บทที่ 109 ลงมือ
ศาลาบินทะยานตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองธารน้ำใส เป็นร้านเก่าแก่ที่อยู่มากว่า 70 ปี เจ้าของคือตระกูลเล็ก ๆ ตระกูลหนึ่งในเมืองธารน้ำใส
ร้านแห่งนี้เชี่ยวชาญด้านอาหารป่า อาหารรสชาติไม่จัดจ้านมากด้วยต้องการคงรสชาติเดิมไว้ ซูเฉินมาจากมณฑลสามเทือกเขา ชอบรสชาติคล้าย ๆ กัน ดังนั้นจึงชื่นชอบอาหารที่ไม่น้อย อีกฝ่ายเชิญเขามาที่นี่นับว่าใจกว้างอยู่เช่นกัน
อีกทั้งทิวทัศน์รอบศาลาบินทะยานก็งดงาม สามารถเห็นรอบเมืองธารน้ำใสจากชั้นบนสุดยาวทางทิศเหนือ หันไปทางทิศใต้จะเห็นทิวทัศน์หุบเขาทางใต้
พอยามเที่ยง ซูเฉินก็เดินทางมาถึงศาลาบินทะยาน
เมื่อมาถึงแล้ว ข้ารับใช้ก็พาเขาไปยังห้องด้านข้าง จนกระทั่งเข้าห้องมาจึงพบว่าเถ้าแก่โจวแห่งร้านสุขสงบเฟื่องฟูยังมาไม่ถึง ส่งเพียงข้ารับใช้ตัวเล็กมาต้อนรับเท่านั้น
ข้ารับใช้พูดจาเรียบง่าย เมื่อเห็นซูเฉินก็เอ่ยเพียง “เจ้ากรมซูโปรดรอสักครู่ นายท่านของข้าจะมาถึงในไม่ช้าขอรับ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อย ๆ ฐานะของเขาในตอนนี้ มักจะเป็นคนอื่นที่เป็นฝ่ายรอเขา เหตุใดเขาต้องมานั่งรอคนอื่นด้วย ? ไม่ใช่ว่าเขาวางท่าใหญ่โตอะไร ทว่าเป็นมารยาททางสังคมของคนที่นี่ อีกฝ่ายเป็นคนเชื้อเชิญเขามา แต่กลับมาช้ากว่าเขา ทำเอาเขาพูดไม่ออกทีเดียว
ซูเฉินไม่โกรธอะไร เพียงแต่เดินเข้าไปในห้องแล้วถามขึ้น “เถ้าแก่โจวสั่งอาหารอะไรมาบ้าง ?”
เมื่อครึ่งปีก่อนเขาเคยมาที่ศาลาบินทะยาน ตอนนั้นเขาสั่งเป็ดย่างมากิน รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว จึงคิดจะสั่งมาอีกสักครั้ง
ข้ารับใช้เอ่ยว่า “ยังไม่ได้สั่งอาหารไว้ขอรับ”
“ยังไม่ได้สั่งหรือ ?” ซูเฉินชะงักไป
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่เห็นว่าเขาสำคัญอะไรนัก
หากไม่เห็นเขาสำคัญ แล้วเชิญเขามาเพื่ออะไร ?
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ใจกระตุก รีบใช้พลังจิตแผ่ออกไปทั่วทิศ
พลังจิตของเขาแกร่งขึ้นกว่าก่อนมาก มันแผ่ขยายออกไป ไม่ว่าอะไรในศาลาบินทะยานก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้ เขาพบว่าที่นี่ไร้ผู้คนแม้สักคน
แย่แล้ว !
ซูเฉินพบว่าตนตกที่นั่งลำบาก รีบผลักหน้าต่างออกทันใด
เพิ่งจะผลักเปิดไม่นาน ก็เห็นเส้นแสงหนึ่งซัดมาทางเขาทันที
บัดซบ ลงมือเร็วนัก !
ซูเฉินก้มหลบพลังซัดนั้นไปได้
เกิดเสียงระเบิดดังลั่น ตั้งโต๊ะทั้งประตูด้านหลังถูกพลังจนสลายเป็นชิ้น ๆ
เขายืมแรงระเบิดดีดร่างขึ้นบนหลังคา แล้วเหินร่างขึ้น ก่อนเท้าจะแตะพื้น ทว่าทันใดนั้นเอง
ด่านสู่พิสดาร !
เวรเอ๊ย ว่าแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้
ซูเฉินรู้ทันทีว่าคงเป็นแผนของสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่คิดสังหารเขาเป็นแน่
จงใจใช้ชื่อเสียงของร้านสุขสงบเฟื่องฟูเพื่อล่อเขาออกมา จากนั้นส่งผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารมาสังหารเขาโดยเฉพาะ
อีกทั้งยังเลือกศาลาบินทะยานที่อยู่นอกเมืองเป็นสถานที่นัดพบ เพราะลงมือที่นี่จะไม่กระทบคนบริสุทธิ์ ไม่ต้องรับผลใดใหญ่หลวงนัก อีกทั้งยังมีสถานที่กว้างขวาง ไร้ที่ให้หลบซ่อน อีกทั้งตอนนี้อันซื่อหยวนยังออกจากเมืองไปทำธุระทางราชการ
ทั้งเวลาและสถานที่ถูกเลือกมาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะสังหารซูเฉินทิ้งได้
แม้กองทหารเกราะโลหิตจะอยู่ด้านล่างนี้ แต่หากคนด่านสู่พิสดารไม่ยั้งมือ มีกองทหารเกราะโลหิตไปก็ไร้ค่า
เป็นแผนลอบสังหารที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า
แม้หลายปีมานี้ซูเฉินจะไม่ได้ลงมือทำอะไรออกนอกหน้านัก ทว่าการมีอยู่ของเขาก็เป็นภัยคุกคามต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูง เป็นเพราะเขา ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายจึงถูกบีบให้เป็นฝ่ายรับมือเช่นนี้
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงรอวันนี้มานานแล้ว ยามไม่ลงมือก็ดูราวกับเรื่องราวสงบดี แต่เมื่อลงมือก็ราวกับเกิดระเบิดสายฟ้าฟาดขึ้น
“ซูเฉิน ตายเสีย !”
สิ้นเสียงร้องลั่น ฝ่ามือหนึ่งก็แยกชั้นฟ้า ลมส่งเสียงหวีดหวิวขณะที่มันพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน ไอพลังล้อมทั่วทั้งศาลาบินทะยาน รวมทั้งซูเฉินและทหารองครักษ์ที่ตามมาด้วยทั้งหมด
ช่างเป็นกระบวนท่าที่น่าเกรงขามนัก !
เผชิญหน้ากับพลังมหาศาลเช่นนี้ ซูเฉินก็ไม่คิดสู้
พริบตาที่ฝ่ามือขาดมหึมากำลังจะแยกแผ่นฟ้านั่นเอง ดวงตาซูเฉินก็ฉายแสงวาบ จ้องตรงไปยังคนด่านสู่พิสดารผู้นั้น
จ้องตาครานี้ทำให้คนด่านสู่พิสดารชะงักค้างไปชั่วขณะ ฝ่ามือที่กำลังพุ่งลงมาใส่ศาลาบินทะยานเองก็ชะงักไปเช่นกัน
“รีบหนีไปเสีย !” ซูเฉินตะโกนก้อง เขาทำเพื่อพวกลูกน้องได้เท่านี้
สิ้นเสียงตะโกน ร่างเขาก็พลันหายไปกลางอากาศ
วิชาซ่อนเงา วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย
นี่เป็นวิชาคู่ที่ชายหนุ่มเตรียมเอาไว้ใช้หลบหนีจากการโจมตีของด่านสู่พิสดารโดยเฉพาะ การเตรียมการที่เขาวางไว้แม้เรื่องอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย ในที่สุดก็ได้ใช้งานเสียที
หลังจากซึมซับวิชามายาของม่อมาแล้ว วิชาสรรพสิ่งลวงตาของซูเฉินก็ทรงพลังขึ้นมาก กระทั่งคนด่านสู่พิสดารยังถูกวิชาครอบงำได้ ไม่อาจหลบหนีออกจากแดนมายาได้ชั่วขณะ หากเขาตัวคนเดียว กระบวนท่านี้ก็คงสามารถหยุดชะงักการโจมตีนี้ และเขาก็คงหนีรอดไปได้อย่าปลอดภัย
ทว่าตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้
ศรดั่งเปลวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้ามาจากด้านล่าง กระแทกเข้ากับด่านสู่พิสดารที่ชะงักค้างไป
ศรดั่งเปลวเพลิงดอกนี้ยิงขึ้นมาเพื่อแจ้งว่าการลอบสังหารล้มเหลว แต่ตอนนี้กลับได้ใช้ประโยชน์อีกอย่าง นั่นคือการปลุกคนด่านสู่พิสดารออกจากแดนมายานั่นเอง
ศรดอกนั้นพุ่งเข้าชนร่างคนด่านสู่พิสดารแล้วเด้งออกมา เกิดเป็นแสงสว่างจ้า แต่เท่านี้ก็สามารถปลุกคนด่านสู่พิสดารจากฝันได้แล้ว
คนด่านสู่พิสดารสะดุ้งเฮือก ก่อนจะพบว่าตนถูกวิชามายาเข้า พลันรู้สึกอับอายและโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก “ไอ้บัดซบ !”
เขาพยายามมองหาซูเฉิน แต่พบว่าเหนือศาลาบินทะยานนั้นไร้เงาคน
“คิดหนีหรือ ? หนีไปรอดหรอก !” คนด่านสู่พิสดาร ตะโกนลั่น เขารู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ได้อยู่ในศาลาบินทะยานเป็นแน่ แต่เขาต้องหาที่ระบายอารมณ์โกรธในใจ กระแทกฝ่ามือหนึ่งออกไป ทำลายศาลาบินทะยานเสียย่อยยับ
พริบตาที่ฝ่ามือนั้นสำแดงพลัง คนด่านสู่พิสดารผู้นั้นก็กระแทกฝ่ามือออกไปยังพื้นที่โดยรอบทันที
เขารู้ว่าตนถูกหลอกได้ไม่นาน ซูเฉินต้องยังหนีไปได้ไม่ไกลแน่ ดังนั้นเมื่อมีศาลาบินทะยานเป็นศูนย์กลางแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยฝ่ามือออกมาไม่หยุด ไม่สนใจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ชานเมืองเช่นนี้ถูกทำลายย่อยยับก็ไม่นับว่าเป็นอะไร พวกกองทหารเกราะโลหิตที่หนีไม่ทันก็ถูกสังหาร แต่ในเมื่อเขาคิดลงมือแล้ว มีหรือที่จะมานั่งนึกถึงตัวตนเบื้องหลังกองทหารเกราะโลหิต ?
พลังฝ่ามือที่ปล่อยออกมาติด ๆ กัน กลับไม่อาจบีบเอาตัวซูเฉินออกมาได้ ทำให้คนด่านสู่พิสดารพลันวาดมือ ส่งคลื่นพลังเพลิงออกไปยังประตูเมือง
หากซูเฉินกลับเข้าเมืองไปตอนนี้ เขาก็คงถูกเพลิงไหม้จนร่างกรอบไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้น คนด่านสู่พิสดารก็ไม่เห็นเป้าโจมตีเลย
ซูเฉินดูท่าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คนด่านสู่พิสดารพลันหน้าคว่ำ
ทั้งพื้นฐานการบ่มเพาะพลังและตัวตนของเขาแล้ว เขากลับทำให้คนด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่งที่หมายสังหารหลุดรอดมือไปได้ ได้แต่รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นยิ่งนัก !
คนด่านสู่พิสดารก้มลงมองพื้นที่เบื้องล่างแล้วเอ่ยเสียงดัง “มันไม่ได้กลับเข้าเมือง คงจะหนีเข้าป่าไปเป็นแน่ ! อย่างไรก็ต้องหาตัวมันให้พบ ! ใครสังหารซูเฉินได้จะได้รางวัลเป็นหินพลังต้นกำเนิดแสนก้อน !”
บนภูเขานั้นมีต้นไม้ขึ้นเป็นป่าหนาแน่น แม้เขาจะเหินร่างอยู่บนฟ้า แต่ต้นไม้ทั้งหลายก็บดบังการมองเห็นจนไม่อาจเห็นร่องรอยได้ได้ ดังนั้นไล่ตามอีกฝ่ายไปจึงไม่น่าสนใจอีก ปล่อยให้ลูกน้องทำแทนเสียยังดีกว่า
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินคำเขาแล้ว ทหารกลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้าป่าไปทันที !!!