ภาคที่ 2 บทที่ 200 อยู่ต่อ

มู่หนานจือ

หลี่เชียนยิ้มแห้ง และนั่งลงข้างกายเจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้รังเกียจพี่ชายของเจ้า นี่ข้าก็กลัวว่าเขาจะไม่ประทับใจในตัวข้าไม่ใช่หรือ? หากเขากลับถึงเมืองหลวงและประกาศว่าข้าเป็นคนแบบนั้น ท่านลุงท่านป้าของเจ้า แล้วก็เสด็จยายของเจ้าก็จะยิ่งไม่ชอบข้า…”

เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่าคนสองคนที่ปกติก็ถือว่าสุขุมเยือกเย็นนี้จู่ๆ กลายเป็นเด็กไปได้อย่างไร

นางทำหน้าเย็นชาและเอ่ยว่า “สนุกไหม? เล่นซ่อนแอบกับท่านพี่ สนุกไหม?”

หลี่เชียนเอาแต่ร้องว่าปรักปรำ และเอ่ยว่า “ข้ามีธุระมาหาเจ้าจริงๆ แต่ท่านกั๋วกงน้อยกลับคิดว่าข้าจะนัดพบกับเจ้าเป็นการส่วนตัว…”

นั่นเป็นเพราะต่อให้เขามีธุระมาหานางจริงๆ เขาก็จะทำเหมือนเป็นการนัดพบกันส่วนตัวอยู่ดีกระมัง?

เจียงเซี่ยนแอบเงียบอยู่ในใจไปสองสามอึดใจ และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นเจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร?”

หลี่เชียนนั่งอยู่บนตั่งเล็กข้างเตียงเจียงเซี่ยน

หลิวตงเยว่รีบไปรินชาให้หลี่เชียน เขามองนางด้วยสายตาแวววาว พลางเอ่ยว่า “เป่าหนิง เจ้าไม่กลับเมืองหลวงได้หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนอึ้งไป

หลี่เชียนทำหน้าจริงจังเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เป่าหนิง ถึงข้าจะไม่มีโอกาสถามเฉาเซวียนเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เฉาเซวียนเอ่ยตอนที่รีบมานั้น ข้ายังจำได้หมด เขาบอกว่าเขาได้รับมอบหมายจากไทฮองไทเฮาให้มาประกาศราชโองการ ก็แสดงว่าไทฮองไทเฮาเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องแต่งงานของพวกเรา เจ้าก็รู้เช่นกันว่า หลายปีนี้ราชสำนักเสื่อมถอย ราชโองการที่ส่งไปเหลียวตงก็ส่งไปไม่ค่อยถึง ไม่อย่างนั้นตอนนั้นเฉาไทเฮาก็คงจะไม่เลือกให้อ๋องเหลียวเข้าเมืองหลวงมาอวยพรวันเกิดให้นาง เพราะอยากฉวยโอกาสเหน็บแหนมเขาสักรอบเช่นกัน ข้ากลัวว่าหลังจากเจ้ากลับเมืองหลวงแล้วฝ่าบาทเป็นบ้าขึ้นมา ไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องพระราชทานงานสมรสอย่างเด็ดขาด…นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างมากข้าก็แค่เอาราชโองการไปโวยวายสักรอบ สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือ ฝ่าบาทคิดมิดีมิร้ายกับเจ้า…เป่าหนิง” เขาพูดไปก็ดึงแขนเสื้อของเจียงเซี่ยน เสียงก็เบาลงไปด้วย “ข้ารู้ว่าคนที่เจ้าเป็นห่วงมากที่สุดคือไทฮองไทเฮา ข้าบุ่มบ่ามพาเจ้าออกมาแบบนี้ ตอนที่เจ้าจากมาก็ไม่มีแม้แต่โอกาสบอกไทฮองไทเฮาด้วยซ้ำ เวลานี้จะออกเรือนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอำลาไทฮองไทเฮาที่เลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนโตและไทฮองไท่เฟยที่ดูแลเจ้าเป็นประจำ คำขอของข้าเกินไปหน่อย แต่ข้ากังวลจริงๆ เจ้าจะทบทวนข้อเสนอของข้าอย่างละเอียดสักหน่อยได้หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนประหลาดใจ

ให้นางแต่งงานกับหลี่เชียนแบบนี้ นางไม่เคยคิดด้วยซ้ำ

นางคิดว่า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอจนหลังจากไทฮองไทเฮาสวรรคต และนางไว้ทุกข์ให้ไทฮองไทเฮาเสร็จแล้วค่อยแต่งงาน

เจียงเซี่ยนไม่ได้คิดอะไรมากและปฏิเสธทันที “อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะตั้งฮองเฮาแล้ว เขายังมีเวลาสนใจข้าที่ไหนกัน? เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว และไทฮองไทเฮาก็อายุมากแล้ว ข้าไม่อยากแยกจากไทฮองไทเฮาเวลานี้ เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอีก ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับเมืองหลวงกับท่านพี่พรุ่งนี้ เรื่องแต่งงานของพวกเรา ไว้ข้าอายุครบสิบห้าปีแล้วค่อยหารือกันเรื่องวันแต่งงาน”

น้ำเสียงของนางเฉียบขาด หลี่เชียนรู้ว่าเวลานี้หากเขาเอ่ยเรื่องนี้อีก ก็มีแต่จะทำให้เจียงเซี่ยนหงุดหงิด จึงไม่เอ่ยถึงแล้ว และเอ่ยถึงการพระราชทานงานสมรสในครั้งนี้ “เจ้าว่าทำไมจู่ๆ ไทฮองไทเฮาถึงพระราชทานงานสมรสให้พวกเรา? ข้ายังคิดว่าไทฮองไทเฮาจะเกลียดข้าแทบตายแล้ว และออกพระราชเสาวนีย์สั่งให้ข้าฆ่าตัวตายเสียให้สิ้นเรื่องไปเลย…”

ถือว่าเจ้ายังรู้จักตนเอง!

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนครั้งหนึ่ง นางไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก

คิดว่าเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ให้นางอยู่ต่ออีก นางก็ไม่มีอะไรกวนใจมากนัก

ในความทรงจำของนาง แม้หลี่เชียนมักจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้นางโกรธ และทำสิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจ ทว่าหากนางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ปกติเขาก็จะไม่คัดค้านนาง ไม่อย่างนั้นนางก็ทนเขาไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว

เรื่องที่ผ่านไปแล้ว เจียงเซี่ยนก็ไม่อยากพูดกับหลี่เชียนอีกเช่นกัน นางจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “เมื่อครู่ข้าคิดถึงเรื่องหนึ่ง เจ้ารับราชโองการอย่างดีใจมากแบบนี้ ต่อให้เฉาเซวียนเป็นคนโง่ก็รู้ว่าตระกูลหลี่กับตระกูลเจียงไปมาหาสู่กัน เจ้าคิดดีหรือยังว่าจะอธิบายกับเฉาเซวียนอย่างไร?”

แต่หลี่เชียนกลับยังคงมักจะตอบไม่ตรงคำถามต่อหน้านางเหมือนชาติก่อนเช่นเดิม

เขาถามนางด้วยนัยน์ตาแวววาวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าดีใจมากตอนที่รับราชโองการ”

แน่นอนว่าหลิวตงเยว่เป็นคนบอกนาง

เจียงเซี่ยนเม้มปาก ไม่พูดไม่จา

หลิวตงเยว่บอกนางว่า ตอนที่หลี่เชียนรับราชโองการ เขาบอกเฉาเซวียนว่าขอบคุณมากอย่างต่อเนื่อง แถมยังบอกว่าต่อไปจะมาแก้บนที่วัดป่าโอสถทุกปี จะปิดทองให้เหล่าพระโพธิสัตว์ของวัดป่าโอสถทั้งองค์…และลืมแม้กระทั่งมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดอย่างการขอบคุณฮ่องเต้

เฉาเซวียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้เตือนหลี่เชียนเช่นกัน พอวางราชโองการลงในมือของหลี่เชียน ก็ตามอวิ๋นหลินกับจงเทียนอี้ไปพักผ่อนในเรือนที่รับรองคนที่มาไหว้พระที่วัดอีกเรือนทันที

หลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนยิ้มอย่างเบิกบานใจตลอด ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขจนปิดไม่มิด ก็เอาแต่มองเจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ ต่อไปข้าจะกตัญญูต่อไทฮองไทเฮา เจิ้นกั๋วกง และฮูหยินฝางกับเจ้า ข้าขอบคุณไทฮองไทเฮามากจริงๆ ไทฮองไทเฮาสมกับที่เป็นผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว จึงเข้าใจทุกเรื่องอย่างทะลุปรุโปร่ง…เจ้าว่า ตอนที่ข้าไปเมืองหลวง ถวายอะไรให้ไทฮองไทเฮาดี? ในวังมีข้อห้าม ข้าไม่กล้าถามว่าไทฮองไทเฮาโปรดอะไร…” เขายิ้มอย่างโง่ๆ ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาได้รับพระราชทานงานสมรสแล้ว จึงเอ่ยเรื่องนี้ซ้ำตลอด “เจ้าว่า ทำไมจู่ๆ ไทฮองไทเฮาถึงคิดที่จะพระราชทานงานสมรสให้พวกเรา? ในเมืองหลวงคงจะไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่? แล้วยังเฉาเซวียน เขาเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยได้อย่างไร…”

เจียงเซี่ยนขี้เกียจที่จะฟังเขาพูดเรื่องนี้ไม่หยุดเหมือนคนโง่แล้ว จึงเตือนเขาว่า “เจ้าคิดดีหรือยังว่าจะบอกเฉาเซวียนอย่างไร?”

“ยัง!” หลี่เชียนเอ่ยอย่างพาลมากว่า “ข้าเห็นเขาง่วงมากและสัปหงกตลอด เมื่อครู่ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็หลับแล้ว จึงต้องให้คนหามเขากลับไปพักผ่อนที่ห้อง ท่านพี่ของเจ้าก็บังคับให้ข้าดื่มเหล้าตลอด และเขาไม่เพียงแต่ลงมือด้วยตนเอง ยังให้องครักษ์ที่เขาพามาบังคับให้ข้าดื่มเหล้าด้วย หากข้าไม่ดื่ม เขาก็จะบอกว่าข้าไม่ไว้หน้าเขา ข้าให้ผู้ติดตามข้างกายดื่มแทนก็ไม่ได้ หากไม่ใช่ว่าข้าไหวพริบดี แกล้งทำเป็นเมาแล้วล้มลงไปใต้โต๊ะเหล้า ตอนนี้ข้าก็ยังถูกเขาบังคับให้ดื่มเหล้าอยู่ จนไม่มีเวลาว่างไปคิดเรื่องเฉาเซวียนด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อข้ารับเงินของเฉาไทเฮามาแล้ว ก็ย่อมต้องรักษาความปลอดภัยให้นาง ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ขัดกับสิ่งที่จวนเจิ้นกั๋วกงต้องการ ต่อให้วันไหนเจิ้นกั๋วกงเปลี่ยนใจแล้ว ข้าก็จะมอบคนที่ช่วยฝึกให้เฉาไทเฮาให้เฉาเซวียน ถึงเวลานั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับฝีมือแล้ว…”

เจียงเซี่ยนหมดคำพูด

นางก็รู้ว่า เจ้าคนสารเลวนี่พอเกี่ยวพันถึงเรื่องแบบนี้ก็จะคิดเก่งเป็นพิเศษ

ทั้งที่รู้ดีว่าเขาทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่อาจสบายใจได้ นางเตะตั่งเล็กที่เขานั่งอยู่ และเอ่ยว่า “ดึกแล้ว เจ้าต้องกลับไปแล้วหรือเปล่า? จะอธิบายกับเฉาเซวียนอย่างไร เจ้าก็ต้องปรึกษาวิธีพูดกับผู้ช่วยของเจ้าก่อนเช่นกัน!”

หลี่เชียนทำหน้าทะเล้นและยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าคุยกับข้าอีกหน่อยสิ! หากพูดถึงเรื่องออกความคิด ยังมีความคิดของใครดีกว่าเจ้าอีกหรือ ข้าไม่มาหาเจ้า แล้วไปหาพวกผู้ช่วยทำไม?”

เจียงเซี่ยนโกรธเป็นอย่างมาก และเอ่ยว่า “ที่แท้ข้ายังเป็นคนที่เก่งที่สุดในแคว้นด้วย? เจ้าจะไม่มีเหตุผลก็ให้มันน้อยๆ หน่อย เจ้าไม่กลับไปอีก ไม่กลัวท่านพี่หันกลับมาหรือ?”

หลี่เชียนหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ สายตามีความได้ใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ข้าใช้แผนการหลบหนีที่ทำให้คนอื่นไม่ทันรู้ตัว คนที่ท่านพี่อาลวี่ไล่ตามคือจงเทียนอี้ สองทัพประจันหน้ากัน จงเทียนอี้ต้องสู้ท่านพี่อาลวี่ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หากพูดถึงการต่อสู้เพียงลำพังและการตามรอยไปไกลมากนั้น ท่านพี่อาลวี่ยังสู้จงเทียนอี้ไม่ได้จริงๆ พวกเขาไม่มีทางตัดสินแพ้ชนะกันได้ภายในหนึ่งชั่วยาม”

ใครจะรู้ว่าเสียงพูดของเขายังไม่ทันจางหาย เจียงเซี่ยนก็ได้ยินเสียงที่กระวนกระวายและดังกระชั้นของปิงเหอดังขึ้นตรงหน้าต่าง “นายท่าน ท่านกั๋วกงน้อยมาแล้วขอรับ!”