เมื่อฉินมู่เปลี่ยนเป็นชุดขุนนางสันตินิรันดร์ เขาก็เดินออกมาจากห้อง สายตาเขาลุกวาบเมื่อเห็นหลิงอวี้จิวก็สวมใส่ชุดทูตด้วยเช่นกัน
การไปพบกับโอรสเทพแสงฉานในคราวนี้ พวกเขาเป็นตัวแทนของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นจึงต้องสวมใส่ชุดสำหรับสภาราชสำนัก
จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีขุนนางหญิงมากมาย และผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงก็ไม่เคยขาด แม้แต่ขุนนางชั้นสูงสุดก็มีจำนวนหนึ่งที่เป็นสตรี เสื้อผ้าของขุนนางหญิงเหล่านี้ก็มีแบบแตกต่างจำเพาะเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนี้ หลิงอวี้จิวได้สวมใส่ชุดขุนนางหญิงแบบหนึ่ง มันเป็นเสื้อยาวสีม่วงกับเข็มขัดหยกที่เอว กระโปรงนั้นก็ราวกับกลีบบัว และเข้ารูปมีแขนเสื้ออันรัดรึง ขับเน้นทรวดทรงองค์เอวของนาง
ที่อกเสื้อนั้นเปิดเป็นช่องรูปหัวใจ เผยให้เห็นเนินถันประดุจดวงจันทร์ครึ่งดวง นางมีเสื้อคลุมบางๆ อีกตัวคลุมไว้ที่ไหล่และมีแถบผ้าแพรอีกจำนวนหนึ่ง แถบผ้าเหล่านี้มีปราณชีวิตเสริมเข้าไป ทำให้มันลอยขึ้นจากเอวจนถึงศีรษะด้านหลังของนาง ดูวิลิศมาหราเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่กวาดสายตามองอีกสองคำรบ มีชุดสตรีหลายชนิดในสภาราชสำนัก แต่ว่ามีไม่กี่ชุดที่สามารถดึงเอาความสง่างามของผู้สวมใส่ออกมาได้ กิริยาท่าทีของสตรีในสันตินิรันดร์นั้นใจกล้า แม้ว่าพวกนางจะไม่บ้าบิ่นเท่ากับหญิงแผ่นดินตะวันตก แต่ก็ยังคงชมชอบเผยส่วนโค้งเว้าของตนในเสื้อผ้า
หลิงอวี้จิวช้อนตามองเขาอย่างเอียงอาย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามองอะไรน่ะ”
ฉินมู่รีบถอนสายตากลับมา แต่เขาก็เหลือบมองดูอีกสองรอบอยู่ดี หลิงอวี้จิวดึงคอเสื้อของนางขึ้นอย่างเหนียม โมโหจากความอาย
ในตอนนั้นเอง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็เดินออกมาและกระแอมไอ ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งตกใจ เขานั้นยังสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิม เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่ใช่ขุนนางแห่งสันตินิรันดร์ ดังนั้นจึงไม่ต้องเปลี่ยน
“ไปกันเถอะ วันนี้คือวันที่พวกเราจะแสดงแสนยานุภาพ”
บรรพชนแรกเริ่มเดินไป และเขากล่าวอย่างชืดชา “พวกเราได้เสียเวลาที่นี่มามากพอแล้ว หนึ่งเดือนที่นี่เท่ากับเจ็ดเดือนในโลกภายนอก การเดินทางครั้งนี้ยาวนานกว่าที่คาดไว้มากนัก”
ฉินมู่ผงกศีรษะและเดินตามเขา “โอรสเทพแสงฉานได้ฝึกฝนผานกงสั่วเป็นอย่างดี ข้าได้ไปเยี่ยมเขา และแม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหนักหนา แต่กำลังฝีมือของเขาก็เพิ่มพูนไปอย่างมาก เจ้าหมอนี่เรียนสิ่งต่างๆ ได้เร็ว และเขาก็สำเร็จวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลจนสมบูรณ์แบบแล้ว เขายังเรียนรู้หลายอย่างจากผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อน อาการบาดเจ็บของเขาหนักหน่วง นั่นก็แปลว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อนก็แข็งแกร่งทัดเทียมกับเขา น้องสาวจิว มีผู้คนไม่น้อยเลยที่ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า และอาจจะมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ”
ฉินมู่ลอบมองหลิงอวี้จิวที่เดินไปข้างหน้าอีกที เขาเห็นหลิงอวี้จิวได้ยกเสื้อชั้นในขึ้นสูง และรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ‘เมื่อกี้นางดึงคอเสื้อขึ้นสูง ตอนนี้ก็ยกเสื้อชั้นในขึ้นสูงอีก…’
ยายเฒ่าซีสอนเขาตั้งแต่ยังเล็กๆ ว่า มีแต่เด็กสาวหน้าอกใหญ่ๆ เท่านั้นที่นับว่าสวยสะคราญเป็นที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูอีกสองสามหน
หน้าอกอันเต็มอิ่มคือมาตรฐานความงามของหมู่บ้านพิการชรา และเป็นมาตรฐานอันมิอาจดูแคลนได้ ครั้งหนึ่งนักปรุงยาบอกกับเขา “มู่เอ๋อ การมองไปที่นมเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นคนวิตถาร แต่คือเจ้ากำลังคิดคำนึงถึงทายาทรุ่นถัดไปต่างหากล่ะ ซึ่งนั่นคือเรื่องจริงจัง!”
ฉินมู่จดจำสิ่งนี้ไว้ใส่ใจเสมอมา
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกโพล่งขึ้นมา “ในโลกลอยเลื่อนนี้มียอดฝีมือมากมายที่เจ้าไม่อาจดูแคลนได้ มู่เอ๋อ เจ้าอย่าประมาทเด็ดขาด”
ฉินมู่เผยยิ้ม “ข้าไม่เคยดูแคลนพวกเขา เมื่อพวกเรายังอยู่บนเรือ ข้าก็ได้เริ่มคิดหาวิธีรับมือพวกเขาแล้ว”
ไม่นานนัก เสียงอันกึกก้องก็ดังมาจากลานจัตุรัส “ทูตสันตินิรันดร์องค์หญิงอวี้จิว อธิการบดีฉินมู่ น้อมคารวะแก่โอรสเทพแสงฉาน! ฝ่าบาทได้ตระเตรียมของขวัญเรียบง่ายให้มอบแด่โอรสเทพ!”
โอรสเทพแสงฉาน และเทพเจ้าสามเศียรหกกรคนอื่นๆ มองตรงมา ฉินมู่และหลิงอวี้จิวเดินไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น และพวกเขาก็พบว่าทูตสองคนนี้ไม่ได้อายุมาก เด็กหนุ่มเหมือนกับต้นไม้หยกในสายลม ขณะที่เด็กสาวนั้นดูองอาจและทรงอำนาจ ผู้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเมื่อมองเห็นพวกเขา
“ไม่คิดเลยว่าคนที่มีหนึ่งหัวกับสองแขนก็ดูดีได้ขนาดนี้” หนึ่งในเทพเจ้าสามเศียรหกกรเอ่ยชมอย่างแผ่วเบา
เทพเจ้าข้างๆ เขารีบบอกเตือน “ชู่ว ระวังหน่อย อย่าให้โอรสเทพได้ยินเข้าล่ะ!”
เทพที่เพิ่งสำเหนียกว่าตนเองพูดอะไรออกไปก็อกสั่นขวัญแขวนโดยพลัน โอรสเทพแสงฉานนั้นเหมือนกับฉินมู่ เขาไม่ได้แปลงเปลี่ยนเป็นร่างสามเศียรหกกร โอรสเทพแสงฉานดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงค่อยโล่งอก
ฉินมู่นำคู่มือกระบี่สำหรับสามท่วงท่ากระบี่พื้นฐานออกมา ขณะที่หลิงอวี้จิวก็นำเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมอบหมายให้นางออกมาด้วย เทพตนหนึ่งก้าวเข้ามารับพวกมันเอาไว้ และโค้งคารวะไปทุกขั้น ตามขั้นบันไดหินยาวเหยียดเพื่อมอบแด่โอรสเทพแสงฉาน
โอรสเทพแสงฉานไม่สนใจสมบัติอันหายากเหล่านี้ เขาเพียงแต่หยิบคู่มือกระบี่ออกมา และพลิกเปิดดู
เขานั้นได้เห็นสามท่วงท่ากระบี่พื้นฐานจากผานกงสั่วแล้ว แต่เขาก็ยังคงพลิกเปิดดูโดยไม่อธิบายอะไร
ท่ามกลางของกำนัลเหล่านี้ มีก็แต่คู่มือกระบี่เท่านั้นที่มีคุณค่าสูงล้ำที่สุด!
“มันเพริศแพร้วพิสดารเสียยิ่งกว่าที่ข้าอนุมานออกมา”
โอรสเทพแสงฉานปิดคู่มือกระบี่ และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิสันตินิรันดร์ช่างมีใจคิดเลือกสรร ทูตทั้งหลาย โปรดนั่ง”
ฉินมู่และหลิงอวี้จิวเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้น เทพสามเศียรหกกรก็ก้าวออกมาจากกลุ่มคนและขวางทางเอาไว้ เขาประสานมือคารวะและโค้งตัว “สันตินิรันดร์ ประเทศเล็กๆ นอกอาณาเขตของพวกข้า หากว่าเจ้าต้องการจะก่อตั้งพันธมิตรกับรัชสมัยเทวะแสงฉาน เจ้าต้องผ่านข้าไปก่อน นามของข้าคือหูคัง ขอทูตโปรดชี้แนะจะได้หรือไม่”
ฉินมู่มองไปข้างหน้า และเห็นว่ามีผู้ฝึกวิชาเทวะสามเศียรหกกรอยู่อย่างน้อยก็สามหมื่นคน เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างไร เมื่อเขาเงยศีรษะขึ้นไปมองดูโอรสเทพแสงฉานที่อยู่เบื้องบนขึ้นไป ก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าว่างเปล่าและไม่กล่าวอะไร
สักครู่หนึ่ง สีหน้าของฉินมู่ก็แช่มชื่นขึ้นมา และเขากล่าว “ข้าไม่กล้าต่อสู้ตรงหน้าโอรสเทพ ไม่ใช่ว่าจะเป็นโทษอันถึงตายหรอกหรือ”
เสียงของโอรสเทพแสงฉานดังมาจากเบื้องบน
“ทูตทั้งหลาย โปรดขึ้นมา เพื่อที่พวกเราจะได้ปรึกษาหารือกันโดยละเอียด”
จิ้งจอกเฒ่า
ฉินมู่เลิกคิ้ว โอรสเทพแสงฉานไม่กล่าวคำพูดว่าจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้ฉินมู่อำมหิตจนเกินไป เขาเพียงแต่เรียกให้ฉินมู่และคนอื่นๆ ขึ้นมา และเขาก็ไม่ได้บอกให้ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายหมื่นคนในลานจัตุรัสถอยออกไปเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า หากฉินมู่และคนอื่นๆ ต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้า พวกเขาก็จะต้องต่อสู้ฝ่าฟันขึ้นไปเอง
“ศิษย์พี่หูได้ต่อสู้กับผู้สูงศักดิ์มาก่อน ใช่หรือไม่”
ฉินมู่เผยรอยยิ้มและกล่าว “กำลังฝีมือของผู้สูงศักดิ์ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง”
“ผู้สูงศักดิ์?” หูคังฉงน
ฉินมู่อธิบาย “นั่นหมายถึงผานกงสั่ว ‘ผู้สูงศักดิ์’ นั้นเป็นคำเรียกหาอย่างรักใคร่สนิทสนมของข้า หลังจากต่อสู้กับเขา เจ้าชนะหรือว่าแพ้ล่ะ”
ไม่ไกลจากพวกเขา ผานกงสั่วยืนอยู่ข้างๆ ชื่อซี เขาแค่นเสียงและพึมพำด้วยเสียงเบา “รักใคร่สนิทสนม? รักใคร่สนิทสนมมารดาเจ้าสิ…”
หูคังกล่าว “ข้าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่นั่นก็เป็นเมื่อสิบวันก่อน เมื่อข้าต่อสู้กับเขาครั้งล่าสุด ข้าต้องใช้หนึ่งร้อยกระบวนท่าเพื่อเอาชนะเขา แต่ในตอนนี้ ข้าสามารถใช้เพียงแค่ยี่สิบถึงสามสิบกระบวนท่า!”
ฉินมู่พยักหน้าน้อยๆ “วรยุทธของผู้สูงศักดิ์นั้นเหนือธรรมดา เจ้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกันที่เอาชนะเขาได้”
หูคังกล่าวอย่างขึงขัง “ข้าอยู่ในขั้นวรยุทธเป็นตาย เจ้าอยู่ในขั้นวรยุทธใด ข้าจะปิดผนึกสมบัติเทวะเพื่อต่อสู้กับเจ้า และจะไม่เอาเปรียบเจ้าแต่อย่างใด!”
“ข้าอยู่ในขั้นเจ็ดดาว แต่ข้าได้ฝึกปรือไปจนถึงระดับที่ข้าเกือบจะทลายฝ่าไปยังขั้นชาวสวรรค์แล้ว”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “โอรสเทพ เจ้าสามารถขอให้ทุกคนปิดผนึกวรยุทธของตนอยู่ในขั้นเจ็ดดาวได้หรือไม่”
โอรสเทพแสงฉานพูดไม่ออก เขาผงกหัว เทพเจ้าที่อยู่ข้างๆ เขากล่าวด้วยเสียงกึกก้อง “ศิษย์ทั้งหมดจงฟัง ปิดผนึกวรยุทธของเจ้า”
เสียงของสมบัติเทวะถูกปิดดังมาจากลานจัตุรัสกว้างหลังจากคำสั่งนี้ ฉินมู่คิดอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็นำเอาใบหลิวทองคำออกจากหว่างคิ้วของตนและเก็บมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกขมวดคิ้วและกล่าว “มู่เอ๋อ ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น…”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าเพียงแต่อยากเสร็จธุระนี่ให้เร็วไว เพราะถึงอย่างไร พวกเราก็เสียเวลาที่นี่มากเกินไปแล้ว น้องสาวจิว ตามข้ามาในภายหลัง”
หลิงอวี้จิวผงกหัวให้แก่เขา
ฉินมู่มองไปที่หูคัง และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หู ข้าอาจจะต้องล่วงเกินท่าน”
เสียงเป๊าะๆ พลันดังมาจากในร่างกายของเขา เมื่อเลือดและเนื้อของเขางอกเงยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานนักก็มีหัวข้างหนึ่งงอกออกมาจากคอของเขาด้านซ้าย และถัดไป ก็มีหัวอีกข้างหนึ่งงอกออกมาจากด้านขวา ผิวหนังและกระดูกงอกเงยออกจากใต้รักแร้ของเขาและมีแขนอีกจำนวนหนึ่งผุดออกมา!
สามเศียรหกกร!
หลิงอวี้จิวกระโดดโหยงด้วยความตกใจ นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าฉินมู่ได้เปลี่ยนชุดขุนนางของเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ คอเสื้อของเขาหลวมกว่าเดิมมาก และตะเข็บผ้าใต้แขนของเขาก็มีช่องสำหรับแขนเพิ่มขึ้นมาอีกสี่ข้าง
จริงสิ เด็กเลี้ยงวัวเป็นช่างตัดเย็บฝีมือดีนี่นา!
นางคิดในใจ เพียงแต่ว่าสามหัวกับหกแขนนั้นมันดูน่ากลัวไปหน่อย…
เมื่อสามเศียรหกกรของฉินมู่ผุดออกมาทั้งหมด ก็สามารถเห็นได้ว่าที่หน้าผากของหัวทั้งสามของเขามีดวงตาขีดตั้ง และดวงตาขีดตั้งนี้เปิดครึ่งปิดครึ่ง
แขนทั้งหกของหูคังถือมีดของเขาเอาไว้ และเขาพุ่งตัวเข้ามาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าก็ได้ฝึกวิชาฝึกปรือของโลกลอยเลื่อนพวกข้าเหมือนกันอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ได้พบคู่ต่อสู้แล้วล่ะ!”
แม้ว่าเขาจะปิดผนึกวรยุทธของตนเอง แต่กำลังฝีมือของเขาก็ยังแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขั้ว เพลงมีดของเขามิใช่เพลงมีดล้วนๆ มันยังมีเวทมนตร์ซ่อนอยู่ข้างในนั้น เห็นได้ชัดว่าผานกงสั่วได้ใช้วิธีการต่อสู้เวทมนตร์บู๊ของหลิงอวี้จิว และโอรสเทพก็เรียนรู้มันก่อนจะสอนให้กับทุกๆ คน!
หลิงอวี้จิวหัวใจเต้นกระดอนเมื่อเห็นเช่นนี้ ในตอนนั้นเอง มือทั้งหกของฉินมู่ก็ประกบเข้าด้วยกันเป็นคู่ๆ และระเบิดออกไปด้วยมืออันซ้อนทับกัน มือหยินหยางพลิกสวรรค์สามคู่รวบรวมเข้าด้วยกัน และหูคังก็กระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงกัมปนาทด้วยความเร็วอันแทบจะคอหัก!
เขานั้นประหลาดใจและโกรธเกรี้ยว ปักมีดทั้งหกของเขาลงไปในพื้น มีดของเขาสร้างรอยประกายไฟเมื่อมีดกรีดครูดไปกับพื้น!
ชิ้ง
ลำแสงสามลำยิงออกมาจากดวงตาของฉินมู่ และเสียบเขาไว้กับพื้น แรงกดดันมหาศาลกดทับลงไปบนร่างของเขา และฟาดเขาเข้าใส่กลุ่มคน ทำให้ทุกๆ คนในลานจัตุรัสเซถอยและล้มลงไป ในเสี้ยววินาทีนั้น สถานการณ์กลายเป็นปั่นป่วน!
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ เขากางขาออกจากกันสามคืบ และย่อตัวลงไป น่องของเขาดูราวจะอัดแน่นไปด้วยพลังงานอันไร้ประมาณให้เขาดีดตัวไปข้างหน้า ในเสี้ยวพริบตานั้น กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของเขาก็ถูกบีบอัดจนถึงขีดจำกัด
จิตวิญญาณต่อสู้อันล้นพ้นพลันระเบิดออกจากร่างของฉินมู่ จิตวิญญาณต่อสู้น่าสะพรึงกลัวนี้ถึงกับหมุนวนและแปรเปลี่ยนเป็นกระแสอากาศที่มองได้ชัดว่ากำลังหมุนวนไปรอบๆ ตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่หลิงอวี้จิว ผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังเขา ก็แทบจะถูกลมพายุยกประโปรงขึ้นไปจนสุด และผมเผ้าของนางก็ถูกเป่าจนเละเทะ!
ตึง!
พื้นดินระเบิดเมื่อหลุมใหญ่พลันปรากฏรอบเท้าของฉินมู่ รอยแยกห้อมล้อมหลุมนี้ และพวกมันดูร้ายกาจน่ากลัว แต่ทว่าไม่มีฉินมู่อยู่ในรอยแยก หลิงอวี้จิวมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และนางก็เห็นแต่จุดแดงๆ ที่อยู่บนนั้น
ตูม!
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมาเมื่อฉินมู่ร่วงตกลงมาท่ามกลางฝูงชนราวกับอุกกาบาต ในจังหวะนั้น ร่างของหูคังที่ถูกซัดกระเด็นไปก็ยังหยุดไม่ได้
ไม่ทันที่เขาจะหัวเราะสิ้นเสียง ไจกระบี่ในมือของเขาก็แยกออกเป็นหก และพวยพุ่งออกไปในทุกทิศทาง พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาและแม่น้ำในเสี้ยววินาที กลบทับผู้ฝึกวิชาเทวะนับไม่ถ้วน
แขนทั้งหกของฉินมู่สั่นสะเทือน และเกล็ดมากมายก็พลิกลงไปบนกระบี่ทั้งหก ประกอบพวกมันให้เป็นมีดยาว
ไม่ว่ามีดยาวนั้นจะมุ่งไปที่ใด ก็ราวกับพยัคฆ์ร้ายที่หลุดเข้าไปในฝูงแกะ!
ฝูงแกะนั้นปั่นป่วนรวนเร และไม่มีเขี้ยวเล็บเลยสักนิด เขาต่อสู้เข้าไปในกลุ่มคน และมีคนแค่หกคนที่สามารถโจมตีเขาได้ในเวลาเดียวกัน เมื่อต่อสู้กับผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นวรยุทธเดียวกันทีละหกคน เขาก็ไร้เทียมทานโดยสัมบูรณ์!
แสงมีดแปรเปลี่ยนเป็นลูกกลมแสงมหึมาในเสี้ยวพริบตา และแสงมีดก็เต้นระบำออกไปในทุกสารทิศ กวาดซัดผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนที่กรูกันเข้ามา แสงมีดหายวับไปหลังจากนั้น และแขนทั้งหกของฉินมู่ก็กางกว้างพลางพุ่งทะยานเข้าใส่กลุ่มคนด้วยฝีเท้าอันลอยล่อง
ไม่ว่าเขาจะวิ่งผ่านไปที่ใด ก็จะมีเสียงระเบิดรัวเป็นชุดและในเสี้ยววินาทีนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะที่กลิ้งกระเด็นหกคะเมนก็ปรากฏไปทั่วฟ้า เสียงตูมดังออกมาอย่างไม่หยุดยั้งและเสียงกระดูกหักก็ดังมาจากท้องฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงร้องโหยหวนอันเจ็บปวด กับเสียงร้องของแพะแกะก็ดังออกมา ไม่เพียงแต่ผู้คนที่ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ ยังมีแกะที่ถูกซัดกระเด็นขึ้นไปด้วย
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยเสียงอันหดหู่ “ทักษะเทวะเสกสรร เขาได้ตรึกตรองทำความเข้าใจทักษะเทวะเสกสรรจากวงแหวนเทวะเสกสรร และหลอมรวมพวกมันเข้ากับทักษะเทวะเสกสรรที่ครูบาสวรรค์สอนให้แก่เขา เขาก็ยังคงไม่ใช้สอยมุทราฟ้าและดินที่ข้าสอนให้เขาอยู่ดี…”
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ดวงตาเขาก็เป็นประกายเมื่อในที่สุดฉินมู่ก็ขับเคลื่อนวิชามุทราของเขา ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะนับไม่ถ้วน ฝีเท้าของฉินมู่ไขว้สลับเมื่อเขาพุ่งวูบวาบไปราวภูตพราย ด้วยวิชามุทราฟ้าและดิน เขากลายเป็นจ้าวแห่งสวรรค์และพิภพ อากาศแทบจะปริระเบิด และยอดฝีมือทั้งหลาย หากไม่ถูกฟาดจมลึกเข้าไปในดินก็ถูกซัดขึ้นไปหลายร้อยคืบบนอากาศ
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกยิ้มอิ่มใจ
ดวงตาทั้งเก้าบนศีรษะทั้งสามของฉินมู่ ยิ่งลำแสงเทวะออกไป เป่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกลอยเลื่อนทั้งหลายจนกระเจิดกระเจิง เสียงของซี่โครงพวกเขาหักดังมาถนัดถนี่
เนตรเทวะของเขาปิดจุดอ่อนที่เขามีกระบวนท่าไม่มากได้เป็นอย่างดี
หลิงอวี้จิวพูดไม่ออก และได้แต่เหม่อลอยเมื่อมองไปยังสนามรบที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยวา นางพึมพำ “เขาบอกข้าให้ตามไปข้างหลังเขาไม่ใช่หรือ แล้วข้าจะตามไปได้อย่างไรเมื่อเขาวิ่งเร็วขนาดนี้”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก้าวออกไปและกล่าวอย่างแช่มช้า “พวกเราค่อยๆ เดินไปทีละก้าวเถอะ”
หลิงอวี้จิวเดินตามเขา และทั้งสองคนก็เดินตรงไปยังราชวังของโอรสเทพแสงฉาน
ปัง!ผู้ฝึกวิชาเทวะสามเศียรหกกรร่วงลงมาข้างๆ หลิงอวี้จิว
หลิงอวี้จิวแน่วแน่มั่นคงและมองไปข้างหน้าแต่เพียงถ่ายเดียว นางพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่วอกแวกมองไปทางอื่น นางได้เสียงร่วงปะทะพื้นดังออกมาราวกับว่าผู้คนมากมายร่วงเป็นห่าฝน และก็มีเสียงแกะร้องเป็นร้อยๆ เมื่อพวกมันตกลงมาด้วย
บริเวณโดยรอบได้โกลาหลไปเรียบร้อยแล้ว และผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ระเนระนาดไปทุกหนทุกแห่ง บ้างก็ร้องครวญครางและกลิ้งเกลือกไปกับพื้น และบ้างก็นอนจ้องมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า และก็ยังมีบางพวกที่กองกันสูงพะเนิน
หลิงอวี้จิวพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำท่าทีปกติและมีสีหน้าอันเรียบเฉย ขณะที่นางเดินไปตลอดทางจนถึงตีนบันได ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา และสลายร่างสามเศียรหกกรของเขา แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ ด้วยสีหน้าอันนอบน้อม เขาก็เดินขึ้นไปบนบันไดพร้อมๆ กับพวกนาง
ขณะที่พวกเขากำลังเดินขึ้นบันไดอยู่นั้น ก็ยังคงมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ร่วงตกลงมารอบๆ พวกเขา และไม่ว่าจะเกิดการร่วงตกลงมาเมื่อไหร่ หลิงอวี้จิวก็หัวใจเต้นตุ้มต่อม พลางคิดในใจ ร่วงลงใส่บันไดหินแบบนี้ คงจะต้องเจ็บมากแน่ๆ
บนขั้นบันได ผานกงสั่วที่อยู่ข้างชื่อซี เห็นฉินมู่เดินผ่านมา และรีบหดคอลงไปเพื่อแสดงความนับถือ
ฉินมู่ผงกหัวให้แก่เขาด้วยรอยยิ้ม ชื่อซีสีหน้าดำคล้ำ
เทพแห่งโลกลอยเลื่อนคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด แต่พวกเขาไม่ปริปากอะไร สายตาทั้งหมดจับจ้องมาที่ร่างของฉินมู่
ฉินมู่ดูไม่สะทกสะท้าน เมื่อหลิงอวี้จิวและกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นสุดท้าย พวกเขาก็มองไปยังโอรสเทพแสงฉานและโค้งคารวะ เสียงของพวกเขาดังก้องไปในจัตุรัส “คณะทูตสันตินิรันดร์ น้อมคารวะโอรสเทพแสงฉาน!”
ปัง!
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนสุดท้ายร่วงลงมาจากท้องฟ้า หล่นลงที่แทบเท้าของฉินมู่ และลงตรงหน้าของโอรสเทพแสงฉานอย่างพอดิบพอดี