บทที่ 189 ข่าวที่แพร่กระจายทำเอาสายลมและหมู่เมฆต้องสะท้าน

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ดินแดนแสนภูผาทอดตัวยาวจดขอบฟ้า กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นดินแดนแห่งพื้นที่ราบไร้รอยสะดุด พร้อมด้วยภูเขายอดดอยน้อยใหญ่ที่แทงขึ้นจากพื้นชั้นแล้วชั้นเล่า

ทันใดนั้นท่ามกลางเทือกเขากว้างใหญ่นี้ เสียงคำรามก้องเหมือนสายฟ้าฟาดก็ดังขึ้น จุดสีดำบินมาจากระยะไกล แล้วค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นเมื่อคืบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

มันคือเหยี่ยวสีดำตัวใหญ่มหึมา ขนบนร่างของมันโบกสะบัดไปตามลมด้วยความเร็วยากเกินจับตา ส่งเสียงหวีดหวิวไปในอากาศ ดวงตาของเหยี่ยวตัวนี้แหลมคมเป็นอันมาก ทั้งยังปล่อยรังสีเย็นเยียบสยบจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็นออกมาอีกด้วย

เสียงร้องแหลมของเหยี่ยวดังสะท้อนไปถึงสวรรค์ชั้นบนสุด เหล่านกน้อยใหญ่มากมายต่างกระพือปีกรับจนเกิดเป็นเสียงกึกก้องทั่วดินแดนแสนภูผา

บนหลังของเหยี่ยวมีสตรีในชุดคลุมของนักรบ ผมของนางรวบเป็นหางม้ายาว ส่งให้นางดูทั้งคล่องแคล่วและเรียบเฉยในเวลาเดียวกัน สตรีนางนี้มีเครื่องหน้าได้รูปอ่อนโยนดูบอบบางน่ารักยิ่ง

นางพาดคันธนูไว้บนบ่าและนั่งอยู่บนหลังเหยี่ยว แม้ลมจะพัดเข้าปะทะ แต่เกราะป้องกันที่มองไม่เห็นก็ปกป้องนางเอาไว้จากลมกรรโชกแรง สตรีนางนี้ดูไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศรอบตัวแม้แต่น้อย และกำลังกัดผลไม้พลังปราณในมือกินกร้วมๆ ด้วยสีหน้าสุขใจ

“พี่ใหญ่เตียว ท่านอาจารย์บอกให้เรามุ่งหน้าไปยังนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วก็จริง แต่ไม่ต้องรีบก็ได้นี่” นางยกมือขาวบอบบางขึ้นลูบศีรษะของเหยี่ยวคู่ใจพลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากินผลไม้ในมือต่อไป

เหยี่ยวที่กำลังโผบินในอากาศกลอกตาบนด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์ แล้วเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นอีก

  …

เกาะมหายานเป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะใหญ่ยักษ์ที่ลอยเด่นอยู่ในมหาสมุทรกว้าง ภายในเกาะมีอาคารสูงเสียดฟ้าอยู่มากมาย

ที่ใจกลางห้องลับภายในหอคอยสูงเก้าชั้น ร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ พลังปราณลอยอยู่รอบตัวเขาแล้วดิ่งลงด้านล่างราวกับมีกระแสพลังประหลาดหมุนเวียนรอบกาย พลังนั้นคือพลังปราณสีทองบางเบา

วัตถุโบราณสีทองหมุนวน ส่งเสียงร้องของบทเพลงที่ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างประหลาดให้กังวานออกมา สร้างบรรยากาศอันสงบสุข

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน วัตถุโบราณนั้นก็ลดระดับลงมาลอยอยู่เหนือฝ่ามือของคนผู้นั้น จากนั้นก็ถูกเก็บกลับเข้าไป

“การต่อสู้ที่ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เกือบทำให้ขั้นปราณของข้าถดถอยลงไป… ความเกลียดชังอันแสนขมขื่นนี้ ชายแก่ผู้นี้ขอสาบานว่าจะไม่มีวันปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ได้ล้างแค้นแน่นอน ปู้ฟาง… ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง รอก่อนเถิด”

ชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นพลันเปิดตาขึ้น แสงสีทองสว่างส่องกระจายไปทั่ว จุดห้องลับให้สว่างไสว

สีหน้าของเจ้ามู่เฉิงเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เจ้ารู่เก๋อค่อยๆ เดินเข้าห้องมาพร้อมด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ เมื่อเห็นว่าเจ้ามู่เฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ชายหนุ่มก็โค้งคำนับผู้เป็นบิดา

“รู่เก๋อ มีอะไรรึ หรือว่ามีสิ่งน่าสนใจเกิดขึ้นที่นครหลวง” เมื่อเจ้ามู่เฉิงเห็นว่าผู้มาเยือนคือเจ้ารู่เก๋อ เขาก็ยิ้มอ่อนโยนออกมาทันทีพร้อมเอ่ยถาม

ใบหน้าของเจ้ารู่เก๋อยังคงดูตื่นเต้นขณะมองไปที่ผู้เป็นบิดา “พ่อครัวเงาหวังติ้งไปเยือนนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว แถมยังไปที่ร้านเถ้าแก่ปู้ด้วยขอรับ”

“อ้อ พ่อครัวเงาหวังติ้งเช่นนั้นรึ หมอนั่นไม่ได้แยกตัวไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองอาทิตย์ขจีหรอกหรือ” เจ้ามู่เฉิงยังคงรักษาสีหน้าสุขุมไว้เสมอต้นเสมอปลาย

“ใช่แล้วขอรับ พ่อครัวเงาหวังติ้งตัวจริงเสียงจริง ผู้ที่เดินทางไปทั่วทวีป จีเฉิงเสวี่ยจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขา และมีการปล่อย… ข้อมูลสำคัญมากออกมาด้วย”

“เดินทางไปทั่วทวีปเช่นนั้นรึ ฮ่าๆ… ตาแก่นี่ยังหน้าด้านหน้าทนเหมือนเดิม เอาละ บอกมาเสียว่าข้อมูลสำคัญที่ว่านั้นคืออะไร” มุมปากของเจ้ามู่เฉิงยกขึ้นยิ้มเย้ยด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์

เจ้ารู่เก๋อมองผู้เป็นบิดาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “รางวัลชนะเลิศของงานสมโภชร้อยครอบครัวคือเมล็ดต้นตื่นรู้ทางห้าสาย ร้านของปู้ฟางทำให้เมล็ดนั้น… งอกได้ขอรับ”

ตูม!!

พลังปราณน่ากลัวระเบิดออกจากร่างของเจ้ามู่เฉิงทันที เจ้ารู่เก๋อถูกแรงนั้นอัดจนต้องล่าถอยไปสองสามก้าว จากนั้นร่างก็กระแทกเข้ากับผนังห้องลับเข้าอย่างจัง

“เจ้าว่าอย่างไรนะ ต้นตื่นรู้ทางห้าสายเช่นนั้นรึ นี่เป็นข้อมูลจริงหรือข้อมูลเท็จกัน!”

รูม่านตาของเจ้ามู่เฉิงขยายกว้างขึ้น เขาดูกระวนกระวายไม่น้อยทีเดียว

ตามบันทึกในหอสมุดของเกาะพุทธมหายาน ต้นตื่นรู้ทางห้าสายนั้นเป็นต้นไม้พลังปราณแสนวิเศษ ที่จะช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ก้าวขึ้นไปสู่ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามได้

แต่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายนี้สูญพันธุ์ไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นอีก… แถมยังไปโผล่ที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเสียด้วย

“นี่เป็นข่าวที่กระจายออกจากวังหลวง พ่อครัวเงาหวังติ้งเป็นคนพูดด้วยตัวเอง… เช่นนั้นก็ควรจะเป็นเรื่องจริงขอรับ” เจ้ารู่เก๋อนวดหน้าอกตนเองเพื่อลดความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกลง จากนั้นก็เอ่ยออกมาเพื่อยืนยัน

“ฮ่าๆๆ! สวรรค์เป็นใจแล้ว ปู้ฟางเอ๋ย ปู้ฟาง! อยู่ดีไม่ว่าดีก็ดันทะเล่อทะล่าไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง! ดูเหมือนว่าตาแก่ผู้นี้แค่ต้องกระจายข่าวออกไปให้ทั่วทุกสารทิศเท่านั้น เมื่อเวลามาถึง ร้านโง่เง่าเล็กเหมือนรูหนูของเจ้าจะไปทานทนฝูงผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการจากทั่วทุกสารทิศได้อย่างไรกัน บางที… พวกขั้นเทพแห่งสงครามก็อาจมาร่วมวงด้วยก็เป็นได้! พอถึงตอนนั้นข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องกระดิกนิ้วทำอะไรแล้ว… เจ้าเละไม่เหลือซากแน่นอน!” เจ้ามู่เฉิงระเบิดหัวเราะลั่น

เมื่อเห็นเจ้ามู่เฉิงหัวเราะร่วนอยู่คนเดียว เจ้ารู่เก๋อก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากพูด “ท่านพ่อขอรับ แต่ที่ทางเข้าร้านของปู้ฟางมีอสูรเวทระดับเก้าในตำนานนอนเฝ้าอยู่มิใช่หรือขอรับ…”

“อสูรเวทระดับเก้าในตำนานอะไรกัน! เจ้าก็บ้าจี้เชื่อข่าวลือไปได้ เจ้าเคยเห็นอสูรเวทในตำนานของจริงหรือถึงได้รู้ อสูรเวทระดับเก้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก… มันจะมานอนโง่เฝ้าทางเข้าร้านอาหารเล็กๆ ไปเพื่ออะไรกัน! ไอ้ที่นอนเฝ้าทางเข้าร้านอยู่นั่น อย่างดีก็แค่อสูรเวทระดับแปดเท่านั้น… แล้วต่อให้เป็นระดับแปดจริง ถ้าต้องรับมือกับขั้นนักพรตยุทธการมากมายขนาดนั้น แถมอาจจะมีขั้นเทพแห่งสงครามพ่วงไปอีก… ถึงอย่างไรก็ปกป้องไอ้ปู้ฟางเวรนั่นไม่ได้แน่นอน”

เจ้ามู่เฉิงไม่เชื่อแต่แรกแล้วว่าที่หน้าร้านของปู้ฟางจะมีอสูรเวทระดับเก้าในตำนานนอนเฝ้าอยู่จริง เขาเคยเจอสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นมาก่อน อำนาจที่แผ่ออกจากร่างของมันยิ่งใหญ่มากเสียจนทำให้รู้สึกอยากตายลงตรงนั้น กับอีแค่จักรวรรดิวายุแผ่วแสนด้อยค่า หากต้องเผชิญกับอสูรเวทระดับเก้าในตำนานจริง จักรวรรดินั่นก็เป็นได้แค่ตุ๊กตากระดาษรอวันโดนขยี้ให้แหลกคาเท้าเท่านั้น

เจ้ารู่เก๋อสะอึก อับจนด้วยคำพูด

เจ้ามู่เฉิงผู้เป็นพ่อยังคงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นต่อไป จากนั้นก็หันหลังกลับตั้งท่าจะออกจากห้องลับ “ข้าจะส่งข่าวนี้ไปให้บรรดาผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ รับทราบ ตาแก่พวกนั้นขี้ขลาดเสียจนไม่กล้ามาเข้าร่วมกับข้า แต่คราวนี้หากมีต้นตื่นรู้ทางห้าสายเป็นเดิมพัน รับรองว่าเก็บอาการกันไม่อยู่แน่”

  …

ในเวลาเช้าตรู่ ปู้ฟางยกไม้กระดานกั้นประตูร้านขึ้น จากนั้นก็เดินออกมาพร้อมจานซี่โครงเปรี้ยวหวานหอมกรุ่น แล้ววางมันลงตรงหน้าเจ้าดำ

เขาลูบขนสวยของสุนัขตะกละที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันทีเมื่อเห็นซี่โครงเปรี้ยวหวาน จากนั้นก็หันหลังกลับเตรียมเดินเข้าครัวเพื่อเปิดร้านตามเวลาปกติ

เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนเดินตึงตังเข้าร้านมาเหมือนเคย เขาทักทายปู้ฟางแล้วเริ่มสั่งอาหารตามกิจวัตร

ชายอ้วนลองชิมอาหารหมดแล้วแทบทุกรายการในร้านของปู้ฟาง แต่ก็ยังไม่เบื่อเสียที นี่ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจมาก และน่าจะเป็นเพราะฝีมือการทำอาหารแสนวิเศษไร้ที่ติของชายหนุ่มโดยแท้

หลังจากที่กลุ่มเจ้าอ้วนจินจากไป โอวหยางเสี่ยวอี้ก็กระโดดโลดเต้นเข้ามาในร้านโดยมีพี่ชายร่างยักษ์ทั้งสามของนางตามมาด้วย นานๆ ทีสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางจะมาที่ร้านเสียที

“ฮี่ๆ เถ้าแก่ปู้ วันนี้ข้าอยากดื่มสุราเหลือเกิน เอาสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งเหยือก” โอวหยางเจินเกาศีรษะแล้วยิ้มให้ปู้ฟาง

“อยากสั่งปลาดองเหล้าด้วยหรือไม่ กินกับสุราแล้วเข้ากันดีนะ” ปู้ฟางกะพริบตาปริบแล้วเปิดการขายทันทีโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย

โอวหยางเจินโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว คราวนี้เขาจะไม่ตกเป็นเหยื่อการขายของปู้ฟางอีกแล้ว คราวที่แล้วเขาสั่งทั้งสุราหัวใจหยกเยือกแข็งและปลาดองเหล้า แต่หลังจากดื่มสุราเข้าไป รสชาติของปลาดองเหล้าก็หายไปหมด… เปลืองเงินเป็นบ้า

ปู้ฟางรู้สึกเซ็งขึ้นมาที่กลเม็ดของตนใช้ไม่ได้ผล ชายหนุ่มเดินกลับเข้าครัวไปยกสุราออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของโอวหยางเสี่ยวอี้

“ในอนาคตร้านของเราจะมีสุราชนิดใหม่ขาย พอถึงเวลาพวกเจ้าลองมาชิมดูก็แล้วกัน รับรองว่ารสชาติยอดเยี่ยมกว่าสุราหัวใจหยกเยือกแข็งแน่นอน” ปู้ฟางพูดกับสามพี่น้องด้วยสีหน้าจริงจัง

ดวงตาของทั้งสามเป็นประกายขึ้นมาทันที เถ้าแก่ปู้จะมีสุราชนิดใหม่ขายรึ ถ้าเช่นนั้นทั้งสามจะต้องมาอุดหนุนอย่างแน่นอน สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางพยักหน้าหงึกหงักตอบรับด้วยความตื่นเต้น

  …

ที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ เฉียนเป่ากำลังจ้องไปที่หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีขาวตรงหน้าด้วยสายตาอับจนหนทาง มุมปากของเขากระตุกขวับ

“ยายคนนี้กลับมาอีกทำไมกัน ไม่ใช่ว่าออกจากนครหลวงไปแล้วรึ”

“อ้าว เจ้า ไม่ได้เจอกันนานเลย! ดูเหมือนชีวิตของเถ้าแก่เฉียนจะราบรื่นดีนะ” ใบหน้าสวยเหมือนนางฟ้าของหนี่หยันยิ้มซนทันที ทำให้เฉียนเป่าขนลุกซู่ไปทั้งตัว เหตุใดหญิงผู้นี้จึงส่งยิ้มสยองเช่นนี้ให้เขา ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

“ตายๆ… แม่นางคนงาม ท่านมิได้ออกจากนครหลวงไปแล้วหรือขอรับ เหตุใดจึงกลับมาอีกเล่า” ใบหน้าของเฉียนเป่าย่นยู่ไปหมดขณะคร่ำครวญออกมาด้วยความหดหู่ใจ

“แม่นางคนงามผู้นี้คิดถึงเถ้าแก่ปู้… เอ่อ อาหารของเถ้าแก่ปู้ แล้วจะกลับมาที่นครหลวงไม่ได้หรืออย่างไร หยุดพูดพล่ามได้แล้ว รีบไปบอกให้คนของเจ้าออกจากครัวเสีย ข้าเพิ่งเรียนวิธีทำอาหารจานใหม่มา อยากถามความเห็นจากเถ้าแก่ปู้เสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง” หนี่หยันประกาศ

เฉียนเป่าเดือดปุดด้วยความโกรธ… “หากอยากได้ความคิดเห็นจากเถ้าแก่ปู้ เหตุใดจึงไม่ไปใช้ครัวร้านเถ้าแก่ปู้เล่า… เหตุใดจึงมาข่มเหงรังแกผู้น้อยอย่างข้าเช่นนี้!”

เฉียนเป่าบ่นพึมพำแต่ก็ย่นคอทันทีที่เห็นดวงตาคู่งามซึ่งจ้องเขม็งมาของหนี่หยัน หลังจากที่นึกได้ว่าแม่นางคนงามตรงหน้านี้มีพลังปราณที่น่ากลัวเพียงใด เขาก็คิดได้ “ช่างมันเถิด คราวนี้ข้าจะจำใจทนก็แล้วกัน”

“ท่านช่างเป็นคนที่ยากหาใครเทียบเทียมเสียจริง ครัวของร้านข้าเป็นของท่านแล้วกันวันนี้!”

จากนั้นหนี่หยันก็เข้ายึดพื้นที่ครัวร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ด้วยความปีติยินดี เวลาผ่านไปสักพัก นางก็เดินถือกล่องอาหารออกมาแล้วก้าวอาดๆ อย่างมีความสุขไปที่ร้านของปู้ฟาง

เมื่อถังอิ่นเห็นว่าอาจารย์ของตนออกไปแล้ว ก็รู้สึกเลือกไม่ถูกว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้กับภาพที่เห็นดี เขาหยิบผลึกออกมาสองสามผลึกแล้วยื่นให้เฉียนเป่า เอ่ยขอโทษเจ้าของร้าน พลางรีบวิ่งตามอาจารย์ของตนเองไป

เฉียนเป่าเขย่าสิ่งที่อยู่ในมือเล็กน้อย เหลือบตาลงมองผลึก แล้วเม้มปากพร้อมเก็บผลึกเข้ากระเป๋าไป

“ดูเหมือนจะ… ไม่ขาดทุนแฮะ”