ตอนที่ 71 เขาไม่ใช่ฉินเทียน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ห้องเล็กด้านในที่ว่านี้แท้จริงแล้วเป็นห้องลับห้องหนึ่ง ไม่ทราบเช่นกันว่าฉินเฟินสัมผัสตรงจุดใดของผนังว่างเปล่าก่อนที่ประตูลับของห้องจะเปิดออก

ห้องนี้เป็นห้องลับที่ติดกับห้องรับรองของเรือนหลัก หากมองจากภายนอกจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีห้องเล็ก ๆ ถูกซ่อนอยู่ตรงจุดนี้

เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนเข้ามาในห้องลับนี้แล้ว ประตูก็จะปิดฉับลงเองโดยทันที

ภายในห้องลับมีเก้าอี้และเบาะนุ่มสบายถูกจัดวางเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมอยู่มากมาย คล้ายกับว่าที่นี่คือห้องที่ถูกใช้ในการประชุมลับบางอย่าง

“นั่งก่อน”

ฉินเฟินกวาดตามองทุกคนก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งลง

“อวี้โม่ แม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ฉินเฟินมองดูฉินอวี้โม่และถามเข้าประเด็นอย่างไม่รอช้า

“หายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้รับรู้

ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว ฉินเฟินจะลุกขึ้นยืนในทันที ใบหน้าของเขามีอาการตื่นเต้นปรากฏให้เห็นเด่นชัด

เมื่อเห็นท่าทีของฉินเฟิน ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เรื่องที่มารดาของนางหายตัวเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้นำตระกูลที่ขับไล่บิดาของนางออกจากตระกูลอย่างนั้นหรือ ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ?

เมื่อมองเห็นแววตางุนงงของหลานสาวผู้มาใหม่ ฉินเฟินก็รีบนั่งลงก่อนจะเอ่ยปากไขความกระจ่างให้สาวน้อย

“เสี่ยวอวี้โม่ แท้จริงแล้วฉินเทียนที่อยู่ในเมืองหลิงซีไม่ใช่บิดาของเจ้า !”

ฉินเฟินกล่าวเช่นนั้นออกมาอย่างปุบปับทำให้ฉินอวี้โม่ยิ่งประหลาดใจหนักขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้แววตาของสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกำลังเต็มไปด้วยความตกตะลึง งุนงง และเต็มไปด้วยคำถาม

ฉินเฟินเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของหลานสาว เขาเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างช้าๆ

ฉินเทียนคือบุตรชายคนโตของฉินเฟินและเป็นบุตรชายที่เขารักมากที่สุด

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในตอนที่ฉินเทียนได้พบกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไม่มีภูมิหลังหรือมีตระกูลใหญ่คอยให้การสนับสนุน ในคราแรกที่ได้เห็นฉินเทียนพาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเข้ามาในจวนและยืนกรานจะแต่งงานกับนาง ทุกคนในตระกูลฉินต่างก็ไม่เห็นด้วย

ฉินเทียนเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์สูงส่งมาก อีกทั้งรูปลักษณ์ของเขาก็งามสง่าเหนือผู้ใด ในเวลานั้น ตระกูลใหญ่น้อยทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋นต่างก็ต้องการจะส่งบุตรีมาให้ตบแต่งเกี่ยวดองกับฉินเทียนแทบทั้งสิ้น ฉินเทียนในวัยหนุ่มจึงนับว่ามีตัวเลือกมากมาย  นอกจากนั้นยังไม่มีผู้ใดในตระกูลทราบที่มาของสตรีผู้มีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเลย ฉะนั้นจะให้พวกเขาเห็นด้วยกับการแต่งงานของว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปกับสตรีลึกลับไม่ทราบที่มาในทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความดื้อรั้นไม่ฟังผู้ใดของฉินเทียนจึงไม่มีใครหยุดเขาได้ สุดท้ายตระกูลฉินจึงต้องรับอวี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นสะใภ้ และด้วยความดีของนาง ในที่สุดพวกเขาทุกคนก็ค่อย ๆ เปิดใจยอมรับสะใภ้ลึกลับผู้นี้ได้

หลังจากนั้นชีวิตคู่ของพวกเขาก็ราบรื่น พวกเขารักกันมาก คอยดูแลกันและกันเป็นอย่างดี ไม่นานหลังจากนั้นบุตรชายคนแรกของพวกเขา*–ฉินอี้เฟย* ก็ถือกำเนิด

ในเวลานั้นทั่วทั้งตระกูลฉินต่างก็มีความสุขกันถ้วนหน้า ทุกคนในตระกูลอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่เคยมีข้อพิพาทใด ๆ ที่ทำให้ต้องทุกข์ร้อน

อย่างไรก็ตาม หลายปีต่อมา เมื่อถึงคราที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตั้งท้องฉินอวี้โม่ก็มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น

ในตอนนั้นฉินเทียนโกรธมากจนต้องพาภรรยาพร้อมกับบุตรในครรภ์ที่ยังไม่คลอดและบุตรชายตัวน้อย  หนีออกจากตระกูลฉินในเมืองไป๋อวิ๋นไปตั้งรกรากอยู่ยังเมืองหลิงซีที่แสนห่างไกล

แม้ว่าในสายตาของผู้คนภายนอกจะดูเหมือนกับว่าฉินเทียนและฉินเฟินมีปัญหาขัดแย้งกันครั้งใหญ่จนฉินเฟินขับไล่ฉินเทียนออกไปจากตระกูลด้วยโทสะ  ทว่าแท้จริงแล้ว ความจริงของเรื่องนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

ในตอนที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตั้งท้องฉินอวี้โม่นั้น นางและฉินเทียนเกิดฝันร้าย ซึ่งเป็นฝันที่น่ากลัวอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นความฝันที่เหมือนกันทั้งสองคน

ในความฝันนั้น  พวกเขาเห็นกลุ่มคนชุดดำกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป คนพวกนั้นลงมือเข่นฆ่าทุกคนในตระกูลฉินอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเพื่อชิงเอาตัวทารกน้อยที่เพิ่งจะคลอดของพวกเขาไปก่อนจะฆ่าพวกเขาและฉินอี้เฟย

แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่ก็เป็นฝันที่ชัดเจนมาก อีกทั้งพวกเขายังฝันเหมือนกันทั้งคู่ทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนกลัวว่ามันจะเป็นลางร้าย

ฉินเทียนมีอาจารย์ที่เขาเคารพมากคนหนึ่งนามว่า*–เซียวเหยา* บุรุษชราผู้นี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงระดับพลังของเขา  รู้เพียงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของแผ่นดินหวนหลิงก็ยังยากที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเขา

ผ่านไปไม่กี่วันหลังจากที่สองสามีภรรยาฝันร้าย ผู้เฒ่าเซียวเหยาก็มาเยือนจวนตระกูลฉินเพื่อบอกกล่าวบางสิ่งที่ทำให้ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต้องตกตะลึง

ผู้เฒ่าเซียวเหยาบอกฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นว่าในยามที่บุตรในครรภ์ของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถือกำเนิด ความโชคร้ายจะเข้ากล้ำกรายและจะนำพาหายนะมาสู่ทุกคนในตระกูลฉิน  ทางแก้เดียวก็คือพวกเขาจะต้องหาเมืองเล็ก ๆ เพื่อหลบซ่อนตัวชั่วคราว รอจนกว่าทารกในครรภ์เติบโตขึ้นและมีพลังมากเพียงพอ พวกเขาจึงจะสามารถกลับมาอยู่ในตระกูลฉินได้อย่างปลอดภัย

ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเชื่อในคำทำนายของผู้เฒ่าเซียวเหยาอย่างไร้ข้อสงสัย หลังจากบอกเล่าเรื่องนี้กับฉินเฟิน พวกเขาก็สร้างละครฉากใหญ่ด้วยการแสร้งทะเลาะและมีปัญหากับท่านผู้นำตระกูลครั้งใหญ่

จากนั้นฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ออกเดินทางไปเมืองหลิงซี  เมื่อแรกไปถึง ครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเขาก็อยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุข อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคลอดทารกน้อยเป็นบุตรสาวน่าตาน่ารักน่าชังที่นางและสามีตั้งชื่อให้ว่า*–ฉินอวี้โม่*

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ฉินอวี้โม่อายุได้สองขวบ ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังเดินทางกลับจากงานเทศกาลก็ถูกกลุ่มคนชุดดำลอบทำร้ายระหว่างทาง คนเหล่านั้นพยายามสังหารฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋น

ฉินเทียนเอาตัวเข้าแลกกับกลุ่มของคนร้ายเพื่อเปิดโอกาสให้ภรรยาพาบุตรชายและบุตรสาวหลบหนี หลังจากนั้นฉินเทียนก็หายตัวไปนานถึงสามวันก่อนจะกลับมายังจวนตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีอีกครั้ง

เมื่อเห็นฉินเทียนกลับมาพร้อมด้วยบาดแผลทั่วทั้งร่าง อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในเวลานั้นก็ไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใด นางรีบเรียกหาหมอมารักษาและปรนนิบัติดูแลสามีอย่างดีเพื่อให้ฟื้นคืนมาเป็นปกติให้ได้

ไม่นานหลังจากนั้นฉินเทียนก็ได้สติ …ทว่าการฟื้นคืนมาของเขาในครั้งนี้กลับต่างไปจากเดิม

ในตอนแรกก็ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างออกไปจากเดิมมากนัก ฉินเทียนผู้นั้นยังคงดีกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินอี้เฟย และฉินอวี้โม่เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็พาเยี่ยเสี่ยวตี๋พร้อมด้วยบุตรชายหญิงของนางเข้ามาอยู่ภายในจวน

เป็นตอนนั้นเองที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเริ่มสงสัยในตัวฉินเทียน

นางและฉินเทียนรักกันมาก และนางก็ยังรักเขาอยู่แม้ว่าเขาจะพาสตรีคนอื่นเข้าบ้าน  ยิ่งกว่านั้นฉินเทียนเองก็ยังดีเหมือนเดิม เขายังคงแสดงออกว่ารักอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและบุตรชายบุตรสาว  ทว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นในตอนนั้นกลับมองไม่เห็นความรักในแววตาของฉินเทียนอีกแล้ว

ก่อนหน้านี้ฉินเทียนเคยบอกว่าทั้งชีวิตนี้เขาจะมีอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพียงผู้เดียวเท่านั้น นางเองก็รู้จักฉินเทียนดี หากฉินเทียนออกปากเช่นนั้นแสดงว่าเขามีความตั้งใจจริงและจะไม่มีทางผิดคำพูดอย่างเด็ดขาด ซึ่งการที่เขาพาเยี่ยเสี่ยวตี๋เข้ามาในบ้านนั่นแสดงให้เห็นว่าเขาอาจจะเป็นฉินเทียนตัวปลอม !

หลังจากนั้นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็เริ่มสืบหาความจริงเกี่ยวกับฉินเทียนผู้นี้

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากมายทั้งดีและร้าย ดังนั้นนางจึงพยายามหลอกถามไถ่ในเรื่องที่ผ่าน ๆ มาเพื่อทดสอบเขา

หลังจากการทดสอบหลายครั้ง ในที่สุดนางก็ได้รู้ผล และผลลัพธ์นั้นก็ทำให้ฮูหยินตระกูลฉินในตอนนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมากเพราะได้ค้นพบว่าฉินเทียนผู้อยู่ร่วมกันในปัจจุบันแท้จริงแล้วไม่ใช่ฉินเทียนที่นางเคยรู้จัก

ในเวลานั้นเป็นเพราะฉินอวี้โม่ยังเล็กมาก และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่ค่อยชอบใช้งานบ่าวรับใช้ นางดูแลบุตรสาวด้วยตัวของนางเองทำให้ในช่วงเวลานั้นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้ร่วมหลับนอนกับฉินเทียน

เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่ฉินเทียน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในตอนนั้นก็หาวิธีติดต่อกับฉินเฟินที่อยู่ในนครไป๋อวิ๋น

หลังจากที่ฉินเฟินได้ทราบข่าวเขาก็ตกใจมากและเกิดความกังวลไม่น้อย

ทว่าเขาก็บอกให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนิ่งเฉยไว้ก่อน เขาปลอบให้นางอย่าเพิ่งตื่นตระหนกและพยายามอย่าทำตัวให้แปลกออกไปจากเดิม ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผู้นำตระกูลฉินเริ่มส่งคนไปสืบเรื่องของฉินเทียน

หลังจากการสืบสวนแล้ว ฉินเฟินก็พบว่าฉินเทียนผู้นั้นไม่ใช่บุตรชายของเขาจริง คนคนนั้นเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ปลอมตัวมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

หลังจากรู้เช่นนี้ ฉินเฟินก็คาดเดาว่าฉินเทียนตัวจริงจะต้องหายตัวไปตั้งแต่ตอนที่ต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำก่อนหน้านั้น  และการหายตัวไปของเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้เป็นแน่

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่อยู่ในเมืองหลิงซีนั้นเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด นางพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อจะอยู่สืบหาความจริง

ดังนั้นแล้วในตอนที่อยู่ในจวนนางจึงไม่เคยแสดงความอิจฉาริษยาต่อเยี่ยเสี่ยวตี๋เลย นางพยายามทำตัวเป็นภรรยาที่ใจกว้างและแสนอ่อนโยน

ขณะเดียวกันนางก็ทำการสืบหาความจริงอย่างลับ ๆ นางต้องการล้วงเอาข้อมูลหรือความลับออกมาจากปากฉินเทียนตัวปลอมให้ได้มากที่สุด แต่ถึงแม้ว่าฉินเทียนตัวปลอมจะดูเป็นบุรุษเรียบง่าย ทว่าเขาก็ระวังตนเองเสมอ

ไม่นานนักเขาก็เริ่มสงสัยอวี๋เสี่ยวอวิ๋น

ผนวกกับในช่วงเวลานั้นมีข่าวว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ไร้พรสวรรค์ไม่สามารถฝึกยุทธ์หรือใช้พลังมายาได้  ในตอนนั้นเองฉินเทียนตัวปลอมจึงได้โอกาส เขาอ้างเหตุผลว่าอับอายเรื่องบุตรสาวเพื่อที่จะทำตัวเหินห่างจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินอวี้โม่และไล่สองแม่ลูกออกไปอยู่เรือนหลังเล็ก

เกือบหกปีก่อน ฉินอี้เฟยจงใจแสดงพรสวรรค์ในการหลอมโอสถจนในที่สุดเขาก็ถูกเรียกตัวโดยสมาคมโอสถสำนักงานใหญ่ในเมืองไป๋อวิ๋นภายใต้การรู้เห็นของฉินเฟิน …แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแผนของฉินเฟินและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพื่อส่งตัวฉินอี้เฟยกลับไปยังเมืองหลวง  ซึ่งก็แน่นอนว่าอำนาจและอิทธิพลบางประการแห่งผู้นำตระกูลฉินก็มีส่วนช่วยให้การเรียกตัวครั้งนี้เป็นไปอย่างแนบเนียนด้วย

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยายามอย่างหนักจนฉินเทียนตัวปลอมไม่ติดใจสงสัยในเรื่องนี้มากนัก   และการสืบสวนหาความจริงก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาถึงห้าปี

ในห้าปีที่ผ่านมานี้ มิใช่ว่าฉินเฟินไม่อยากจะพาตัวฉินอวี้โม่หลานสาวตัวน้อยของเขาออกมาจากจวนตระกูลฉินที่หลิงซี

แต่เป็นเพราะพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ไม่ดี ดังนั้นจึงไม่มีข้ออ้างใด ๆ ที่จะให้เขาเรียกตัวนางกลับไปได้ หากดึงดันจะพาฉินอวี้โม่ไปยังเมืองหลวงก็รังแต่จะทำให้ฉินเทียนตัวปลอมเกิดความสงสัยและไม่อนุญาตให้นางไป

ที่สำคัญพวกเขายังไม่รู้ว่าฉินเทียนตัวปลอมมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ตระกูลฉินสาขาใหญ่จึงไม่กล้าจะใช้กำลังชิงตัวฉินอวี้โม่มา

ที่สำคัญ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นยังต้องอยู่เพื่อรีดเค้นเอาข้อมูลออกมาจากฉินเทียนตัวปลอมให้ได้มากที่สุด ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจให้ฉินอวี้โม่อยู่ที่นั่นต่อเพื่อไม่ให้ฉินเทียนตัวปลอมเกิดความสงสัย และอย่างน้อยก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจนในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์อย่างที่ฉินอวี้โม่เล่ามา

ในช่วงที่พวกเขาขาดการติดต่อจากทางอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไป พวกเขาก็กำลังคิดจะบุกไปที่เมืองหลิงซีเพื่อพาตัวฉินอวี้โม่กลับมา ทว่าก่อนที่พวกเขาจะดำเนินการ ฉินอีเฟิงที่กลับมาจากป่าแสงจันทร์ก็นำข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มาแจ้งให้ทราบเสียก่อน และเขายังบอกอีกด้วยว่านางจะมาที่ตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋นในอีกไม่นาน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเฟินและฉินอี้เฟยก็รู้สึกเบาใจไปได้บ้าง พวกเขาจึงยกเลิกความคิดที่จะบุกไปยังเมืองหลิงซี

หลังจากได้ฟังเรื่องที่ฉินเฟินเล่า ฉินอวี้โม่ก็สงบใจและตั้งสติพยายามวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมด หากว่านางคาดเดาไม่ผิด มีความเป็นไปได้สูงมากว่าที่ฉินเทียนตัวปลอมเข้ามาสวมรอยในตระกูลฉินอาจจะเกี่ยวข้องกับกายเทพมายาของนาง

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเวลานี้นางก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดบุรุษที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นบิดาถึงได้ทำกับตัวนางและมารดาเช่นนั้น และคุณหนูผู้พลัดพรากแห่งตระกูลฉินก็ได้แต่ชื่นชมอวี๋เสี่ยวอวิ๋นในความเฉลียวฉลาดและมุมานะของนาง

ฉินอวี้โม่คิดว่าหากไม่ใช่เพราะคุณหนูสี่คนก่อนไม่สามารถฝึกฝนพลังมายาได้ หรือหากนางมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด บางทีอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอาจจะบอกความจริงเรื่องนี้กับคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว

“อวี้โม่ เจ้าคงจะพอเดาได้แล้วใช่ไหมว่าเหตุใดข้าถึงตื่นเต้นในตอนที่เจ้าบอกว่ามีคนมาช่วยมารดาของเจ้าไป”

ฉินเฟินมองดูฉินอวี้โม่อย่างพิจารณา เมื่อได้เห็นใบหน้างามที่สงบเรียบเฉย ไม่มีแววหวาดกลัวหรือโกรธแค้น ผู้นำตระกูลสูงอายุก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลานสาวของเขาไม่ใช่คนธรรมดาโดยแท้ ถ้าเป็นดรุณีอายุน้อยธรรมดาทั่วไป เมื่อได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้ก็อาจจะกลัวและทำใจยอมรับไม่ได้ ทว่าหลานสาวผู้นี้กลับสามารถสงบใจได้อย่างสมบูรณ์และท่าทางที่ดูสุขุมนั้นก็แสดงให้เห็นว่านางกำลังพยายามวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดอยู่

สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นบุตรสาวของฉินเทียน และเป็นหลานสาวของฉินเฟินผู้นี้ !

ฉินเฟินอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างภาคภูมิ หัวใจของเขากำลังพองโตเพราะเป็นสุข

“ท่านปู่กำลังจะบอกว่าบางทีอาจจะเป็นท่านพ่อที่เป็นคนช่วยท่านแม่เอาไว้อย่างนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฉินเฟินเล่า นางก็รู้สึกได้ถึงความรักของผู้เป็นปู่ที่มีต่อพวกนาง เขาไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งพวกนางเลย ยิ่งไปกว่านั้นสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูยังสัมผัสได้ถึงความรักอันบริสุทธิ์และความห่วงใยที่จริงแท้จากแววตาของบุรุษชราผู้ซึ่งเป็นทั้งบิดาของลูกชายลูกสะใภ้และเป็นปู่ของหลาน ๆ อย่างชัดเจน

“มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว แต่ก็ยังไม่มั่นใจเต็มสิบ”

ฉินเฟินตอบพลางพยักหน้าก่อนจะส่ายศีรษะ

หากเป็นฉินเทียนที่ช่วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปจริง ๆ เหตุใดเขาถึงไม่ส่งข่าวบอกหรือติดต่อกับพวกเขาเลย ? หากว่าจะสืบข่าวเกี่ยวกับฉินเทียนตัวปลอมอยู่ที่เมืองหลิงซี แต่เพียงแค่ส่งข่าวอย่างลับ ๆ มาบอกให้ตระกูลใหญ่ในนครไป๋อวิ๋นทราบเช่นนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ยากเย็นจนไม่สามารถทำได้

แต่ถ้าหากผู้ที่ช่วยนางไปไม่ใช่ฉินเทียน ทว่าเท่าที่พวกเขาทราบ บนดินแดนหวงหลิงแห่งนี้ทั่วทั้งแผ่นดิน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่มีทั้งญาติพี่น้องและสหาย แล้วผู้ใดเล่าจะยื่นมือเข้าช่วยนาง ?

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่บุคคลผู้ให้การช่วยเหลือมารดาของนางไปจะไม่ใช่ฉินเทียนตัวจริง อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือคนผู้นั้นน่าจะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู ยิ่งกว่านั้นคนผู้นั้นจะต้องรู้จักอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นอย่างดีและคอยจับตามองนางมาตลอดด้วย

“ท่านพ่อ มีความเป็นได้หรือไม่ว่าคนที่ช่วยพี่สะใภ้ไปจะเป็นทางฝั่งตระกูลของพี่สะใภ้”

ฉินหยางเอ่ยปากแสดงความเห็นอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ฉินเทียนคือผู้ที่บอกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นเด็กกำพร้าและทุกคนก็เชื่อสิ่งที่เขากล่าว อย่างไรก็ตามการสืบสวนในหลายปีที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเขาคิดว่า บางทีในเรื่องนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉินเทียนกล่าวไว้ก็ได้

เพราะถ้าหากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นเพียงเด็กกำพร้า แล้วเหตุใดนางถึงได้ดูมีความกล้าหาญมากมายถึงเพียงนั้น ? สตรีธรรมดาที่ทราบว่าสามีของตนหายตัวไปและมีผู้อื่นสวมรอยแทนจะยังคงทำตัวเป็นปกติเช่นที่นางทำได้หรือ ? หรือว่าเรื่องนี้ยังมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนอยู่อีก ?

ด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าฉินเทียนอาจจะจงใจปกปิดตัวตนที่แท้จริงของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไว้เพื่อเหตุผลบางอย่างก็เป็นได้

“ข้ายังไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ อย่างไรก็ตาม จากการตามสืบของเรา ดูเหมือนว่าทั่วทั้งหวนหลิงจะไม่มีตระกูลที่ชื่อว่าตระกูลอวี๋อยู่เลย  แม้แต่ในแคว้นเล็ก ๆ ก็ไม่มี  ยิ่งกว่านั้น… หากนางถูกคนในตระกูลช่วยไปได้อย่างปลอดภัยจริง  นางก็ควรจะส่งข่าวบอกพวกเราทางนี้เพื่อให้สบายใจก่อนถึงจะถูก”

หลังจากฉินเฟินกล่าวเรื่องนี้ออกไป ทั้งห้องลับก็ถูกความเงียบเขาปกคลุมอีกครั้ง