บทที่ 106 เสร็จสมบูรณ์ (2)
วิธีทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ได้ยินดังนั้นแล้วก็ราวกับมีฟ้าผ่าที่กลางใจซูเฉิน
แม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าวดีก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ปมที่ขัดขวางมนุษย์มานาน วันนี้ได้ถูกคลายออกแล้วงั้นหรือ ?
ซูเฉินรู้สึกราวกับน้ำตารื้นขอบเมื่อได้เห็นผลจากหยาดเหงื่อแรงกายตลอด 8 ปีที่ฝืนทนจนผ่านมา
และเขาเองก็สัมผัสได้ว่าภายใต้สีหน้าสงบนิ่งของฉือไคฮวงก็มีความตื่นเต้นที่กดไว้แทบไม่ไหวเช่นกัน !
พวกเขาสร้างวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดขึ้นมาได้แล้ว !
ครั้งนี้แตกต่างจากการสร้างวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตไร้สายเลือดอย่างสิ้นเชิง
นั่นเพราะก่อนหน้าที่จะมีตำราเปิดพลังไคฮวง เผ่ามนุษย์เคยมีวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดมาก่อน แต่โอกาสสำเร็จต่ำนัก และหากพลาดก็ไม่อาจทำซ้ำได้อีก
ดังนั้นตำราเปิดพลังไคฮวงจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใหม่แต่อย่างไร แต่เหมือนเป็นส่วนเสริมเสียมากกว่า มันปรับเปลี่ยนวิธีที่ยังมีจุดบกพร่อง ทำให้วิธีนั้นสมบูรณ์มากกว่าเดิม
แต่วิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดนั้นไม่เคยมีใครทำมาก่อน นับเป็นการสร้างสรรค์ใหม่โดยแท้
ซึ่งความหมายของมันแตกต่างกันมาก
หากไม่มีวิชานี้แล้ว คนไร้สายเลือดก็จะทะลวงได้มากสุดมาถึงแค่ด่านกลั่นโลหิต และหากใช้ยาวิญญาณเลือดก็จะทะลวงไปสู่ด่านสู่พิสดารได้มากที่สุดเท่านั้น
ฉือไคฮวงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นคนด่านสู่พิสดารสายเลือดผสม ดังนั้นจึงถูกจำกัดอยู่ที่เดิม ไม่อาจทะลวงขึ้นไปได้อีก
แต่หากสามารถทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด จากนั้นใช้ยาวิญญาณเลือดแล้ว แม้จะมีสายเลือดผสม แต่ก็จะสามารถทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้
ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้เผ่ามนุษย์แกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้มันสำคัญมาก มากเสียกว่าการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดเสียอีก !!!
เขาได้ยินข่าวแล้วก็ชะงักไป “สำเร็จแล้ว ? สำเร็จแล้วจริง ๆ หรือ ?”
“ถูกต้อง โอกาสทะลวงสำเร็จมี 30 ใน 100 ส่วน แต่หากล้มเหลวก็ลองอีกครั้งได้ ทุกครั้งที่ลองพยายามทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณจะต้องใช้ยาสามหยางเป็นตัวเสริม ซึ่งข้าก็คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ”
สาเหตุที่วิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดสามารถออกมาเสร็จสมบูรณ์ ต้องยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้ยาสามหยางที่ซูเฉินสร้างขึ้นมาเพื่อใช้แทนยาวิญญาณเลือด
ดังนั้น จะบอกว่าการค้นคว้าหาวิธีนี้ได้สำเร็จก็มาจากการที่พัฒนาตัวยาขึ้นมาสำเร็จเช่นกัน
หากแต่ซูเฉินไม่ใช่คนมากพิธี เขารู้ดีว่าหนทางที่ถูกต้องคือ ประการแรกต้องสรรหาทางแก้สำหรับปัญหาที่ไม่เคยมีทางแก้มาก่อน จากนั้นค่อย ๆ พัฒนามันไปทีละขั้น ๆ
การมีอยู่ของยาสามหยางทำให้พวกเขาสามารถใช้วิชานี้เป็นแหล่งทำเงินได้
เมื่อมีทรัพยากรมากขึ้นก็จะสามารถสรรหาเครื่องไม้เครื่องมือและวัตถุดิบต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งมันก็จะตามมาด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้เยอะขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ใช่แล้ว ถึงตอนนี้ได้เวลาร่ำรวยเงินตราแล้ว มีเงินแล้วเราก็การทดลองได้มากขึ้น”
“ถูกต้อง !” ฉือไคฮวงพยักหน้า ไม่ขัดหลักการซูเฉิน “ข้าลองดูการทดลองใหม่ ๆ ของเจ้าช่วงนี้มาแล้ว ทำได้ดีและน่าสนใจยิ่ง การพัฒนายาต้นกำเนิดสายเลือดของเจ้าน่าประทับใจมาก ยาสองตัวนี้มีบางมุมที่คล้ายกับยาวิญญาณเลือด แต่พวกมันยังสามารถพัฒนาต่อและหาตัวทดแทนได้ ดังนั้นจึงเหนือกว่ามาก”
“น่าเสียดายที่ยาเหล่านี้ใช้ได้กับเฉพาะคนไร้สายเลือด อาจารย์จึงไม่อาจใช้ได้” ซูเฉินถอนใจ “แต่ข้าจะพัฒนาต่อยอดมันอีก”
หากแต่ฉือไคฮวงกลับเอ่ยขึ้นตามตรง “ไม่ ซูเฉิน เจ้าจะพัฒนาตัวยานี้ด้านใดก็ได้ ยกเว้นพัฒนาให้มันใช้กับพวกมีสายเลือดได้”
ซูเฉินสับสน “ทำไมล่ะอาจารย์ ?”
“ก็เพราะมีแต่วิธีนี้ที่จะยกระดับฐานะของคนไร้สายเลือดได้อย่างไรเล่า ! เจ้ารู้ดีว่าแม้จะมีวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณแล้ว คนไร้สายเลือดก็ได้รับเพียงโอกาสที่ทำให้แกร่งขึ้น แต่ก็ยังด้อยกว่าพวกคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงนัก”
“ยาต้นกำเนิดสายเลือดจะเป็นตัวช่วยที่ดียิ่ง หากเจ้าคิดอยากเปลี่ยนฐานะของคนไร้สายเลือด เจ้าไม่อาจเพิ่มเพียงพื้นฐานการบ่มเพาะพลังโดยไม่เสริมความแกร่งให้กำลังในการต่อสู้ให้พวกเขาได้ อาจารย์ทำส่วนแรกสำเร็จแล้ว ส่วนหลังนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะทำหรือไม่”
“และเมื่อสองสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง คนไร้สายเลือดจึงจะมีหวังในการผงาดขึ้นครองอำนาจบ้าง ไม่แน่ว่าในอนาคต เมื่อปล่อยยาต้นกำเนิดสายเลือดออกไปแล้ว อาจเป็นพวกไร้สายเลือดที่ขึ้นครองเผ่ามนุษย์ก็เป็นไปได้ และถึงตอนนั้น คนไร้สายเลือดก็จะเป็นพวกเลือดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ส่วนพวกที่มีสายเลือดอาจนับเป็นเพียงเลือดผสม หากเจ้าถามข้า นี่ล่ะที่เรียกกว่ากลับสู่ต้นกำเนิดของเรา เป็นโอกาสที่เผ่ามนุษย์จะเอาฐานะที่ควรมีตั้งแต่ต้นกลับคืนมา !”
“คนไร้สายเลือดจะเป็นพวกเลือดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ส่วนพวกที่มีสายเลือดอาจนับเป็นเพียงเลือดผสม ?” ซูเฉินตะลึงงันไป
เดิมทีเขาเพียงหวังจะทำให้คนไร้สายเลือดสามารถทำสิ่งที่คนมีสายเลือดทำได้บ้างก็เท่านั้น แต่เขาไม่เคยคิดช่วยให้คนไร้สายเลือดอยู่เหนือกว่าพวกที่มีสายเลือดมาก่อน และตอนนี้ฉือไคฮวงก็ได้ชี้แนะจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมให้เขามาแล้ว
ซูเฉินตกตะลึง
ฉือไคฮวงพยักหน้าตามตรง “ถูกต้อง การมีอยู่ของยาต้นกำเนิดสายเลือดทำให้ข้ามองอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำได้ ไม่แน่ว่าเผ่ามนุษย์อาจจะตั้งราชวงศ์เลือดขึ้นมาเองเพราะเจ้าก็ได้ !”
ในวันนั้น ฉือไคฮวงและซูเฉินพูดคุยกันหลากหลายเรื่องด้วยกัน
ฉือไคฮวงวาดฝันเกี่ยวกับเรื่องอนาคตไว้มากมาย ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเห็นวันที่คนไร้สายเลือดขึ้นมามีอำนาจบ้างได้แล้ว
ทุกคนจะสามารถใช้ความพยายามของตนเองหมั่นฝึกตนให้แกร่งขึ้นได้ สายเลือดจะไม่ใช่ตัวตัดสินฐานะอีกต่อไป เส้นแบ่งที่ใช้คือพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง และจะใช้ตัดสินอะไรมากไม่ได้ด้วยซ้ำไป
และเมื่อพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงหายไปจนสิ้น เหล่าคนไร้สายเลือดผงาดขึ้นมีอำนาจ เผ่ามนุษย์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและสามารถเอาชนะเผ่าอื่น ๆ กระทั่งท้าทายเทพอสูรบรรพกาล กลายเป็นผู้ครองทวีปอันกว้างใหญ่ผืนนี้
ทั้งสองหัวเราะเสียงดังพลางวาดฝันถึงอนาคต ไม่จากไปจนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง
ก่อนจากไป ฉือไคฮวงได้มอบ ตำราเปิดพลังไคฮวงขั้นที่สองซึ่งเป็นวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณไว้ให้ซูเฉิน
เหมือนเช่นเมื่อครั้งก่อน ฉือไคฮวงให้ซูเฉินเป็นคนตัดสินใจดำเนินการขั้นต่อไป
หลังจากถือมันคร่ำครวญอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ซูเฉินก็จากแดนฝันมา
เมื่อกลับมายังโลกจริง ชายหนุ่มก็ส่งข้อความออกไป จากนั้นกลับไปยังห้องนอนและนั่งรอด้วยความอดทน
จากนั้นไม่นาน เสียงแกร๊กเบา ๆ ที่หน้าต่างก็ดังขึ้น
ควันดำพลันพุ่งเข้ามาในห้อง ฉับพลันกลายเป็นหญิงสาวเนื้อเนียนในชุดดำ หากไม่ใช่เยี่ยเม่ยแล้วจะเป็นใครไปได้ ?
หลังจากประสบพบเจอกับ ‘การสืบสวน’ และ ‘การโต้การสืบสวน’ มามากแล้ว เยี่ยเม่ยก็ไม่คิดหลอกซูเฉินให้ตกใจอีก กลับเอ่ยขึ้นว่า “วิชาแปลงควันของข้าเป็นอย่างไร ? ไม่เลวเลยใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ไม่แม้แต่จะลืมตามอง “อืม ไม่เลวเลย”
“อะไรกันนั่น ? ชมข้าสักครั้งมันจะตายไหม ?” เยี่ยเม่ยหน้าบึ้งพุ่งเข้ามาหยิกซูเฉิน
ซูเฉินเบียงศีรษะหลบ “หยุดเอะอะเถอะ ข้าหาเจ้าเพราะมีธุระ”
“ก็ใช่ หากไม่มีธุระแล้วจะเรียกข้ามาทำไมกันเล่า ? วันนี้ยังไม่ใช่วันส่งยาเสียหน่อย ว่าแต่มีอะไรหรือ ?”
นางฉลาดขึ้น ! ซูเฉินเอ่ยกับตนเองในใจ แต่เอ่ยปากออกมาว่า “ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่อยากยืมเงินจากอารามนิรันดร์สักหน่อย”
“ยืมเงิน ?” เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างฉงน “ช่วงนี้ขาดเงินหรือ ?”
“อืม !”
“จะยืมเท่าไหร่ ? ข้าให้เจ้ายืมก็ได้” เยี่ยเม่ยว่า
แม้สาวน้อยจะบื้อไปสักหน่อย แต่นางก็ซื่อสัตย์นัก
“เจ้ามีให้ยืมเท่าไหร่ ?” ซูเฉินถาม “ข้าอาจต้องใช้เงินมากกว่าที่เจ้ามีก็เป็นได้”
เยี่ยเม่ยโบกมือท่าทางโอ้อวด “ข้าเก็บเงินไว้พอสมควร หากน้อยกว่าหินพลังต้นกำเนิดแสนก้อนข้ารับไหวหมด”
ในฐานะนักฆ่า หาหินพลังต้นกำเนิดมาได้จำนวนเท่านี้นับว่าน่าประทับใจพอตัว
เจ้าพวกนี้หาเงินได้มากขนาดนี้เลยเชียว ?
น่าเสียดายที่ซูเฉินยังไม่คลายสีหน้า กลับเอ่ยเสียงเข้มขึ้นอีก “เท่านั้น…… อาจไม่พอ”
“ไม่พอ ?” เยี่ยเม่ยคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “หากขาดไม่เยอะ ข้าไปขอยืมจากคนอื่น ๆ มาให้เจ้าก็ได้”
เช่นนี้นับว่านางใจกว้างนัก
ซูเฉินมองเยี่ยเม่ยด้วยความซาบซึ้ง “เจ้าไม่ต้องกังวล จำนวนที่ข้าต้องการไม่ใช่จำนวนที่เจ้าจะไปขอหยิบยืมมาจากใครได้ง่าย ๆ หรอก”
เยี่ยเม่ยสงสัยนัก “แล้วเจ้าต้องการเท่าไหร่ ?”
ซูเฉินชูนิ้ว
เยี่ยเม่ยตกใจ “5 ล้าน ? มากขนาดนั้นเชียว ?”
ทว่าชายหนุ่มกลับส่ายหน้า
เยี่ยเม่ยอ้าปากค้าง “50 ล้าน ? คงไม่ได้จะขอยืม 50 ล้านหรอกนะ ?”
ซูเฉินถอนใจ “ไม่ใช่อยู่แล้ว”
เยี่ยเม่ยถอนใจโล่งอก
“เป็นหินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนต่างหาก”