช้วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจสร้างการป้องกันซ่อนเกาะลอยได้ไว้ก็พอ ในแปลงสมุนไพรสี่หมู่บนเกาะลอยได้ ปลูกหญ้าวิญญาณชดเชยไว้ไม่น้อย ทั้งหมดเป็นพืชวิญญาณที่จอมมารหลงฉวยโอกาสปลูกตอนที่จินเฟยเหยาไม่อยู่ ผ่านเวลาหกสิบปี โดยพื้นฐานเป็นรูปเป็นร่างแล้วตอนนี้เพียงแค่รอเวลา

ต่อให้เป็นเช่นนี้ จินเฟยเหยาก็ยังรู้สึกพอใจเกาะลอยได้อย่างยิ่ง รอจนตนเองขั้นกำเนิดใหม่ ก็สามารถนำหญ้าวิญญาณด้านในออกมาหลอมยาได้

นางจำได้ว่าตอนไปโลกเผ่ามารเป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้ เช่นนั้นทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็คือโลกวิญญาณเป่ยเฉิน จินเฟยเหยานำพรมบินออกมาบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่างไม่เร็วไม่ช้า

ระหว่างทางนางไม่ได้อยู่ว่าง นำนกปีกสวรรค์ที่กลายเป็นนกแก่ๆ และแท่งหยกชิ้นเล็กๆ ออกมา เตรียมเขียนจดหมายหาปู้จื้อโหยว ตั้งหกสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าสภาพการณ์ของเขาในยามนี้จะเป็นอย่างไร

จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วใช้การรับรู้เขียนประโยคหนึ่งบนแท่งหยก เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?

จากนั้นใส่ป้ายหยกลงในกล่องจดหมายบนขานกปีกสวรรค์ หลังจากออกมาครู่หนึ่ง นกปีกสวรรค์แทบลืมไปแล้วว่าตนเองบินอย่างไร บินเอียงไปเอียงมาครู่หนึ่งก็เห็นมันกระพือปีกทันที แล้วหายไปจากเบื้องหน้าจินเฟยเหยาในพริบตา

“บินเร็วเกินไปแล้ว!” เห็นนกปีกสวรรค์หายไปจากเบื้องหน้าในพริบตา จินเฟยเหยาอาศัยสายตาหลังขั้นหลอมรวมยังไม่สามารถจับความเคลื่อนไหวการบินของมันได้

ตอนนี้ได้แต่รอปู้จื้อโหยวตอบจดหมาย ทว่าหลังบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสองชั่วยาม บนพื้นดินก็ปรากฏเมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง เห็นคนนอกเมืองและในเมืองไกลๆ ในที่สุดจินเฟยเหยาก็แน่ใจว่าตนเองมาถึงโลกเผ่ามนุษย์แล้ว ใช่กลับมาถึงโลกวิญญาณเป่ยเฉินหรือไม่ต้องลองสอบถามดูจึงรู้

เพื่อไม่ทำให้คนอื่นๆ ตื่นตระหนก จินเฟยเหยาจึงเก็บพรมบินเมื่ออยู่ห่างจากเมืองไม่ไกล ให้พั่งจื่อและต้านิวหดตัวเล็กลงจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ ยืนอยู่ข้างนางคนละฟากแล้วเดินเข้าไปในเมือง ตอนนี้ต้านิวมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าพั่งจื่อหนึ่งขั้น ถ้าทิ้งนางไว้ในเกาะลอยได้เหมือนทิ้งไว้ในอ่างมายาจิ่งเทียนแบบเมื่อก่อนก็เสียเปล่า

ให้พวกมันสองตัวอยู่ข้างกาย ยามพบเจออันตรายก็เป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งไม่เบา

เมืองแห่งนี้ชื่อเมืองไท่ผิง และเป็นโลกวิญญาณเป่ยเฉินจริงๆ เมืองนี้ไม่ใช่เมืองสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนโดยเฉพาะ จึงมีคนธรรมดาอาศัยอยู่มาก ทว่ายังเหลือถนนสายหนึ่งไว้ขายสิ่งของสำหรับฝึกบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญขั้นฝึกปราณจำนวนมากและขั้นสร้างฐานจำนวนน้อยเดินอยู่บนถนนหลิวเซียนแบบพอดีๆ ไม่มากไม่น้อย

เมื่อจินเฟยเหยาปรากฏตัวขึ้นบนถนนด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวม ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนถนนรู้สึกถึงพลังกดดันมหาศาลทันที สถานที่ซึ่งนางเดินผ่าน บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนต่างหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานยังสามารถใช้พลังการบำเพ็ญเพียรรักษาท่วงท่าสงบนิ่งของตนเองไว้ได้ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณทำไม่ไหว ขนาดมองนางมากหน่อยยังไม่ยินยอมมอง หลบหนีไปไกลลิบ

โดยเฉพาะรอยปะชุนแปลกประหลาดทั่วร่างที่ฝีมือย่ำแย่ถึงขีดสุด ดูแล้วเหมือนสวมชุดขาดวิ่นอันแปลกประหลาด ทำให้ทุกคนนึกถึงข่าวลือในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนว่ามีบุคคลสองประเภทที่อันตรายอย่างยิ่ง ถ้าพบเห็นต้องระมัดระวัง

หนึ่งคือผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่ง อารมณ์ของคนเหล่านี้แปลกประหลาด ภูมิหลังทั้งแข็งแกร่งทั้งมีคนมากมาย ไม่อาจยั่วโทสะ

สองคือผู้บำเพ็ญเซียนที่สวมเสื้อผ้าแปลกประหลาด ยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ฝึกเคล็ดวิชาประหลาด เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็จะยิ่งแปลก คนประเภทนี้ยิ่งมีอันตราย ทว่าจินเฟยเหยาครอบครองคุณสมบัติสองอย่างพอดี นำมาซึ่งบรรยากาศผิดปกติบนถนนหลิวเซียน

ถึงจินเฟยเหยาจะสำราญกับความรู้สึกเป็นจุดสนใจของทุกคน จนในที่สุดก็นำความเชื่อมั่นของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมกลับคืนมาได้ ทว่าสายตาเหล่านั้นไม่ได้ชื่นชมแต่เป็นสายตาหลบเลี่ยงและหวาดกลัวทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ

นางหาร้านหลอมอาวุธที่ถือว่าไม่เลวแห่งหนึ่ง ซื้อชุดแสงเงินแสงทองซึ่งเป็นอาวุธเวทชั้นยอดและชุดอาคมที่แพงที่สุดในร้านไป ถอดชุดขาดวิ่นออกและเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงห้าสีสัน ภาพลักษณ์ของจินเฟยเหยาดีขึ้นหลายเท่าทันที แลดูมีปราณเซียนล่องลอย ไม่ใช่อันธพาลอีกต่อไป

ขอเพียงเป็นสถานที่ซึ่งมีร้านค้าขายสิ่งของฝึกบำเพ็ญ ย่อมขาดของสิ่งหนึ่งไม่ได้ นั่นคือซื่อเต้าจิง ไม่ได้อ่านซื่อเต้าจิงมาหกสิบปี จินเฟยเหยาซื้อมาหนึ่งฉบับ เดินออกจากถนนหลิวเซียน และค้นหาร้านอาหารธรรมดาแห่งหนึ่งเหมาชั้นสามทั้งชั้น นางบอกกับร้านว่าตนเองจะเลี้ยงแขก ให้พวกเขาจัดอาหารให้เต็มโต๊ะยี่สิบตัวของชั้นสาม แล้วเลือกตำแหน่งข้างหน้าต่างแห่งหนึ่งพลิกอ่านซื่อเต้าจิง

การค้าใหญ่มาถึงประตู ร้านอาหารแห่งนี้จึงรีบยกชาหอมชั้นยอดมา ให้เสี่ยวเอ้อร์หนึ่งคนยืนรับใช้อยู่ตรงประตูชั้นสาม เจ้าของร้านซึ่งเป็นคนธรรมดายังมองออกว่าจินเฟยเหยาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน

น้ำชาที่ดื่มยังพอใช้ได้ จินเฟยเหยาค่อยๆ อ่านเนื้อหาในซื่อเต้าจิง ในขณะที่กวาดตาผ่านข่าวของโลกระดับดิน นางก็ตกตะลึงจนพ่นน้ำชาออกมาหมด

ในซื่อเต้าจิงเขียนถึงการสู้รบพัลวันของโลกระดับดินกลายเป็นสามขั้วอำนาจ สามขั้วอำนาจกำลังระดมกำลัง วางแผนช่วงชิงและยึดครองดินแดนของอีกฝ่าย และขั้วอำนาจหนึ่งในจำนวนนั้น คนที่เป็นหัวหน้าคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่มีชื่อว่าสยงเทียนคุน

จินเฟยเหยาตกตะลึงสุดเปรียบปาน นี่ฝึกบำเพ็ญอย่างไรกัน? หรือว่าพี่สยงได้พบโอกาสดี ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงบรรลุขั้นกำเนิดใหม่แล้ว

อ่านดูเนื้อหาในซื่อเต้าจิงอย่างละเอียด ถึงเนื้อหาจะถือว่าเขียนไว้มากมาย ทว่าอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เคยเอ่ยถึงสยงเทียนคุนแล้ว ในเนื้อหาครั้งนี้จึงพูดถึงสามขั้วอำนาจและสภาพการสู้รบเป็นสำคัญ ไม่ได้เล่าถึงสยงเทียนคุนมากนัก ท่าทางต้องไปซื้อข่าวของสยงเทียนคุนฉบับหนึ่งที่ซื่อเต้าจิง คาดว่าที่พวกเขาคงมีจดไว้ละเอียด

คิดถึงเรื่องนี้จินเฟยเหยาพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองลงเดิมพันข้างสยงเทียนคุนไว้ในเมืองวั่นเซียนสุ่ย ไม่ได้ไปรับเงินรางวัลมาตลอด จนสยงเทียนคุนบรรลุขั้นกำเนิดใหม่กลายเป็นผู้มีอำนาจ เดิมพันของตนเองเกรงว่าคงกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ไปแล้ว

นางอ่านต่อไป ในซื่อเต้าจิงไม่มีเรื่องที่น่าสนใจอะไรอีก จินเฟยเหยาอ่านดูตามสบาย จึงโยนซื่อเต้าจิงลงบนโต๊ะ

ยามนี้เสี่ยวเอ้อร์เดินมาหาและถามอย่างต้อนรับขับสู้ “ท่านเซียน ห้องครัวจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ขาดเพียงยกขึ้นโต๊ะ”

“เตรียมเสร็จแล้ว? เช่นนั้นรีบยกขึ้นโต๊ะ” จินเฟยเหยาพยักหน้า ให้พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วหน่อย

ตอนนี้ไม่ใช่เวลารับประทานอาหาร ห้องครัวกำลังว่างพอดี เพื่อดูแลท่านเซียนให้ทั่วถึงดังนั้นเตาทั้งหมดจึงจุดไฟ อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วยกมาขึ้นโต๊ะราวกับสายน้ำไหล วางเต็มทุกโต๊ะในชั้นสาม

คนของร้านอาหารทั้งหมดล้วนรอคอยคนที่ท่านเซียนเชิญมา กลับเห็นกบสองตัวที่ท่านเซียนพามา เปลี่ยนจากกบหยกน่ารักขนาดเท่าฝ่ามือเป็นสูงหนึ่งคนกว่า ท่าทางน่ากลัว จากนั้นท่านเซียนที่ดูบอบบางคนนี้ก็หยิบตะเกียบขึ้น กบอ้าปากกว้างเริ่มกวาดอาหารยี่สิบกว่าโต๊ะ ท่าทางดุร้าย ทำให้เสี่ยวเอ้อร์หวาดกลัวจนหดตัวอยู่ตรงประตูไม่กล้าเข้ามารินชาเติมน้ำ

จินเฟยเหยารับประทานพลางให้ร้านยกอาหารมาเพิ่ม กินอยู่สองชั่วยามเต็มๆ ตั้งแต่ฟ้าสว่างจนถึงฟ้ามืด กินจนทั้งร้านอาหารไม่เหลือผักสักใบจึงหยุดลง

เพื่อให้นางรับประทานอาหารมื้อนี้ เวลาอาหารเย็นของร้านอาหารจึงไม่ได้รับแขกคนอื่นๆ และส่งคนไปซื้อวัตถุดิบมาตลอด พ่อครัวยุ่งจนมือเท้าอ่อนแรงจึงสามารถทำให้จินเฟยเหยากินอิ่มครึ่งท้อง

จินเฟยเหยาดื่มน้ำชาลูบท้องที่แบนราบ ถอนหายใจเบาๆ อยากกินอาหารอร่อยๆ ปริมาณกลับไม่เพียงพอ หรือว่าเพื่อกินให้อิ่ม นางได้แต่กินเนื้อสัตว์ปิศาจที่ไหม้เกรียมและใส่แต่เกลือ อาหารเหล่านี้กินมากไปก็ยุ่งยาก อีกทั้งรสชาติของตัวมันเองก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว

ผู้รับใช้และเจ้าของร้านทั้งหมดหลบและมองดูอยู่ตรงประตูชั้นสาม จะไปก็ไม่กล้าไป จะเข้าก็ไม่กล้าเข้า ถ้าเข้าไปแล้วถูกกินต่างอาหารจะทำอย่างไร

หลังรับประทานอาหารเสร็จ จินเฟยเหยาวางศิลาวิญญาณชั้นล่างสามพันก้อนบนโต๊ะ จากนั้นนั่งพรมบินออกไปทางหน้าต่างทันที ศิลาวิญญาณเหล่านี้เพียงพอจะซื้อร้านอาหารทั้งร้าน เจ้าของร้านปีติยินดีจนแทบแยกทิศทางไม่ถูก หวังให้ท่านเซียนกระเพาะใหญ่แบบนี้ปรากฏตัวขึ้นบ่อยๆ ก็ดี

เมื่อแน่ใจว่าที่นี่คือโลกวิญญาณเป่ยเฉิน จินเฟยเหยาก็วางใจขอเพียงไม่ใช่โลกเผ่ามารก็พอ แค่คิดถึงโลกเผ่ามาร นางก็นึกถึงเรื่องที่ไม่เบิกบานใจ น่าหงุดหงิดแทบตายจริงๆ

ขณะที่จินเฟยเหยานั่งพรมบินเล่นโดยไร้จุดหมาย กลางท้องนภายามราตรีอันมืดมิด เวทหลบหนีหลายสิบสายเปล่งแสงผ่านเบื้องหน้านางไป ทั้งหมดเหาะไปยังสถานที่เดียวกัน

ตอนแรกนางยังนึกว่าเป็นสำนักเดียวกัน พอแยกแยะอย่างละเอียดจึงพบว่าชุดที่พวกเขาสวมใส่แตกต่างกัน ราวกับเป็นคนละกลุ่ม ไม่ใช่สำนักเดียวกัน

“เอ๋? หรือว่าเบื้องหน้ามีเรื่องดีอะไร” เห็นกองทัพผสมกลุ่มนี้ ในใจจินเฟยเหยาก็เกิดอารมณ์อยากดูเรื่องสนุกจึงติดตามไป

………………………………………..