ภาคที่ 3 บทที่ 111 ปรับใหม่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 111 ปรับใหม่

ภายในป่ามืดครึ้ม กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกำลังเดินตรวจตราอย่างระมัดระวัง

โดยมีผู้เชี่ยวชาญพลังคนหนึ่งอุ้มจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นไว้

จิ้งจอกล่าเนื้ออาจจะดูตัวเล็ก แต่ก็เป็นอสูรร้ายระดับกลาง มีความสามารถในการต่อสู้ไม่เลว สัตว์อสูรตัวจ้อยสูดจมูกฟุดฟิด ท่าทางดูกระวนกระวายนัก บนใบหน้ามีแววไม่อดรนทนรอ

“จิ้งจอกล่าเนื้อเหมือนได้กลิ่นบางอย่าง ทุกคนระวังด้วย ! มันอาจอยู่ใกล้ ๆ นี้ก็เป็นได้” ผู้เชี่ยวชาญพลังที่อุ้มจิ้งจอกล่าเนื้อไว้ร้องขึ้น

แม้จิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นจะมีประสาทการรับกลิ่นที่แม่นยำนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าหาทางรับมือไม่ได้เลย ยาบางชนิดก็สามารถใช้กลบกลิ่นได้ และหากโชคดีพอ ใช้แค่โคลนก็อาจได้ผลแล้ว

หลังจากพุ่งเข้ามาในป่า กลิ่นของชายหนุ่มก็จางลงมาก แม้จะไม่อาจรอดพ้นจากจมูกจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นไปได้ แต่ก็ทำการติดตามตัวได้ยากกว่าเดิม เจ้าอสูรร้ายต้องเดินกลับไปกลับมากว่าจะจับกลิ่นได้ ไม่เช่นนั้นพวกนั้นก็คงไม่ต้องแยกกันออกตามล่าเช่นนี้

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกระโจนมายังต้นไม้ใหญ่ จิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นทำท่าราวกับว่าซูเฉินอยู่ไม่ไกล ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งหยิบศรสัญญาณขึ้นมาเตรียมใช้ส่งสัญญาณให้กลุ่มอื่น ๆ รู้ตัว

ทว่าเมื่อลองตรวจดูรอบ ๆ กลับไม่ทันเห็นว่าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างค่อย ๆ ลืมตาขึ้น รากไม้นับไม่ถ้วนเริ่มเลื้อยไปมากับพื้น มาสังเกตเห็นก็ตอนที่รากไม้พันขาทุกคนไว้แล้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ?”

“เกิดอะไรขึ้น ?”

“บัดซบ เป็นต้นปีศาจดูดเลือด !”

“สวรรค์ ช่วยข้าด้วย !”

“ปล่อยศรสัญญาณ ! เร็วเข้า ส่งสัญญาณเร็ว !”

ท่ามกลางเสียงร้องลั่น รากไม้นั้นเลื้อยไปบนพื้นมาดั่งงู ที่ปลายรากคือปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมเรียงกัน มันอ้าปากกว้างแล้วกัดเข้าที่เป้าหมายจมเขี้ยว

“ไม่ !” ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเริ่มโต้กลับ คนที่มีหน้าที่ส่งสัญญาณก็ปล่อยสัญญาณออกไปเรียบร้อยแล้ว

หัวหน้าคนกลุ่มนี้อยู่ด่านทะลวงลมปราณที่บ่มเพาะร่างกายมาเป็นอย่างดี เขาร้องคำรามขึ้น กล้ามเนื้อบนร่างเริ่มบีบแน่น ก่อนที่ร่างจะขยายออกอย่างรวดเร็ว

แต่แม้จะแกร่งเพียงใด ต้นปีศาจดูดเลือดเองก็แกร่งมากเช่นกัน งูรากไม้ปรากฏเพิ่มขึ้นอีก มันเลื้อยเข้าไปรัดร่างเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใช้ไฟเผาข้าเลย !” คนด่านทะลวงลมปราณร้องขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกคนที่ถูกรากไม้พันธนาการอยู่เช่นกันก็พลันอ้าปากออก ส่งเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากปาก พุ่งเข้าใส่ร่างคนด่านทะลวงลมปราณทันที เผาทั้งร่างและรากไม้ที่พันร่างอยู่ไปพร้อมกัน

หากแต่คนด่านทะลวงลมปราณไม่กลัวเปลวเพลิง ร่างกายเขายังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ขณะโดนไฟคลอก กลับกัน รากของต้นปีศาจดูดเลือดเริ่มปริแตกส่งเสียงดังยามเมื่อถูกไฟแผดเผา

แม้ต้นปีศาจจะทรงพลัง แต่ส่วนมากก็เกรงกลัวเปลวเพลิงนัก

ต้นปีศาจดูดเลือดเองก็เช่นกัน มันหดรากกลับไปเมื่อถูกเปลวเพลิงร้อนระอุ ทว่าคนด่านทะลวงลมปราณกลับยิ่งทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ เขาดิ้นเต็มกำลัง สุดท้ายก็ทำลายรากไม้ออกมาได้

และหากไม่มีใครยื่นมือเข้าแทรก คนกลุ่มนี้ก็คงเอาชนะสัตว์อสูรตัวนี้ได้ไปแล้ว

แต่โชคไม่ดีที่เรื่องราวมันไม่เรียบง่ายเช่นนั้น

ซูเฉินเผยร่างออกจากเงามืด “ราชันร่างแกร่งเหอโฮ่วซาน ช่างสมกับชื่อเสียงของท่านจริง ๆ ข้านับถือความสามารถที่ท่านสามารถประชันกับต้นปีศาจดูดเลือดและความสามารถในการดูดซับไฟของท่านนัก

ซูเฉินปรบมือสองครั้ง “เคราะห์ไม่ดี……”

จากนั้นเขาก็วาดแขน เกล็ดน้ำแข็งเริ่มพัดผ่านอากาศ เกิดเป็นพายุน้ำแข็งขึ้น คือวิชาบุปผาเหมันต์หอมที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นให้จีหานเยี่ยนนั่นเอง

ภายใต้สภาพอากาศเย็นยะเยือก เหล่าเปลวเพลิงถูกกดพลังไว้ในทันที ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยแม้แต่ความเหน็บหนาวก็ยังเสียดแทงเข้าร่างเหอโฮ่วซานอีกด้วย

เหอโฮ่วซานไม่กลัวเปลวเพลิง แต่ความสามารถในการป้องกันร่างจากน้ำแข็งของเขานั้นอ่อนแอมาก กระทั่งยังเกรงกลัวมันอยู่หน่อย ๆ!

และเมื่อพลังงานเย็นทะลุทะลวงเข้าร่าง ก็ส่งผลให้ผิวหนังชั้นนอกมีชั้นน้ำแข็งปกคลุมร่าง ต้นปีศาจดูดเลือด เมื่อได้ไอเย็นมาช่วยเหลือก็ส่งรากเลื้อยเป็นงูเข้าใส่เหอโฮ่วซาน รัดร่างเขาไว้อีกครั้ง จากนั้นใช้ปลายรากแทงเข้าร่างจนเลือดสาดกระเซ็นไปรอบทิศ

ผู้เชี่ยวชาญพลังคนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ตกตะลึงไป เริ่มร้องลั่นออกมา “เมตตาพวกเราด้วย !”

“ไล่ล่าข้าสนุกมากนักใช่หรือไม่ ? ได้เงินรางวัลเป็นหินพลังต้นกำเนิดถึงแสนก้อนเลยเชียว ?” ซูเฉินหัวเราะพลางย่างกรายเข้ามา ตวัดดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ฟันศีรษะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งขาดกระเด็น

หากแต่ก็ยังไม่หยุดมือเท่านั้น ด้วยมันเสือกเข้าแทงผู้เชี่ยวชาญอีกคนที่อยู่ไม่ไกลด้วย

ตวัดดาบครั้งแล้วครั้งเล่า ปลิดศีรษะผู้เชี่ยวชาญพลังไปเรื่อย ๆ ทีละคน

ต้นปีศาจดูดเลือดเห็นซูเฉินสังหารคนก็ไม่ชอบใจนัก อีกทั้งยังโกรธจนส่งเสียงร้อง ส่งรากมากมายยิ่งพุ่งออกมาดูดซับเอาโลหิตจากร่างคน กระทั่งยังกล้าใช้รากเลื้อยไปทางชายหนุ่ม

“เนรคุณนะเนี่ยเจ้า” ซูเฉินกระโดดหลบไปด้านหลัง ถอยให้ห่างจากระยะโจมตีของต้นปีศาจ

เหอโฮ่วซานไม่อาจทานรับไหวอีกต่อไป ฉับพลันได้ยินเสียงดังกร๊อบดังขึ้น กระดูกทั่วร่างของเหอโฮ่วซานก็แตกละเอียด สิ้นใจตายทันที

เมื่อเขาตายแล้ว ซูเฉินก็เรียกวิชาหนวดอากาศจำนวนมากออกมา คว้าเอาร่างเหอโฮ่วซานไว้ ต้นปีศาจดูดเลือดเห็นแล้วก็โกรธเกรี้ยว อยากชิงเอาเหยื่อมันคืนมา ทว่าพริบตาต่อมาที่ชายหนุ่มวาดมือ เหยี่ยวเพลิงฝูงใหญ่ก็พุ่งเข้าปะทะต้นปีศาจดูดเลือด เกิดเปลวเพลิงโหมสว่างจ้าขึ้น

แม้ต้นปีศาจจะทรงพลัง ทว่าพลังก็ต่างกันมากเกินไป เมื่อถูกไฟเช่นนี้มันจึงไหม้จนกลายเป็นต้นไม้กรอบทันที

ซูเฉินมาปรากฏตัวตรงหน้าต้นปีศาจดูดเลือดในพริบตา ปล่อยสว่านทะลวงเกราะด้วยหมัดซ้าย ทลายลำต้นมันเป็นโพรง แล้วดึงเอาผลึกสีเขียวอมน้ำเงินที่มีเส้นใยสีเลือดโคจรอยู่โดยรอบ

มันคือแกนพลังต้นกำเนิดต้นปีศาจดูดเลือด

แกนพลังต้นกำเนิดประเภทนี้หายากนัก กำเนิดขึ้นมาได้จากการดูดซับเอาเลือดสดจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังหายไปได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อซูเฉินได้ของแล้ว เขาก็แหวกอกเหอโฮ่วซานออก

ตอนนี้ร่างเหอโฮ่วซานนั้นไม่เหลือเลือดอยู่อีก ผ่าอกเขาออกมาเช่นนี้จึงไม่ทำให้เลือดกระเด็นออกมาอีก

ซูเฉินยัดแกนพลังต้นกำเนิดในมือเข้าร่างเหอโฮ่วซาน จากนั้นเทยาขวดหนึ่งลงไปแล้วเดินถอยออกมา

ได้ยินเสียงตะโกนเสียงกรีดร้องดังมาจากที่ไหล ๆ คนอื่น ๆ ได้ยินเสียงดังลั่นจึงรีบพากันมุ่งหน้ามายังจุดนั้นทันที

ซูเฉินยกยิ้มมุมปาก “ได้รับของขวัญจากข้ากันแล้วล่ะสิ ?”

พูดจบ เขาก็ค้นร่างไร้ชีวิตที่นอนเกลื่อนอยู่อีกครั้ง ชิงเอาศรสัญญาณแล้วเดินจากไป

ชั่วอึดใจต่อมา คนกลุ่มใหญ่ก็มาถึงสนามต่อสู้ที่ยังควันคลุ้ง พบว่าที่พื้นมีศพนอนเรียงรายไปทั่ว เห็นแล้วทุกคนก็ชะงักไป

“ตายหมดแล้วขอรับ กระทั่งเหล่าเหอยังไม่รอด” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม

เหอโฮ่วซานนอนสงบนิ่งอยู่กับพื้น ทำให้ทุกคนทั้งโกรธ กลัว และเศร้าโศก

เป็นตอนนั้นเองที่นิ้วเหอโฮ่วซานกระตุกกึก

คนที่ดูมีไหวพริบที่สุดในกลุ่มคนร้องขึ้น “เขายังไม่ตาย !”

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสองสามคนรีบพุ่งเข้าไปดู จากนั้นก็ร้องยินดีออกมา “เขายังไม่ได้ ! เหล่าเหอยังไม่ตาย…… อ๊ากกกก !”

หากแต่พริบตาต่อมาพวกเขาก็ต้องกรีดร้องลั่น

ด้วยมีมือสองข้างที่ชุ่มเลือดทะลวงทะลุแผ่นหลังพวกเขา

ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น

จากนั้นเขาก็โยนร่างทั้งสองทิ้งไปไม่ไยดี

“เกิด…… เกิดอะไรขึ้น ?” ทุกคนจ้องเหอโฮ่วซานด้วยความตกใจ

เหอโฮ่วซานที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้น ทั่วร่างเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่เป่งขึ้นเห็นชัดเจน ผิวกายเปล่งแสงสีเลือดจาง ๆ ออกมา นัยน์ตามืดมิดราวกับหลุมดำ

เขาดูไร้ชีวิตดูว่างเปล่า แต่กลับยังถือครองกลิ่นอายน่าเกรงขาม

“อะไรกันน่ะ ?”

“ปีศาจ !”

“เป็นปีศาจ !”

คนทั้งหลายตื่นกลัวกรีดร้องด้วยความหวาดหวั่น

ภาพสุดท้ายคือภาพที่ร่างยักษ์ของเหอโฮ่วซานเดินตึงมาทางพวกเขา จากนั้นก็ถูกทำลายทิ้งเสียราบคาบ……