บทที่ 107 ของล่อใจ
พรู่ด !
เยี่ยเม่ยพ่นชาพรวด แต่ซูเฉินเตรียมตัวมาแล้ว เบื้องหน้าปรากฏเกราะผลึกแก้วขึ้น เขาเรียนวิชานี้มาจากผ้าเท่อลั่วเค่อ
เมื่อพบกับ ‘ศรวารี’ ของเยี่ยเม่ย ซูเฉินก็เอ่ยเสียงจนใจ “เจ้าไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้น”
“หินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อน !!” เยี่ยเม่ยร้องโหยหวน “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? อารามนิรันดร์จะให้เงินเจ้ามากเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?”
อารามนิรันดร์มีหินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนหรือไม่ ?
คำตอบคือมี !
ย่อมต้องมีอยู่แล้ว !
กลุ่มที่มีอิทธิพลเช่นนี้ 500 ล้านไม่ใช่จำนวนที่เอื้อมไม่ถึง
แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตแล้ว เงินมากขนาดนี้ทำให้พวกเขาตะลึงลานไปได้เลยทีเดียว
หากซูเฉินมีเงินมากเช่นนั้น ไม่สิ ได้สักหนึ่งในห้าละก็ เหล่าผู้เชี่ยวชาญกว่าครึ่งของอารามนิรันดร์ก็พร้อมยอมขายชีวิตให้เขาไปแล้ว ชนิดที่ว่าต่อให้สั่งไปรับมือกับสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ได้บ่ายเบี่ยง !
ใช่แล้ว สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงในสายตาอารามนิรันดร์มีค่าไม่ถึงหินพลังต้นกำเนิด 50 ล้านก้อนเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้ซูเฉินกำลังเอ่ยปากขอหินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนจากอารามนิรันดร์
เขาเสียสติไปแล้ว !
แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ดูเหมือนคนเสียสติแต่อย่างใด
เอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ข้าจะคืนเป็นจำนวน 800 ล้าน”
ฟุ่บ
เยี่ยเม่ยทรุดลงกับพื้น
นางจ้องซูเฉินแล้วเหม่อไป คล้ายกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ผ่านไปหลายอึดใจจึงเอ่ยขึ้น “เจ้า…… เจ้าพูดจริงหรือ ?”
“ใช่ ข้าพูดจริง”
“จริงหรือไม่ก็ช่างเถอะ” เยี่ยเม่ยดึงสติกลับมาได้ “ถึงเจ้าบอกจะคืนมาหมื่นล้านก้อนก็ไม่มีประโยชน์ อารามนิรันดร์ไม่ยอมมอบเงินจำนวนมากเช่นนั้นให้เจ้าหรอก”
แค่บอกว่าจะคืนเงินก็ยังเชื่อใจไม่ได้หรอก
การหลอกลวงหลาย ๆ ครั้งก็เกิดมาจากการที่บอกว่าจะคืนเงินมากกว่าต้นทุนที่ยืมไปนี่ล่ะ
คนในอารามนิรันดร์ไม่ใช่เด็กอมมือ ไม่มีทางมอบหินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนให้เขาเป็นแน่ แม้เขาจะร่ำรวยเงินทองมากก็ตามแต่
“เช่นนั้นหากข้าเอาวัตถุดิบที่ข้ามีทิ้งไว้กับอารามแลกกับหิน 500 ล้านก้อนเล่า ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบ
“อะไรนะ ?” เยี่ยเม่ยชะชักงันไป
ซูเฉินคิดใช้หินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนนี่ไปทำอะไรเป็นแน่ แต่ฟังจากที่เขาว่ามา มันน่าจะเป็นสิ่งที่เก็บไว้ในอารามนิรันดร์ได้
สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากเดิมมากนัก
เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงฉงน “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
ซูเฉินไม่ตอบ เพียงเอยขึ้นช้า ๆ “กลับไปบอกหัวหน้าเจ้าว่าข้ามีการค้าครั้งใหญ่อยากปรึกษากับเขา ในเมื่อตอนนี้หัวหน้าเจ้าดูฉลาดขึ้นกว่าเก่า เขาคงไม่ปล่อยให้โอกาสให้หลุดมือไป”
————
2 วันต่อมา
เยี่ยเม่ยพาหัวหน้าคนใหม่มาด้วย
หัวหน้าคนนี้เป็นชายวัยกลางคนดูสุภาพสง่างามไม่น้อย ทว่าซูเฉินกลับสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แผ่ออกจากร่างได้นับตั้งแต่ตอนที่พบกัน
คนผู้นี้แกร่งกว่าหม่าเหรินเจ๋อเสียอีก
หากแต่เขากลับไร้ความเย่อหยิ่ง เมื่อพบซูเฉินแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “ได้ยินเรื่องคุณชายซูมานาน ไม่คิดว่าจะได้พบกัน คุณชายช่างสง่างามราวกับมังกรเสียจริง อ้อ นามของข้าคือฉือหมิงเฟิง”
“อ้อ คือปรมาจารย์หยาดพิรุณแห่งซีหยวนนี่เอง ! ซูเฉินทักทายปรมาจารย์” ซูเฉินรีบแบมือปะทะกำปั้นแล้วโค้งคำนับทักทายทันที
ฉือหมิงเฟิงเป็นชื่อที่คุ้นหูไม่น้อย ปรมาจารย์หยาดพิรุณแห่งซีหยวนคือชื่อฐานะเขา เป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชาประเภทน้ำมาก ไปต่อสู้ที่ใดที่นั่นจะกลายเป็นบึงน้ำย่อม ๆ ดังนั้นจึงได้ชื่อปรมาจารย์หยาดพิรุณมา
ไม่คิดเลยว่าจะมาจากอารามนิรันดร์
แต่เขาไม่เหมือนกับหม่าเหรินเจ๋อที่เป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัว ในที่สาธารณะเขาก็มีฐานะหนึ่ง เดินไปไหนตามใจชอบได้ และหากเรื่องเกี่ยวกับอารามนิรันดร์ถูกเปิดเผยก็คงมีเรื่องใหญ่แน่นอน
แต่ตอนนี้ฉือหมิงเฟิงกลับมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยต่อหน้าซูเฉินเช่นนี้ มันก็ทำให้ชายหนุ่มชื่นชมคนเช่นเขานัก
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “คุณชายซูกล่าวเกินไปแล้ว ปรมาจารย์หยาดพิรุณแห่งซีหยวนก็ไม่ใช่ชื่อยิ่งใหญ่อะไร การกระทำของคุณชายซูหลายปีมานี้กลับเปิดหูเปิดตาข้าได้กว้างมากกว่านัก”
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก หมิงชู รินชา” ซูเฉินเชิญฉือหมิงเฟิงนั่งลง
หลังพูดคุยกันสักพัก ฉือหมิงเฟิงก็เอ่ยตามตรง “คุณชายซู ท่านคิดจะเอาหินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนไปทำอะไรกันแน่ ?”
“ข้าอยากปรุงยาชุดใหญ่ขึ้นมาสักชุด” ซูเฉินตอบ
“เป็นยาอะไรหรือ ?”
“ยาสามหยาง”
“ยาสามหยาง ?” ฉือหมิงเฟิงชะงักไป เขาคิดอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกว่ามันเป็นยาอะไรกันแน่
ซูเฉินกล่าวขึ้น “ปรมาจารย์หยาดพิรุณ ท่านไม่ต้องคิดมาก ยาชนิดนี้ที่ข้าคิดปรุงไม่เคยออกสู่โลกภายนอกมาก่อน”
“หากจะปรุงต้องใช้เงินมากมายเลยหรือ ?”
“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่รวมของที่ต้องใช้ วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงยาขวดหนึ่งมูลค่าราวหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ 500 ก้อน”
“เช่นนั้น 500 ล้าน……”
“ข้าคิดจะปรุงมันขึ้นมาสัก 1 ล้านขวด” ซูเฉินตอบ
ฉือหมิงเฟิงได้ยินจำนวนแล้วสะท้านไป “หนึ่งล้านขวด ? ท่านจะบอกว่าท่านจะปรุงยา 1 ล้านขวดขึ้นมาในคราเดียวงั้นหรือ ?”
“ข้าไม่มีเวลายาวนานถึง 5 ปี ข้าหวังว่าทางพวกท่านจะเต็มใจมอบความช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระให้ข้าได้บ้าง”
“ท่านคิดจะปรุงยาล้านขวดแล้วขายมันในครั้งเดียว ? ทำไมไม่ปรุงยาไปขายไปด้วยเล่า ?”
“เพราะข้าไม่มีเวลา ข้าลองคำนวณดูแล้ว พอปล่อยตัวยาออกไปก็จะมีของปลอมทำออกมาภายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น การแข่งขันจะสูงมาก และราคาจะตกต่ำลง ดังนั้นเราต้องมีของให้มากที่สุดก่อนถึงเวลานั้น อีกทั้งข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าข้าเป็นคนคิดค้นยานี่ ขึ้นมา ดังนั้นก็ต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าด้วย”
ฉือหมิงเฟิงจ้องซูเฉินด้วยความตกตะลึง “มันเป็นยาอะไรกัน ? ทำไมคุณชายซูถึงให้ค่ามันนัก ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ท่านไม่ถามจะดีกว่า ข้าสามารถนำยาที่ปรุงเสร็จแล้วเก็บไว้กับท่านเป็นของประกันได้ พวกท่านมีหน้าที่นำมันออกสู่ร้านยาต่าง ๆ แต่ข้าแนะนำให้ท่านปกปิดตัวตนไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นก็อาจเจอปัญหารับมือยากได้ ส่วนยาเอาไปใช้อะไร ไม่นานท่านจะรู้เอง ราคายาขวดหนึ่งขายราว ๆ หินพลังต้นกำเนิด 1,500 ก้อน พวกเราก็จะได้หินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำมาประมาณ 1.5 พันล้านก้อน หลังจบเรื่องแล้วท่านก็เอาไป 800 ล้าน ข้าเอา 700 ล้าน”
เจ้า ‘ของประกัน’ ที่มอบให้อารามนิรันดร์ไว้ก็เพื่อจะให้อีกฝ่ายเป็นคนนำมันออกแจกจ่ายนั่นเอง และที่พูด ซูเฉินก็เพียงพูดให้ฟังดูดีขึ้นเท่านั้น
“ย่อมไม่ได้ !” ฉือหมิงเฟิงปฏิเสธเสียงแข็ง “ท่านต้องบอกความลับเรื่องตัวยามาโดยตรง หากมีความเป็นไปได้ พวกข้าก็ไม่สนว่าใครจะเป็นคนถือครอง ไม่เช่นนั้นความเสี่ยงจะสูงเกินไป ข้าไม่รู้ว่าแผนการของท่านจะสำเร็จหรือไม่ พวกเราลงทุนหินพลังต้นกำเนิด 500 ล้านก้อนกับท่าน แต่ได้กำไรเพียง 300 ล้านก้อน เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ !”
ประโยคสุดท้ายเผยให้เห็นความคิดของฉือหมิงเฟิง ซึ่งหากเขาเต็มใจจะเจรจาต่อรองแล้ว มันก็ถือว่าตัวเขาค่อนข้างจะเชื่อใจซูเฉินอยู่ไม่น้อย
เช่นนี้เป็นเพราะการพูดคุยหลากหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่ทำให้เขารู้ว่าซูเฉินไม่ยอมเสี่ยงโดยไร้เหตุผลแน่
“แผนการสำเร็จแน่นอน” ซูเฉินตอบ
“เช่นนั้นก็พิสูจน์มา !”
ซูเฉินรู้ว่าหากไม่มีหลักฐานจับต้องได้ ฉือหมิงเฟิงก็คงไม่ยอมตกลง ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าบอกวิธีใช้ยาได้ แต่เช่นนั้นท่านต้องให้ข้าเป็นคนจัดการว่าจะใช้มันอย่างไร และเรื่องนี้ห้ามหลุดไปถึงหูคนภายนอก”
“เรื่องนี้…… ตกลง !” ฉือหมิงเฟิงพยักหน้า
สำหรับอารามนิรันดร์แล้ว แผนการเป็นชิ้นเป็นอันสำคัญกว่ายาจำนวนมากที่พวกเขาไม่รู้วิธีใช้ประโยชน์นัก
ซูเฉินส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา
หลังจากอ่านสิ่งที่อยู่บนกระดาษแล้ว ฉือหมิงเฟิงก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาด “นี่มัน……”
“อย่าที่ท่านได้เห็นไป มันคือหนทางสู่ความร่ำรวย ท่านจะเลือกเดินหรือไม่ก็ได้ แต่ข้าเชื่อว่าคนอื่น ๆ คงยิ่งกว่าเต็มใจจะทำการค้ากับข้าเลยล่ะ”