หลิงอวี้จิวหัวใจสั่นสะท้าน นางกล่าวด้วยเสียงพร่า “ผู้สูงศักดิ์มีชีวิตอยู่นานถึงหมื่นปี และเขาก็เชี่ยวชาญในทักษะเทวะทุกๆ แขนง! นอกจากนั้น เขายังเคยไปที่แผ่นดินตะวันตกและสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นเขาจะต้องได้เรียนทักษะเทวะของคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน! โอรสเทพแสงฉานสามารถสังเกตและเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะหลักๆ ของสันตินิรันดร์ได้จากตัวเขา!”
ฉินมู่ยังคงสำรวจตรวจตรารูปสลักหินบางพวก และเขากล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “มรรคา วิชา และทักษะเทวะที่เขามองเห็นนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก เขาไม่อาจมองเห็นจิตวิญญาณแห่งสันตินิรันดร์จากผู้สูงศักดิ์ ผู้สูงศักดิ์ไม่มีของแบบนี้เพราะนิสัยใจคอของเขาอ่อนปวกเปียกจนเกินไป หากว่าเขาต้องการมองเห็นจิตวิญญาณแห่งสันตินิรันดร์…”
เขาเงยหน้าขึ้นและยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ย “เขาต้องมาดูจากข้า!”
หลิงอวี้จิวหัวเราะ “ขี้อวด”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กสาวแห่งตระกูลหลิง มู่เอ๋อไม่ได้คุยโว ข้าสามารถแสดงให้เจ้าเห็นจิตวิญญาณของเขา”
หลังจากกล่าวคำเหล่านี้ เขาก็แตะลงไปที่หว่างคิ้วของหลิงอวี้จิวอย่างแผ่วเบา ทัศนวิสัยของหลิงอวี้จิวพลันขมุกขมัว แต่ที่ใจกลางหว่างคิ้วของนางเจิดจ้าขึ้น นางมองเห็นแต่ภาพอันเลือนรางตรงหน้า
“มองไปที่มู่เอ๋อ” บรรพชนแรกกล่าว
หลิงอวี้จิวหันศีรษะของนางมองไปยังฉินมู่ นางพลันเห็นจิตวิญญาณของเขา และมันก็ลุกโหมดุจไฟเพลิง เขานั้นไม่กลัวสวรรค์ไม่กลัวพิภพ เขากล้าที่จะสู้ กล้าที่จะดิ้นรน!
หัวใจของนางสั่นเทิ้มเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง ทัศนวิสัยในดวงตาของนางก็ค่อยๆ คืนกลับมา และตอนนี้นางก็มองไม่เห็นจิตวิญญาณของฉินมู่อีกต่อไป
“หากว่าบิดาของเจ้า จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง อยู่ตรงหน้าของเจ้าในบัดนี้ เจ้าก็จะเห็นภาพนี้ด้วยเช่นกัน จิตวิญญาณของเขายิ่งเข้มข้นกว่าฉินมู่เสียอีก”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวอย่างเปี่ยมความนัย “เมื่อจักรพรรดิก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมา เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งที่สุด แต่เจ้าจะต้องเป็นผู้ที่มีหัวใจและจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่สุด จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นผู้คนเช่นนี้ เขานั้นมีจิตมุ่งมั่นและจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ที่ยิ่งแข็งแกร่งกว่าฉินมู่เสียอีก ข้าเคยพบเห็นราชครูสันตินิรันดร์จากที่ไกลๆ หนหนึ่ง และเขาไม่มีจิตวิญญาณเข้มข้นขนาดนั้น จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีจิตวิญญาณอันเป็นภาพแทนแห่งยุคสมัย!”
หลิงอวี้จิวอึ้งไปเล็กน้อย นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าตัวตนอย่างบรรพชนแรกจะประเมินบิดานางไว้สูงส่งปานนี้!
วรยุทธของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนั้นด้วยกว่าราชครูสันตินิรันดร์ ปฏิภาณและพรสวรรค์ของเขาด้อยกว่าราชครูสันตินิรันดร์และฉินมู่ พูดอีกอย่างแล้ว เขานั้นก็โดดเด่น แต่ไม่ใช่ระดับสุดยอด
แต่ทว่า จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงคือแกนหลักคนหนึ่งในการปฏิรูปของราชครู เป็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนี่แหละที่ผลักดันการปฏิรูปทำลายเทพเจ้าในหัวใจ ทำลายเทพเจ้าในวิหาร เพื่อให้ทักษะเทวะถูกใช้สอยแก่ผู้คนทั่วไป และให้เทพเจ้าถูกใช้สอยแก่ผู้คนทั่วไป แม้กระนั้น ประกายเรืองรองของเขาก็ถูกราชครูสันตินิรันดร์กลบไปหมด
ข้าอยากจะเป็นบุคคลเหมือนท่านพ่อ และจะทำให้ดีกว่าเขาอีกด้วย! นางคิดในใจ
หลังจากสิบวัน ผานกงสั่วก็ได้รับการเชื้อเชิญกลับเข้าไปในราชวัง และเขาต่อสู้กับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อนอีกครั้ง ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นวรยุทธเป็นตาย แต่ยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์และเจ็ดดาวอีกด้วย ทำให้จำนวนรวมทั้งหมดมีหลายพันคน
ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเป็นตายได้รับภารกิจในการท้าสู้กับผานกงสั่ว และภายในเวลาสิบวัน วรยุทธของพวกเขาก็เพิ่มพูนอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถขับเคลื่อนมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่ผานกงสั่วใช้มาก่อนได้ พวกเขาคล่องแคล่วชำนาญราวกับว่าได้ฝึกมาเป็นหมื่นปี!
ผานกงสั่วทั้งแตกตื่นและว้าวุ่น เขาพยายามต่อสู้อย่างสุดฝีมือกับผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ แทบจะงัดวิธีการทั้งหมดของตนออกมาหมดหีบ แต่เขาก็ยังคงเชี่ยวชาญมากกว่าพวกนั้น ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เอาชนะผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อนได้เป็นส่วนมาก แต่ก็แพ้ไปบางรอบ
ในคราวนี้ โอรสเทพแสงฉานให้เวลาเขาพักนานพอ ดังนั้นก่อนที่เขาจะท้าสู้กับคนถัดไป เขาจึงอยู่สภาวะพร้อมเต็มพิกัดอยู่เสมอ การต่อสู้จึงเข้มข้นเป็นพิเศษ
โอรสเทพแสงฉานผู้อยู่เบื้องบน มองลงมายังการต่อสู้ข้างล่าง เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วถาม “คณะทูตสันตินิรันดร์กำลังทำอะไรอยู่ในช่วงหลายวันมานี้”
เทพข้างๆ เขาโค้งคารวะและกล่าวด้วยเสียงเบา “คณะทูตสันตินิรันดร์ไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขาเอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ เมือง ทูตเหล่านี้มีความสงสัยใคร่รู้สูงยิ่ง และดูเหมือนไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน พวกเขาเอาแต่จ้องไปยังรูปสลักหินในเมือง และใช้เวลานานสองนานอยู่หน้าแต่ละรูปสลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูตที่แซ่ฉิน เขาไปนอนบนรูปสลักหินเพื่อจ้องมองดู ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้ช่างสงสัยเหมือนเคย แต่เขาเริ่มต้นวาดภาพรูปสลักหิน”
โอรสเทพแสงฉานเลิกคิ้ว คิ้วของเขาคมกริบราวมีดดาบ และมันดูดีเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดดังๆ “คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้ มีผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ในสันตินิรันดร์นับว่าเป็นปัญหาที่เปี่ยมขวากหนามจริงๆ”
เทพข้างๆ เขาไม่เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
โอรสเทพแสงฉานนำกระจกออกมา เขาปิดมันด้วยผ้าสีดำก่อนส่งมันไปให้เทพตนนี้ “นำกระจกนี้ไปตามหาเขา เอาผ้าสีดำออกและส่องกระจกไปยังเขาจากที่ไกลๆ จากนั้นก็ปิดด้วยผ้าสีดำใหม่อีกครั้ง เมื่อเจ้าทำเสร็จแล้ว ก็นำกลับมาให้ข้าโดยทันที”
เทพนั้นงงงวย แต่เขาก็ยังรับกระจก และรีบจากไปโดยพลัน โอรสเทพแสงฉานสังเกตการณ์การต่อสู้ต่อ
ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เทพเจ้าก็นำกระจกกลับมาและกล่าว “ข้าได้ฉายกระจกส่องไปยังทูตสันตินิรันดร์ผู้นั้น และรีบกลับมาทันที”
โอรสเทพแสงฉานรับกระจกมาและค่อยๆ นำผ้าดำออกอย่างเบามือ ขณะที่ดวงตาทั้งสองของเขาจ้องไปยังกระจก ดวงตาตั้งฉากที่หว่างคิ้วของเขาก็จ้องไปยังผานกงสั่ว เขายังคงกำลังวิเคราะห์แยกแยะกระบวนท่าและอนุมานอีกฝ่าย
ทันใดนั้น โอรสเทพแสงฉานก็ตัวแข็งทื่อ ดวงตาทั้งหมดของเขาพลันจ้องเขม็งไปยังกระจก
ในกระจก คือฉินมู่ที่กำลังหันหลังมาทางเขาระหว่างที่ศึกษาพิจารณารูปสลักหิน ข้างๆ เขาเด็กสาวและลูกตายักษ์สองลูกกำลังยืนอยู่ ในตอนนั้น บรรพชนแรกหันกลับมา และใบหน้าของเขาดูจะใหญ่โตและซีดเผือด เขาดูเหมือนจะเข้ามาใกล้กระจกเป็นอย่างยิ่ง และมองเข้ามาในนั้น
ที่ทำให้โอรสเทพแสงฉานตกตะลึงมิใช่บรรพชนแรก แต่เป็นฉินมู่ เมื่อกระจกฉายส่องไปยังเขา มันมิได้เพ่งตรงที่เขาโดยเฉพาะ เขาพบว่าฉินมู่มีหนึ่งหัวกับสองแขนตามปกติ แต่มันมีรัศมีอื่นที่แผ่ออกมาจากกระจก–จิตวิญญาณต่อสู้อันดุเดือด
จิตวิญญาณต่อสู้อันดุเดือดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นหัวอีกสองหัว!
นอกจากนั้น โอรสเทพแสงฉานยังมองเห็นรูปเงาของแขนข้างใต้รักแร้ของฉินมู่ พวกมันมีเพิ่มเข้ามาทั้งหมดสี่ข้าง!
แขนสี่ข้างและสองหัวได้แปรเปลี่ยนมาจากปราณชีวิตของเขา และมันไม่ได้เป็นของกายภาพเลยสักนิด!
“ชื่อซี เจ้าได้ถ่ายทอดวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลให้กับคณะทูตสันตินิรันดร์หรือไม่” โอรสเทพแสงฉานเรียกชื่อซีขึ้นมาถาม
ชื่อซีส่ายศีรษะ “ไอ้เด็กนี่มันขโมยมีดปริศนาประหารเทพของข้า วางยาพิษข้า หลอกข้าให้มอบสมบัติล้ำค่าไป แล้วทำไมข้าถึงจะไปถ่ายทอดวิชาฝึกปรือให้กับมันล่ะ”
โอรสเทพแสงฉานกล่าวพลางถอนหายใจ “เขานั้นใกล้จะเรียนมันสำเร็จ…ไม่สิ เขานั้นใกล้ที่จะสรรค์สร้างวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลของตนเองขึ้นมา”
ชื่อซีตื่นตระหนกและพูดไม่ออก
“ขณะที่พวกเรากำลังศึกษาค้นคว้าวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะแห่งสันตินิรันดร์ คนผู้นี้ก็ไม่ได้อยู่เปล่าๆ เขานั้นกำลังวิเคราะห์อนุมานวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะแห่งยุคสมัยแสงฉานของพวกเรา แม้ว่าเขาจะไม่ได้สำเร็จแง่อัศจรรย์ในวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะเหล่านั้น แต่เขาได้รับถ่ายทอดจิตวิญญาณอันไร้ความเกรงกลัวแห่งยุคสมัยแสงฉาน”
โอรสเทพแสงฉานถอนหายใจอีกครั้ง “ทำไมถึงมีคนที่ยุ่งยากเป็นปัญหาขนาดนี้ หรือว่าเขาจะเป็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงที่ปลอมตัวมาเป็นทูต ไม่สิ นั่นไม่ใช่หรอก เขาไม่มีปราณจักรพรรดิ และวรยุทธของเขาก็ไม่สูง…”
ชื่อซีรีบกล่าว “ข้าได้พบกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแล้ว และเขาก็บรรลุเป็นเทพเรียบร้อยแล้ว คนผู้นี้เรียกว่าฉินมู่ เขารับมือยากขนาดนั้นจริงๆ หรือ เขาไม่เคยเรียนทักษะเทวะของยุคสมัยแสงฉานของพวกเรา และต่อให้เขาฝึกปรือจนได้สามเศียรหกกรมา เขาก็ไม่อาจขับเคลื่อนทักษะเทวะที่สอดคล้องกันออกมาได้”
โอรสเทพแสงฉานผงกหัวอย่างนุ่มนวลและแย้มยิ้ม “ข้าเข้าใจล่ะ เพียงแต่พรสวรรค์และปฏิภาณของเขาทำให้ข้าแตกตื่น มาสิ คนของข้า ไปจับตาดูคณะทูตสันตินิรันดร์ต่อ และรายงานทุกพฤติการณ์ของพวกเขาแก่ข้า ข้าต้องการทุกรายละเอียดอย่างไม่ตกหล่น!”
เทพหลายตนโค้งคารวะและหายวับไปในทันที
ผานกงสั่วกระอักเลือดและล้มคว่ำลงกับพื้น รู้สึกทั้งหมดเรี่ยวแรงและย่ำแย่
เสียงของโอรสเทพแสงฉานดังมา “ชื่อซี พาศิษย์ของเจ้าไปให้เขาพักผ่อน ค่อยกลับมาหลังจากนี้อีกสิบวัน”
ผานกงสั่วที่นอนคว่ำอยุ่กับพื้น ร่างบิดกระตุกสองที
ไม่นานนัก โอรสเทพแสงฉานก็ได้รับข่าว “คณะทูตสันตินิรันดร์ได้ไปยังโรงเรียนส่วนบุคคล และเริ่มแสวงหาความรู้พร้อมกับเด็กทั้งหลาย ครูผู้สอนงุนงงและไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรกับพวกเขา ขอเรียนถามโอรสเทพว่าพวกเราควรขับไล่พวกเขาออกไปหรือไม่”
โอรสเทพแสงฉานอ้าปากค้าง หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ส่ายศีรษะ “จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้มอบที่ดิน และอนุญาตให้พวกเราเปิดโรงเรียนกับสถาบันการศึกษา ข้าไม่อาจตระหนี่ถี่เหนียวไปกว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้ ดังนั้นปล่อยให้เขาอยู่ต่อ”
หลังจากสี่วัน เทพเจ้าตนหนึ่งก็มารายงาน “คณะทูตสันตินิรันดร์เรียนกับเด็กอยู่สี่วัน จากนั้นพวกเขาก็ไม่ไปโรงเรียนอีก”
โอรสเทพแสงฉานตอบไป “สืบดูอีกครั้ง ดูว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรต่อ”
สองวันให้หลัง เทพอีกตนหนึ่งมารายงาน “คณะทูตสันตินิรันดร์ไปเยี่ยมเยือนราชวังของเพชฌฆาตและเยี่ยมเยียนผานกงสั่ว เขายังมอบยาให้เขา แต่ผานกงสั่วไม่กล้ากินมัน เขาโยนยาเหล่านั้นลงท่อน้ำทิ้งหลังจากที่ทูตผู้นั้นจากไป”
โอรสเทพแสงฉานขมวดคิ้ว “นี่มันมีความหมายอะไร สืบต่อไปอีก!”
“โอรสเทพ ทูตสันตินิรันดร์ไปเกี้ยวพาราสีหญิงสาว และเขาก็ถูกองค์หญิงสันตินิรันดร์อัดจนน่วม พวกเขาสร้างความโกลาหล ทำให้ผู้คนต่อยตีกันบนท้องถนน!”
โอรสเทพแสงฉานสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาตะโกน “ไปตรวจดูสถานการณ์! จำเอาไว้ว่ามุ่งเน้นไปที่ทูตสันตินิรันดร์คนนั้น และเฝ้าสังเกตการกระทำของเขา!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เทพนั้นก็กลับมารายงานอีกครั้ง “สถานการณ์วุ่นวายสับสน มีผู้ฝึกวิชาเทวะนับร้อยต่อสู้กันบนท้องถนน และทูตสันตินิรันดร์กับองค์หญิงสันตินิรันดร์กำลังเฝ้ามองการต่อยตีจากข้างๆ”
โอรสเทพแสงฉานสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง “จบสิ้นแล้ว เขาได้ทำมันลงไปแล้ว…”
เทพที่กำลังรายงานฉงนฉงาย
โอรสเทพแสงฉานเดินกลับไปกลับมาพลางกล่าว “เขาไปยังโรงเรียนส่วนบุคคลเพื่อเรียนวิชาฝึกปรือพื้นฐานของแสงฉานพวกเรา กระบวนท่ากระบี่ ท่วงท่าพื้นฐานสิบสี่ท่า กระบวนท่ามีด ท่วงท่ามีดพื้นฐานสิบเจ็ดท่า วิชาหมัด วิชาตัวเบา วิชาเนตร และวิชาดรรชนี! ในเวลาเพียงสี่วัน เขาเรียนรู้ทักษะเทวะพื้นฐานจนหมดสิ้น! เมื่อเขาสำเร็จพื้นฐาน อย่างอื่นๆ ก็จะตามมาเอง แต่ทว่า เขายังต้องมาดูว่าทักษะเทวะแห่งแสงฉานพวกเราได้วิวัฒนาการไปขนาดไหน วิธีสังเกตการณ์ที่ดีที่สุดคือสร้างความโกลาหล ด้วยผู้ฝึกวิชาเทวะหลายร้อยคนต่อยตีกันบนท้องถนน ทักษะเทวะทุกประเภทก็จะถูกช่วงใช้ออกมา ขณะที่เขายืนมองอยู่ข้างๆ…”
โอรสเทพแสงฉานหัวเราะ มันเป็นหัวเราะที่โหวงๆ กับใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม
โอรสเทพแสงฉานชะงักและกล่าว “รออีกสองสามวัน แล้วค่อยเรียกตัวเขาตามมาทันทีหลังการต่อสู้ระหว่างผานกงสั่วกับผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายของข้า ข้าอยากจะชมดูฝีมือความสามารถของทูตสันตินิรันดร์ผู้นี้ด้วยตาของข้าเอง!”
หลังจากสี่วัน ผานกงสั่วก็ถูกเชิญเข้าไปในเมืองจักรพรรดิอีกครั้ง โอรสเทพแสงฉานกล่าวกับเขา “สหายน้อยผานกงสั่ว เจ้าช่วยปิดผนึกสมบัติเทวะและต่อสู้กับผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ และขั้นเจ็ดดาวหน่อยจะได้ไหม”
ผานกงสั่วเข้าใจเจตนาของเขาในทันที และเขากล่าวด้วยน้ำเสียงละอาย “โอรสเทพ ข้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องประลองแล้วล่ะ ในขั้นวรยุทธเดียวกัน ต่อให้ศิษย์ทั้งหลายของโอรสเทพเหนือล้ำกว่าข้าไปมาก ท่านก็ไม่อาจเหนือล้ำไปกว่าคนผู้นั้นได้”
โอรสเทพแสงฉานฉงนฉงาย และเขาถามด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อย ทำไมเจ้าพูดถ้อยคำน่าเศร้าเช่นนั้นล่ะ”
ผานกงสั่วส่ายหัว “ศิษย์ของโอรสเทพ ล้วนแต่ดุดันในการต่อสู้ และพวกเขาก็ไม่อ่อนด้อยไปกว่าข้า ด้วยการชี้แนะของโอรสเทพ พวกเขารุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดดในช่วงระยะเวลาสามสิบวันนี้ มีผู้คนมากมายหลายคนที่สามารถเอาชนะข้าได้ แต่เมื่อเทียบกับคนแซ่ฉินผู้นั้น พวกเขาก็ยังด้อยกว่ามาก”
โอรสเทพแสงฉานรับฟังอย่างเงียบๆ ขณะที่ผานกงสั่วกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่ได้ต่อสู้กับเขาเพียงแค่สองสามวันหลังจากที่ข้าเก็บตัวฝึกฝีมือข้าได้ต่อสู้กับเขามาตลอด ในอดีตนั้น ข้ายังคงทัดเทียมกับเขา และหลังจากที่วรยุทธของข้าเหนือกว่าเขา ข้าถึงกับไม่อาจต้านรับเขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว และบัดนี้ แม้ว่าข้าจะสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแสงฉานคนใดๆ ข้าก็ยังไม่กล้าต่อสู้กับเขา หากว่าโอรสเทพต้องการให้ศิษย์ของท่านเอาชนะเขาได้ ต่อให้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน ก็ยังคงจะยากเกินไป”
โอรสเทพแสงฉานมองไปรอบๆ และเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันคนกำลังจ้องไปที่ผานกงสั่ว เห็นได้ชัดว่าคำพูดของผานกงสั่วได้ทิ้งภาพประทับว่าฉินมู่ไร้เทียมทานให้แก่พวกเขา
นี่เป็นเรื่องย่ำแย่
ผานกงสั่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากว่ามีใครในที่นี้ที่สามารถเอาชนะข้าด้วยขั้นวรยุทธที่ต่ำกว่าข้าได้ คนผู้นั้นก็อาจจะมีพลังอำนาจพอที่จะเอาชนะเขา”
โอรสเทพแสงฉานขมวดคิ้ว ผานกงสั่วอ้าปากเพื่อจะอธิบายต่อไป แต่เขาพูดอะไรออกไม่ได้สักอย่าง ในตอนนั้น เขารู้ว่าโอรสเทพแสงฉานได้สกัดกั้นไม่ให้เขาพูดจา และเขาก็คิดในใจ ถึงอย่างไร ข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ข้าต้องพูดไปแล้ว ส่วนว่าพวกเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ ก็ขึ้นกับตัวพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าคิดว่ากำลังจะเตะก้อนหินที่อยู่บนพื้น แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่ากำลังจะเตะเข้าใส่เขาพระสุเมรุ!
เขานั้นเริงรื่นที่จะได้เห็นความโชคร้ายของพวกเขาอันกำลังใกล้เข้ามา เจ้าหมายที่จะได้ความมั่นใจมาจากข้า แต่พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่โง่เขลา พวกเจ้าไม่มีทางคาดคิดได้ว่ากำลังจะเจอกับสัตว์ประหลาดแบบไหน!
โอรสเทพแสงฉานแย้มยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น โปรดเชิญทูตสันตินิรันดร์มา”
“เชิญทูตสันตินิรันดร์มาเข้าเฝ้า–”