ภาคที่ 3 บทที่ 105 เสร็จสมบูรณ์ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 105 เสร็จสมบูรณ์ (1)

คนเรากินอาหารเข้าไม่ยังไม่อาจย่อยเอาสารอาหารทุกอย่างเข้าร่างได้ ผ้าเท่อลั่วเค่อก็เช่นกัน ไม่อาจดูดซับเอาความทรงจำและความรู้ทั้งหมดของอีกฝ่ายมาได้ แต่ก็ดูดมาได้พอสมควร

ความรู้ของม่อนั้นหลากหลายนัก แต่เมื่อดึงเอาส่วนไม่จำเป็นออกไปแล้ว ผ้าเท่อลั่วเค่อก็ต้องขอให้ซูเฉินช่วยจัดระเบียบข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งนั่นก็คือความรู้เรื่องการทดลองของม่อและเรื่องวิชาโบราณอาร์คาน่า

แม้จะยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ก็นับว่าใกล้เคียง ซูเฉินคิดว่าเขาสามารถเสริมช่องว่างเองได้

และภายในความทรงจำของม่อนี่เอง ที่ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าทำไมม่อจึงมาที่นี่

ม่อเคยเป็นเผ่าวิญญาณเร่ร่อนไปเรื่อย ซึ่งก็ไม่แปลก เผ่าวิญญาณส่วนมากก็เดินทางร่อนเร่มาก่อนทั้งสิ้น

นอกจากนั้นแล้ว ม่อก็อยากฟื้นฟูตำหนักอุบัติชีวา

ซึ่งก็ไม่แปลกเช่นกัน ซูเฉินรู้เรื่องนี้ตั้งแต่พบก้อนโลหะแล้ว

ม่อค้นคว้ามาตลอดว่าจะหาอะไรมาแทนมารดาผู้ให้กำเนิดได้บ้าง รวมถึงการใช้เผ่ามนุษย์ ดังนั้นเขาจึงสร้างห้องทดลองขนาดใหญ่ขึ้นมาและทำการทดลองทั้งหลายภายในนั้น

แต่โชคเขาไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อ 3 ปีก่อน จู่ ๆ การทดลองก็ล้มเหลวทำให้ห้องทดลองระเบิด และด้วยห้องทดลองนั้นอยู่ริมหุบเขาที่มีธารน้ำ ไม่เพียงเขาจะบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิด แต่วัตถุดิบล้ำค่าในการทดลองทั้งหลายก็ร่วงหล่นลงน้ำ ถูกกระแสน้ำพาหายไปจนสิ้น

การทดลองเหล่านี้ เขาต้องใช้เวลาเกือบพันปีเพื่อสร้างมันขึ้นมา เขาไม่มีทางปล่อยมันไปง่าย ๆ แน่ ดังนั้นเขาจึงออกตามหาพวกมันมาโดยตลอด

ก้อนโลหะและแก้วเคลือบม่วงต่างเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากเหตุระเบิดห้องทดลองในครั้งนั้น เว่ยเหลียนเฉิงและคนอื่น ๆ จึงถูกดึงเข้ามาหาม่อด้วย

เรื่องที่ซูเฉินสนใจเป็นพิเศษคือต้นเหตุแห่งแรงระเบิดนั้นคือผลึกแห่งความมืด

ผลึกแห่งความมืดเป็นสมบัติที่ม่อบังเอิญได้มาเมื่อครั้งยังใช้ชีวิตเร่ร่อน เขาพบว่ามันมีความสามารถพิเศษในการรวมพลัง แต่มันสามารถรวมได้เพียงพลังงานมืดเท่านั้น เขาจึงลองใช้มันทดลองสักหลายครั้ง สุดท้ายพลังงานมืดเกิดระเบิดขึ้นมา กวาดหุบผาแห่งนั้นจนราบ เผ่าวิญญาณมีความสามารถในการหลบเข้าพลังงานสูญติดตัวมา ดังนั้นจึงรอดจากแรงระเบิดมาได้

ม่อตามหาผลึกแห่งความมืดมาตลอด แต่กลับไม่รู้ว่าจะใช้มันได้อย่างไร

น่าเสียดายที่ความทรงจำเรื่องการทดลองของม่อส่วนมากขาดหายไป แต่ถึงไม่ขาดหายก็คงมีอยู่ไม่มาก การที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งจะจดจำเรื่องต่าง ๆ นั้นมีข้อจำกัด หากสามารถจดจำทุกสิ่งอย่างได้แล้ว ม่อก็คงไม่จำเป็นต้องเสาะหาบันทึกการทดลองหรือเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ที่เขาเสียไป

แต่กับเรื่องวิชาเขามีความทรงจำเหลืออยู่มากทีเดียว

ซูเฉินสนใจเรื่องโลกมายามากที่สุด

ในระหว่างการต่อสู้ ซูเฉินได้เห็นม่อใช้วิชามายามาแล้ว

เขาใช้วิชามายาเล่นหัวคนด่านสู่พิสดารได้ วิธีการใช้วิชามายาเช่นนั้นทำให้ซูเฉินเกิดแรงบันดาลเป็นอย่างมาก

“ดูท่าเจ้าคงจะหาเวลามาพัฒนาวิชาสรรพสิ่งลวงตาสินะ” ผ้าเท่อลั่วเค่อรู้หนทางที่ซูเฉินคิดจะก้าวเดินอย่างดี

“มีเรื่องใหม่ ๆ ให้ทำการค้นคว้าทดลองอยู่เสมอ แต่ข้ากลับมีเวลาไม่พออยู่ตลอด” ซูเฉินถอนใจ

“หากเจ้าตีกับพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงน้อยลงอีกสักหน่อยเจ้ามีเวลาแน่” ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า

น่าแปลกที่ซูเฉินพยักหน้าเห็นด้วย “ตอนนี้แผลก็เปิดแล้ว หากสู้ต่อไปก็อาจล้ำเส้น ก่อนข้าจะแกร่งถึงขั้น เราสงบเสงี่ยมสักหน่อยท่าจะดี”

แน่นอนว่าหลังจากวุ่นวายมา 1 ปีเต็ม เมืองธารน้ำใสก็ต่างจากกาลก่อนนัก

กรมพลังต้นกำเนิดนั้นอยู่ในเงื้อมือซูเฉินไปแล้ว เช่นเดียวกับหมู่บ้านในป่าแม่น้ำตะวันตกก็เป็นเขาที่เอามาได้ เส้นทางน้ำก็ไม่ใช่ของตระกูลสายเลือดชั้นสูงอีกต่อไป อีกทั้งชายหนุ่มยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องกิจการร้านค้าอยู่บ้าง กระทั่งกรมวินิจฉัยคดียังถูกลงมือ หากอันซื่อหยวนไม่โง่ ตอนนี้ก็คงเริ่มยื่นมือเข้าแทรกเรื่องภายในกรมวินิจฉัยคดีเพื่อแบ่งอิทธิพลของเฉินเหวินฮุยแล้ว

อำนาจผูกขาดที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเคยมีตอนนี้กลับหายไป

แต่เพราะแบบนี้ ซูเฉินจึงรู้สึกว่าถึงเวลาที่เขาควรหยุดมือ

เมื่อในกรมวินิจฉัยคดีขาดคนไปมากมายเช่นนี้ เดิมทีซูเฉินคิดจะยื่นมือเข้าพัวพัน แต่เมื่อคิดให้ดีเขาก็เก็บความคิดไป

ให้อันซื่อหยวนสู้รบตบมือกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงไปเถอะ

หลังจากเป็นตัวเด่นมากว่า 1 ปี เขาก็เกือบจะเด่นออกนอกหน้าจนเกินไปแล้ว ทำให้กระทั่งคนฝั่งเดียวกันยังเริ่มจะหน่าย และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าไม่นานจะได้กลายเป็นหมากของใครไปแน่

คนที่รับหน้าที่เป็นผู้นำคนมุ่งเดินทางไปนั้นหาไม่ยาก แต่คนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรถอยกลับนั้นหาได้ยาก

เที่ยงวันนั้นเอง ซูเฉินกลับไปยังคฤหาสน์ซูและเริ่มทำการวิเคราะห์การวิจัยของม่อ บอกปัดคำเชิญของอันซื่อหยวนเป็นเชิงว่าเขาไม่คิดอยากได้ตำแหน่งอำนาจอันใด

หลังจากนั้นไม่นาน ซูเฉินก็ได้รับข้อความว่าในระหว่างงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง อันซื่อหยวนได้นำคนของเขาไปไว้ในกรมวินิจฉัยคดีจำนวนมาก แทบจะบีบให้เฉินเหวินฮุยหนีไปเลยทีเดียว

ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในที่สุด เฉินเหวินฮุยคุมพื้นที่เขตเดิมของตนเองไป ทว่ากรมวินิจฉัยคดีไม่ได้เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป

พวกอันธพาลในเมืองธารน้ำใสเองก็ถูกจับตาดูเข้มงวด อันซื่อหยวนและหลู่ชิงกวงใช้อิทธิพลที่มีกวาดล้างอิทธิพลของพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูง ถือเป็นการตบหน้าอีกฝ่ายไปพร้อมกัน

แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับซูเฉินอีกต่อไป เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทดลองอย่างสงบสุข ทำการทดลองและวิเคราะห์ทักษะต้นกำเนิดของเขาไป

หลังจากม่อตายไป ธุระของจีหานเยี่ยนก็จบลงเช่นกัน หลังผ่านไป 2 วันนางก็บอกลา

ซูเฉินคิดว่าเจียงซีสุ่ยก็จะจากไปเช่นกัน

น่าแปลกที่เจียงซีสุ่ยเข้าใจในที่สุด รู้ว่าตามติดจีหานเยี่ยนไปไม่มีอะไรดี ดังนั้นจึงรั้งอยู่ต่อเพื่อคุมพวกโจรสลัดและสร้างชื่อให้ตนเอง อย่างไรเขาก็มีสายเลือดราชวงศ์ มีท่วงท่าสูงส่ง เหมาะแก่การเป็นผู้นำนัก พวกโจรสลัดจึงให้ความเคารพเขามาก กระทั่งซูเฉินไปสั่งการเองก็อาจไม่ได้รับความเชื่อใจเท่าเจียงซีสุ่ยด้วยซ้ำ

แต่ซูเฉินไม่สนใจ เขาไม่ได้มั่นหมายตรงจุดนั้นอยู่แล้ว หากเจียงซีสุ่ยอยากเป็นหัวหอกของกองกำลังสามสายธารก็นับว่าดีต่อซูเฉินเช่นกัน

ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้ลงมือนำทำอะไรอีก ซูเฉินก็ราวกับเป็นอิสระ มีเวลาในมือมากขึ้น ดังนั้นจึงใช้ชีวิตสบายใจขึ้นมาก

และเมื่อไม่ต้องต่อสู้หรือวางแผนอะไรอีกต่อไป การทดลองของเขาก็ราบรื่นยิ่งขึ้นด้วย

โทเทมโลหิตสลายพัฒนาไปได้ดีมาก การทดลองสายเลือดเองก็น่าพึงพอใจ เขาสามารถใช้สสารต้นกำเนิดที่มาจากกองหินได้หลากชนิดขึ้น อีกทั้งยังใช้โลกมายาของม่อในการพัฒนาวิชาสรรพสิ่งลวงตาขึ้นไปได้ระดับหนึ่ง

ในระยะนี้ พละกำลังของซูเฉินจึงเริ่มพุ่งสูงขึ้นมาก

ตอนนี้เขาได้มีความลับที่คนอื่นไม่รู้เพิ่มขึ้นอีกมากแล้ว

ซูเฉินไม่ใส่ใจสิ่งใด จมอยู่ในโลกของตนเองอย่างสิ้นเชิง

ช่วงกลางวันเขาทำการทดลอง พอกลางคืนก็เข้าไปแดนฝัน

ส่วนมากเขาจะเข้าไปฝึกวิชาอาร์คาน่า ตอนนี้เขามีละอองฝันอยู่มากมาย เขาจึงสามารถบ่มเพาะพลังในแดนฝันได้ดั่งใจอยาก ส่งผลให้ความเชี่ยวชาญด้านวิชาโบราณอาร์คาน่าพุ่งสูงขึ้น

เวลาที่เหลือของเขาหมดไปกับการเดินดูร้านต่าง ๆ ในแดนฝัน ตามหาข่าวและข้อมูลในอำเภอพื้นที่ต่าง ๆ

และแน่นอนว่ายังมีเวลาที่ใช้พูดคุยถกเถียงถึงวิถีทางในการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดอีกด้วย

วันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง ซูเฉินกำลังเดินเตร่อยู่ในแดนฝัน หาข้อมูลชิ้นใหม่เผื่อจะมีแรงบันดาลอะไรขึ้นได้ พลันมีข้อความจากฉือไคฮวงเด้งขึ้นในจิตใจ “มาหาข้าหน่อย”

ซูเฉินรีบมุ่งหน้าไปยังสุดถนนทันที ที่ตรงนั้นมีประตูเล็ก ๆ ตั้งอยู่

เขาผลักประตูเปิด พบว่าตนเองอยู่ในห้องเล็กห้องหนึ่ง ฉือไคฮวงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น กำลังรินชาอยู่

“ทุกครั้งที่เห็นห้องเล็ก ๆ ของท่านข้าก็ปวดใจเหลือเกิน ท่านควรจะฟังศิษย์สักครั้งนะท่านอาจารย์” ซูเฉินว่าพลางนั่งลงตรงหน้าฉือไคฮวง หยิบถ้วยชาขึ้นมาถ้วยหนึ่งแล้วรินชาให้ตนเอง แม้จะเป็นชาที่สร้างจากพลังต้นกำเนิดภายในแดนฝัน แต่รสชาติและสัมผัสก็เหมือนจริงไม่น้อย

“ห้องเล็กเก่า ๆ ห้องนี้มันผิดอะไรเล่า ? ข้าอดทนเพื่อฝึกตนต่างหาก หากอดทนไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรสำเร็จได้ ?” ฉือไคฮวงส่งเสียงฮึ่ม

ฉือไคฮวงหมั่นเพียรฝึกฝนบ่มเพาะพลัง มองเมินเงินตราและวัตถุ พวกเขาขายตำราเปิดพลังไคฮวงได้เงินมาบ้าง แต่เขากลับมองเงินทั้งหมดให้ลูกศิษย์ ไม่เก็บไว้สักนิดเดียว ดังนั้นฐานะในแดนฝันของเขาจึงต่ำต้อยกว่าซูเฉิน เรือนของเขาก็เป็นเรือนที่ต่ำต้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ซูเฉินเคยอยากช่วยเขายกระดับสิทธิ์ ทว่าฉือไคฮวงไม่ต้องการ เขาเอาแต่บอกว่าแก่ตัวไปไม่รู้เดินไปเดินมา ขาจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปวันไหน อีกทั้งการระดับสิทธิ์ก็เท่ากับเอาเงินจ่ายคืนให้เจ้าแห่งแดนฝัน

ซูเฉินอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์ มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะทำเรื่องสำเร็จได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสามารถอดกลั้นฝืนทนได้มากเท่าไหร่เช่นเดิมอีก ด้วยอย่างไรเราก็อยู่ในแดนฝัน ดังนั้นลำบากในโลกจริงก็พอแล้วกระมัง ? ทำไมต้องมาลำบากในแดนฝันด้วย ?”

น่าเสียดาย ซูเฉินที่สามารถเกลี้ยกล่อมได้กระทั่งศัตรูกลับไม่อาจเกลี้ยกล่อมชายชราหัวแข็งผู้นี้ได้

ฉือไคฮวงหัวเราะหึ “อย่ามาเอ่ยวาจาไร้สาระต่อหน้าข้า ความเสื่อมสลายเริ่มมาจากใจ หากข้าใช้ชีวิตหรูหราในแดนฝัน สุดท้ายก็จะต้องใช้ชีวิตหรูหราในโลกจริงไปด้วย หากฝันข้ายังไม่เป็นจริง ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าลากข้าลงน้ำไปด้วยกันหรอก”

“ก็ได้ หากข้าพูดอีกก็จะกลายเป็นคนสองหน้าที่คิดร้ายต่อท่านไป” ซูเฉินยอมแพ้ “หากต้องการท่านก็อยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ ข้าไม่พูดแล้ว ใช่แล้ว แล้วท่านเรียกข้ามาทำไมหรือ ? หรือว่าการพัฒนาการทะลวงด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดมีความสำเร็จใดให้กล่าวถึง ?”

“อ้อ ใช่สิ มันเสร็จสมบูรณ์แล้วล่ะนะ” ฉือไคฮวงตอบ