บทที่ 110 ออกล่า
หลังจากเร้นกายตนเองแล้ว วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินก็ส่งเขามาที่หุบเขาทางใต้
เขารู้ดีว่าพวกจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงคงไม่ปล่อยเขาหนีเข้าเมืองโดยง่ายเป็นแน่ และแม้จะเข้าไปได้ก็ไม่มีประโยชน์นัก อันซื่อหยวนไม่ได้อยู่ในเมือง ส่วนหลู่ชิงกวงก็อาจไม่เต็มใจช่วย (หรืออย่างน้องก็คงช่วยแบบขอไปที)
หากเขาหนีเข้าเมืองไปจะได้กลายเป็นนกถูกขังกรงเป็นแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หยอกเล่นกันหน่อยเป็นอย่างไร ? แม้จะเกิดเรื่องค่อนข้างกะทันหัน ทว่าซูเฉินก็รอจังหวะนี้มานานหลายปี เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเช่นกัน
ชายหนุ่มวิ่งพุ่งเข้าไปในป่า เงาร่างว่องไวราวกับสายลม
ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงคนไล่ตามมา ที่น่าขัดใจคือมีเสียงสุนัขเห่าไล่หลังดังปนมากับเสียงคนด้วย
วิชาซ่อนเงาแท้จริงแล้วไม่อาจทำให้สิ่งของหายไปได้ มีวิธีทำลายวิชาหลากหลายทางมาก ใช้เพียงสุนัขดมกลิ่นก็หาตัวพบแล้ว
จิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นเป็นอสูรร้ายระดับกลางที่จมูกดีนัก มีความสามารถในการไล่ล่าเหยื่อสูงมาก
เผชิญหน้าประมือกันมาหลายปี ข้ารับใช้เงาของเขาจึงไม่เป็นความลับอีก ดังนั้นตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงเตรียมสุนัขล่าเนื้อมาใช้รับมือ แต่ก็เป็นเพียงวิธีสำรองเท่านั้น ด้วยพวกเขาคิดว่าซูเฉินคงไม่อาจพ้นเงื้อมมือคนด่านสู่พิสดารไปได้
ชายหนุ่มรู้ว่าใช้วิชาซ่อนเงาต่อไปไม่ดีแน่ ดังนั้นจึงสลายวิชาเพื่อเก็บสสารเงาไว้แล้วพุ่งตัวเข้าไปในป่า
ฟ้าว ! ฟ้าว ! ฟ้าว !
เงาร่างนับไม่ถ้วนกระโดดพุ่งตามเข้าไปในป่า เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายต่างเร่งฝีเท้าเต็มกำลัง
ของรางวัลเป็นหินพลังต้นกำเนิดแสนก้อนนั้นจุดความกระหายอยากในจิตใจคนหลายคนได้ดีนัก รางวัลนี้ต้องเป็นของพวกเขา !
คนด่านสู่พิสดารที่อยู่บนอากาศพลันเหินร่างลงมา “เผยหยวน !”
“ท่านพ่อ” ชายหนวดดำปรากฏกายขึ้น เขาคือผู้อาวุโสตระกูลหวัง หวังเผยหยวน
ส่วนคนด่านสู่พิสดารตรงหน้าคือบิดาของหวังเผยหยวน ผู้นำตระกูลหวังซานหยู
หวังซานหยูเอ่ยขึ้น “บอกทุกคนให้ล้อมหุบเขาทางใต้ ปิดทางออกทั้งหมดไว้ ส่งคนเข้าไปหาเพิ่มอีก”
“ขอรับ !”
หวังซานหยูหันร่างจากไป
“ท่านพ่อจะไม่ตามหาด้วยหรือ ?” หวังเผยหยวนถามเสียงฉงน
หวังซานหยูส่งเสียงฮึ่ม “ข้าเสนอให้รางวัลไปแล้ว จะลงมือทำไมอีก ? ไปแย่งรางวัลกับพวกเขาหรือ ? หรือไปช่วยให้พวกเขาได้รางวัล ?”
หวังเผยหยวนชะงักไป แต่คิดดูแล้วก็มีเหตุผล
ในเมื่อบอกจะให้รางวัลแล้ว หากหวังซานหยูยังไล่ล่าแล้วได้รางวัลเสียเอง คงได้กลายเป็นการกลับคำไป
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่กลัวถูกกล่าวเยาะ แต่หากถูกเยาะเย้ยเรื่องการกลับคำพูดนั้นดูต่ำช้าน่าอับอายเกินไป ไม่อาจทนได้
“ทว่าซูเฉินมันร้ายนัก หากหนีไปได้อีก……” หวังเผยหยวนเอ่ยเสียงระวัง
“เจ้าจึงต้องจับมันให้อยู่หมัด มันตัวคนเดียว เจ้ามีคนมากขนาดนี้จะรับมือมันไม่ได้เลยหรือ ? หรือต้องให้ข้าคอยตามแก้ปัญหาให้ทุกเรื่อง ?” หวังซานหยูในตอนนี้เอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจออกมาแล้ว
ในฐานะบรรพบุรุษตระกูลหวัง พวกลูกหลานลูกน้องทั้งหลายควรให้ความเคารพเขา เรื่องทั้งหลายในตระกูลควรเป็นศิษย์ตระกูลที่รับมือ ทว่าตัวเขาถูกขอให้ต้องออกมาลงมือแก้ปัญหาตระกูลเองเช่นนี้ทำให้เขาไม่พอใจนัก อีกทั้งศัตรูก็อยู่เพียงด่านกลั่นโลหิต ฝั่งพวกเขายังได้เปรียบอยู่มากโข
ดังนั้นหัวหน้าตระกูลเช่นเขาจึงไม่คิดลงมืออีกเมื่อลงมือโจมตีไปแล้วไม่อาจคว้าตัวซูเฉินไว้ได้
แท้จริงแล้ว เขาปล่อยฝ่ามือออกไปเกือบสิบครั้งใส่พื้นที่โดยรอบศาลาบินทะยาน ทำลายพื้นที่ไปหลายร้อยจั้ง ได้เผยพลังเช่นนี้ช่างเป็นที่พึงพอใจ ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความแกร่งของเขาอยู่บ้าง แต่ก็ใช้พลังต้นกำเนิดมากเช่นกัน ชายชราไม่อยากให้แผนล่มตอนนี้ ดังนั้นจึงทำข่มไปอย่างนั้น เมื่อพลังฟื้นคืนเมื่อไร หากพวกลูกน้องยังสังหารมันไม่ได้ ลงมือตอนนั้นก็ยังไม่สาย
ได้ยินดังนั้น หวังเผยหยวนก็ไม่ถามต่อ ก้มหน้ารับคำไป
มองหวังซานหยูจากไปแล้ว หวังเผยหยวนจึงเอ่ย “บอกทุกคนลงมือเต็มที่ ซูเฉินถูกบีบขึ้นเขาไปแล้ว ครั้งนี้ต้องกำจัดมันให้ได้ หากพลาดไปอาจไม่มีโอกาสครั้งที่ 2”
——–
ซูเฉินได้ยินที่หวังซานหยูร้องบอกลูกน้องเช่นกัน
แต่มันไม่ทำให้เขากังวลแต่อย่างไร กลับทำให้เขาเบาใจลงบ้าง ด้วยนั่นหมายความว่าหวังซานหยูไม่ได้ตามไล่ล่าตนมา
ซูเฉินโผล่ศีรษะขึ้นมาจากพุ่มไม้ พบว่าคนด่านสู่พิสดารหายไปตัวไปแล้วจริง ๆ
เสือร้ายไปแล้ว ทว่าหมาป่ายังคงตามไล่ล่า
ชายหนุ่มเหลือบมองด้านหลังก่อนหัวเราะเสียงทะมึน จงใจเคลื่อนไหวให้ช้าลง เมื่อไร้คนด่านสู่พิสดารแล้ว เขาก็ไม่กลัวคนกลุ่มนี้อีก
“จับมันให้ได้ ! อย่าให้มันหนี !”
“ไล่ตามต่อ !”
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 2-3 คนที่คล่องแคล่วว่องไวตามมาทันแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าซูเฉินอยู่ไม่ไกลจึงเงื้อมือขึ้น ซัดลำแสงสีดำออกมา
ลำแสงสาดเข้าใส่แผ่นหลังชายหนุ่ม ทว่าเมื่อกำลังจะถูกคน ซูเฉินกลับกระโจนขึ้น ใช้ดาบฟาดมาด้านหลัง ปล่อยพลังสายหนึ่งออกมา
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกสองคนด้านหลังเองก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน ซัดพลังสร้างแสงสว่างจ้าออกไปยามตวัดดาบ
คลื่นเปลวเพลิงพลันโหมลุกขึ้น สกัดคลื่นดาบเหล่านั้นไว้ทันที
คนทั้งสองคิดว่ามันคงเป็นวิชาประเภทไฟธรรมดาจึงไม่ใส่ใจนัก เพียงสร้างเกราะขึ้นเท่านั้น หากแต่เมื่อเห็นว่าในเปลวเพลิงเจือด้วยสีดำจาง ๆ พริบตานั้นเอง เพลิงนั่นก็เปลี่ยนรูปเป็นร่างคล้ายคนที่อ้าแขนออก หมายจะโอบล้อมพวกเขาไว้
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งสองถูกเพลิงเงายักษ์คว้าตัวไว้ได้ ถูกย่างสดทันที ไม่ว่าจะดิ้นหนีอย่างไรก็ไม่รอดพ้นไปได้
เกราะพลังต้นกำเนิดของทั้งสองส่งเสียงร้องลั่นเมื่อถูกเพลิงเงา มันกะพริบและผิดรูปไป สุดท้ายก็แตกออกเสียงดัง ‘เพล้ง’
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งสองจึงถูกเผาร่างราวกับร่วงลงในลาวาเหลว คนทั้งสองอยู่ด่านกลั่นโลหิต ไม่สนใจบ่มเพาะความแกร่งให้ร่างกาย ดังนั้นร่างจึงไม่ได้แกร่งดั่งเหล็ก ผิวหนังทนไฟได้เพียงชั่วครู่ ก่อนจะสลายหายไปจนน่าตกใจ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นยามพยายามหนี สุดท้ายอย่างไรก็หนีไม่รอด ถูกเพลิงเผาร่างจนเหลือเพียงเถ้า
ทั้งสองสิ้นใจอย่างน่าเวทนาที่สุด แต่ก็ยังไม่อาจทำให้คนอื่น ๆ กลัวแล้วล่าถอยไปได้
คนส่วนมากยังคงไล่ตามมาพลางส่งเสียงร้องดัง
“คนเราตายเพื่อเงินได้จริง ๆ!” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น หันหลังกลับวิ่งหนีต่อ
แม้ก้าวย่างหมอกอสรพิษจะรวดเร็วนัก แต่ก็มีคนอื่น ๆ ที่รวดเร็วยิ่งกว่า ไม่นานคนอีกสองคนก็ไล่ตามมาทัน
“คิดจะหนีไปไหน ?” ทั้งสองตะโกนไล่หลังมาพลางปล่อยการโจมตีออกมาตาม ๆ กัน
ครั้งนี้พวกเขาเห็นตัวอย่างแล้ว ไม่รีบสังหารซูเฉินอีก ทำเพียงปล่อยการโจมตีระยะไกลล่อศัตรู รั้งรอให้คนด้านหลังตามมาทัน จะได้ช่วยกันรับมือศัตรูได้
แต่เพิ่งจะซัดการโจมตีออกไป ร่างของซูเฉินก็หายไปในพริบตา
มันไปไหนแล้ว ?
คนทั้งสองหันมองรอบทิศ
“ด้านหลังเจ้า !”
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ตามมาทีหลังร้องเตือนขึ้น
ทั้งสองจึงหันไปด้วยความตกใจ พบกับใบหน้าเรียบเฉยของซูเฉินเข้าให้ !
“สว่านทะลวงเกราะ !”
หมัดของซูเฉินทะลวงลำคอคนทั้งสอง ทั้งเลือดทั้งเนื้อกระจายไปทั่ว
จากนั้นเขาก็หนีต่อ ทิ้งสองศพไว้เบื้องหลัง ภายในพริบตาก็ทิ้งระยะห่างไปร้อยหมี่ จากนั้นก็หายวับไป
พวกคนที่รุดหน้ามาก่อนคือพวกฝีเท้ารวดเร็วเมื่อถูกจัดการไปแล้ว คนอื่น ๆ ที่รั้งท้ายก็ยากจะตามเขาได้ทัน
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งที่ไล่ตามหลังมาเห็นศพคนทั้งสอง เมื่อตรวจดูแล้วก็กระทืบเท้าโกรธนัก “ให้คนด่านทะลวงลมปราณนำหน้า คนด่านทะลวงลมปราณพาคนด่านกลั่นโลหิตติดตัวไปด้วย 2 คน ด่านก่อเกิดลมปราณ 4 คน และผู้ฝึกยุทธ์อีก 10 คน แต่ละกลุ่มไล่ล่าแยกกัน อย่าให้ใครถูกแยกออกจากกลุ่ม หากมันไม่อาจหนีออกจากหุบเขาทางใต้ได้ ไม่นานที่นี่จะต้องเป็นหลุมฝังศพมันแน่ !”