ภาคที่ 3 บทที่ 108 นัดหมาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 108 นัดหมาย

ฉือหมิงเฟิงตกลง

หลังจากซูเฉินเผยไพ่ตายในมือแล้ว ฉือหมิงเฟิงก็ตกลงอย่างที่เขาคิดไว้

ฉือหมิงเฟิงเป็นคนตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่ผลประโยชน์จากฐานะทางตระกูลของเขาได้ไม่มากเท่าที่ฐานะที่เขามีในปัจจุบัน

ฉือหมิงเฟิงรู้ดีว่าหากปล่อยวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดออกไปแล้วจะมีผลเป็นอย่างไร แต่มันจะเทียบได้กับหินพลังต้นกำเนิดหลายร้อยล้านก้อนงั้นหรือ ?

เขาไม่สนอนาคตของเผ่ามนุษย์เท่าไรนัก แต่หากเป็นอนาคตของเขาเองนั้นเขามองเห็นมันชัดเจนแล้ว เขาจะสร้างเงินจำนวนมหาศาล เอาไว้ซื้อทรัพยากรในการบ่มเพาะพลัง เสริมความแกร่งให้ร่างตนเองได้ ทำให้การทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณนับเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อมนัก !

ไม่นานฉือหมิงเฟิงและซูเฉินก็ตกลงกันได้

อารามนิรันดร์จะช่วยซื้อทรัพยากรเพียงหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ 500 ล้านก้อนเท่านั้น และจัดหานักปรุงยามาช่วยซูเฉินกลั่นยาปรุงยา อีกทั้งยังเป็นฝ่ายจัดจำหน่ายตัวยาไปยังร้านขายยาใหญ่ ๆ ให้อีกด้วย เรื่องนี้ทำไม่ง่าย ต้องใช้กำลังคนมากจึงจะทำได้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงปรับผลประโยชน์กันใหม่เป็น 60-40

ซูเฉินได้ 600 ล้าน อารามนิรันดร์ได้ 400 ล้าน

นับว่าเป็นการแบ่งส่วนที่ปกติ การที่ซูเฉินเสนอว่าจะให้อารามนิรันดร์ 300 ล้านเป็นเพียงกลยุทธ์ในการต่อรองอย่างหนึ่งเท่านั้น อารามนิรันดร์จ่ายไปตั้งมาก ไม่มีทางลำบากแทนคนอื่นเป็นแน่

แต่ถึงกระนั้น จะให้ฉือหมิงเฟิงยอมตอบตกลง เพราะชายหนุ่มแอบตกลงจะให้หินพลังต้นกำเนิด 30 ล้านก้อนแก่ฉือหมิงเฟิงเป็นการส่วนตัวอีกต่างหาก

แต่หนี้ที่ซูเฉินติดค้างกับอารามนิรันดร์เองก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ต่อไปอารามนิรันดร์จะยังขอให้ซูเฉินกลั่นยาให้ได้ แต่จะคิดราคาเป็นขวดต่อขวดแล้ว

ในเมื่อทุกฝ่ายตกลงกันเป็นที่พอใจแล้ว ฉือหมิงเฟิงจึงกลับไปรายงานหัวหน้า จริง ๆ แล้วแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจ เขามาเพียงเพื่อแสดงความตั้งใจและการตัดสินใจ แต่สุดท้ายก็เป็นหัวหน้าของเขาอีกทีที่มีอำนาจในมือจริง ๆ

เคราะห์ดีที่อารามนิรันดร์ไม่สิ้นสติแล้วปฏิเสธแผนการไปเพียงเพราะเหตุผลที่ว่า ‘มันอาจทำให้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้น’ พวกเขาเห็นด้วยและให้ดำเนินตามแผนต่อไปได้

แต่อารามนิรันดร์รู้สึกว่าราคายายาสามหยางนั้นต่ำเกินไป จึงเสนอให้เพิ่มราคายาขึ้นอีก

พวกเขาคิดว่าเมื่อเผยแพร่วิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณออกไปแล้ว พวกเขาจะเป็นคนที่มียาสามหยางทั้งหมดอยู่ในมือ ดังนั้นจึงสามารถเพิ่มราคาในตลาดได้สูงขึ้นอีก

ยาที่มีต้นทุนเป็นหินพลังต้นกำเนิด 500 ก้อน ย่อมต้องสามารถขายในราคา 5 หมื่นได้แน่นอน

พวกเขาไม่ต้องกลัวว่าคนจะไม่ซื้อ ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายย่อมที่คิดจะทะลวงสู่ด่านที่สูงกว่าได้ย่อมมีเงินมาซื้อยาได้แน่นอน ดังนั้นขวดละ 5 หมื่นจึงไม่นับเป็นอะไร

หากไม่ใช่เพราะส่วนประกอบและวิธีปรุงยานั้นเรียบง่ายเช่นนี้ พวกเขาก็อาจเพิ่มราคาไปถึงขวดละหินพลังต้นกำเนิด 5 แสนก้อนไปแล้ว

ทว่าซูเฉินปฏิเสธข้อเสนอนี้ ยืนกรานจะให้คงราคาไว้ที่หินพลังต้นกำเนิด 1,500 ก้อน

ยาสามหยางนั้นเกี่ยวพันถึงทั้งเผ่ามนุษย์ เขาอาจหาประโยชน์จากมันได้ แต่ก็ควรมีขีดจำกัด หากเขาเพิ่มราคาจนเกินไปก็จะเสียความตั้งใจเดิม อีกทั้งยังฝืนความประสงค์ของฉือไคฮวงด้วย

เขายังไม่ลืมว่าทั้งวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณนั้นล้วนเป็นฉือไคฮวงที่คิดค้นขึ้น ที่ฉือไคฮวงมอบมันให้เขาจัดการก็เพื่อเป็นการทดสอบ

เขาไม่อาจทำให้ฉือไคฮวงผิดหวังได้ และเขาก็ไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของอวิ๋นฝูปาต้องแปดเปื้อนด้วยเรื่องนี้

เงินก็แค่ตัวเลขเท่านั้น มีมาก็ใช้ไป ตราบเท่าที่เขาไม่ขาดเงินให้ใช้ก็เป็นพอแล้ว

ถึงกระนั้นอารามนิรันดร์ก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามเกลี้ยกล่อมซูเฉินจนเขาเริ่มหมดความอดทน สุดท้ายเขาก็ตกลงจะขึ้นราคาเป็นขวดละหินพลังต้นกำเนิด 3,000 ก้อน และปฏิเสธไม่เพิ่มไปมากกว่านี้อีก

คำปฏิเสธของซูเฉินทำให้อารามนิรันดร์เสียใจเป็นยิ่งนัก ต่างบ่นว่าว่าซูเฉินทำกำไรน้อยนิด ทำให้สูญเงินนับพันล้านไปได้ง่าย ๆ

แต่ด้วยซูเฉินเป็นคนคุมทั้งวิธีปรุงยาสามหยางและมีวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณอยู่ในมือ เช่นเดียวกับตระกูลจูที่ได้ใช้ชีวิตคนในตระกูลเป็นเครื่องพิสูจน์มาแล้วว่าการห้ามไม่ให้ความลับเผยแพร่ออกไปนั้นยากกว่าการป้องกันนัก ดังนั้นพวกเขาจึงถูกบีบให้ต้องทิ้งความคิดเดิมไปแล้วตอบตกลงกับเงื่อนไขและราคาของซูเฉินแทน

และแผนการสร้างเงินมูลค่ามหาศาลก็เริ่มต้นขึ้น

เงินจากอารามนิรันดร์หลั่งไหลเข้ามือซูเฉินไม่ขาด หลังจากซื้อวัตถุดิบจำนวนมหาศาลแล้ว เขาก็เริ่มทำการปรุงยากับนักปรุงยาคนอื่น ๆ ที่ถูกส่งมาช่วยเหลือ

และเพราะซูเฉินเองก็คุมทรัพยากรส่วนหนึ่งในป่าแม่น้ำตะวันตก เขาก็ได้ประโยชน์จากตรงนั้นมาเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายก็มองข้ามไปเพราะกำไรสุดท้ายที่พวกเขาจะได้นั้นมีมูลค่าสูงกว่านัก

ระหว่างทำการผลิตตัวยา ซูเฉินก็ยังไม่ทิ้งการทดลอง ตอนนี้ยามทำการทดลองอะไรเขาจะคอยจดบันทึกการทดลองอยู่เสมอ คอยจดทั้งต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้ โดยบันทึกไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตยา ซึ่งนับเป็นข้อได้เปรียบของคนที่เป็นผู้กุมทรัพยากรและวิธีการผลิตยาอย่างเขา

ซูเฉินทำการบ่มเพาะพลัง ทำการทดลอง และปรุงยากลั่นยา ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น ดังนั้นชื่อเสียงเรียงนามที่สร้างไว้ในเมืองธารน้ำใสจึงค่อย ๆ เริ่มเงียบหายไป

แต่หามีใครรู้ไม่ว่าเวลานี้พายุใหญ่กำลังคุกรุ่นกักเก็บพลังงานซ่อนเร้น รอเวลาระเบิดสะท้านสะเทือนแผ่นดิน !

——————————————

วันนี้ซูเฉินกำลังทำการทดลอง พลันได้ยินหมิงชูเดินมาเคาะประตู

“นายน้อย มีคำเชิญจากร้านสุขสงบเฟื่องฟูมาขอรับ”

“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอะไรไม่สำคัญให้ปฏิเสธไปเลย ?” ซูเฉินตอบกลับ

ณ ตอนนี้ เขานับเป็นคนมีชื่อในเมืองธารน้ำใส ก้าวหนึ่งก้าวสะเทือนไปทั้งเมือง แม้หลายวันมานี้เขาจะไม่ได้ทำอะไร แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังไม่จางหายไปได้เร็วเช่นนั้น

“แต่คำเชิญนี้อาจปฏิเสธไม่ง่ายนัก” หมิงชูว่า

“หือ ?” ซูเฉินเริ่มสนใจ เปิดประตูให้หมิงชูเข้ามา “สถานการณ์เป็นอย่างไร ?”

หมิงชูจึงเอ่ย “นายน้อยตามหาบัวดำไร้เมล็ดอยู่ไม่ใช่หรือขอรับ ? ป่าแม่น้ำตะวันตกไม่มีทรัพยากรนี้ ดังนั้นจึงต้องหามาจากทางตะวันตก ร้านสุขสงบเฟื่องฟูมีเส้นทางการค้ากับทางตะวันตกที่ดีที่สุดอยู่ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ให้ร้านสุขสงบเฟื่องฟูซื้อสินค้าให้ข้า ทำไมข้าต้องไปเองด้วยเล่า ?”

“เมื่อ 2-3 ปีก่อนทางตะวันตกเกิดภัยธรรมชาติ ทำให้การผลิตบัวดำไร้เมล็ดลดลงมาก ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้น ยังมีคนที่ต้องการสินค้าตัวนี้อยู่มาก เถ้าแก่โจวแห่งร้านสุขสงบเฟื่องฟู จึงถือว่ามันเป็นสินค้าหายาก ไม่ยอมขายออกไปง่าย ๆ แต่ เถ้าแก่โจวอยากทำความรู้จักกับท่านมาโดยตลอด ตอนที่ข้าไปขอซื้อบัวดำไร้เมล็ดกับเขา เถ้าแก่โจวจึงขอพบท่าน กระทั่งวันนี้ส่งคำเชิญมาเป็นพิเศษ หากนายน้อยไม่ไปเองเขาก็อาจไม่ยอมขายสินค้าให้เราก็เป็นได้นะขอรับ”

ซูเฉินได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว

บัวดำไร้เมล็ดก็นับเป็นวัตถุดิบหายากพอสมควร สามารถเปิดพลังจากสายเลือดในร่างได้

การทดลองยาต้นกำเนิดสายเลือดของซูเฉินก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เขาจำเป็นต้องใช้ บัวดำไร้เมล็ดจำนวนมาก และไม่อยากให้การทดลองต้องหยุดชะงักลง

คิดได้ดังนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็เตรียมตัวเดินทาง แล้วคำเชิญให้ไปพบที่ไหนหรือ ?”

“พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ที่ศาลาบินทะยานขอรับ” หมิงชูตอบ