หลังจากภายในห้องประชุมลับแห่งตระกูลฉินตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดฉินเทียนตัวปลอมถึงได้เข้ามาสวมรอยเป็นท่านพ่อ รวมถึงเหตุผลของกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาโจมตีพวกเรา”
เมื่อฉินเฟิน ฉินอี้เฟย และฉินหยางได้ยินสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว พวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความสับสน
“พวกเขาน่าจะมาเพราะกายเทพมายา”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไปด้วยรอยยิ้ม
“กายเทพมายา !”
บุรุษต่างวัยสามคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองสาวน้อยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กายเทพมายาคือร่างกายของเทพมายาในตำนาน เพราะสูญหายไปนานนับพันปีแล้ว ในเรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกคนในที่แห่งนี้หรืออาจจะทั่วทั้งนครเคยได้ยินแต่เพียงเรื่องเล่า แล้วคนร้ายเหล่านั้นจะมาโจมตีคนในตระกูลของพวกเขาเพื่อกายเทพมายาใดอีก ?
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้า…”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทว่าความนัยในวาจาของนางนั้นชัดแจ้งจนเขาทำได้เพียงแค่เชื่อเท่านั้น
ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถืออย่างยิ่ง ทว่าหลังจากพิจารณาจากน้ำเสียงแน่วแน่และแววตาจริงจังของฉินอวี้โม่แล้วก็ทำให้พวกเขาอยากเชื่อคำพูดของนาง แม้จะสับสนไม่น้อยแต่บุรุษมากอาวุโสทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากซักไซ้สิ่งใดกับผู้เป็นหลาน พวกเขาจะทำแค่เพียงสนับสนุนนางทุกด้านและรอดูข้อพิสูจน์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่นางบอกเป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะช่วยกันปกปิดความลับนี้
“เอาเถอะเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเฟินก็กล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องของเทียนเอ๋อร์ข้ามั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวอวิ๋นเองข้าก็คิดว่านางไม่น่าจะมีอันตราย ฉะนั้นตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเราค่อย ๆ ค้นหาเบาะแสแล้วตามหาตัวพวกเขา เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางโค้งคำนับคนทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมลับไป
ฉินอวี้โม่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด นางและเสี่ยวโร่วเดินไปยังเรือนที่พักที่ฉินเฟินให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน
ในเรือนพักอันแสนสบาย คุณหนูผู้พลัดพรากและสาวใช้น้อยงีบหลับไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกนางตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของฉินอี้เฟยที่มาบอกให้พวกนางไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าคิดจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”
ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่อย่างรักใคร่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูของนางก็รีบพยักหน้าตามเช่นกัน
เสี่ยวโร่วเป็นเสมือนคนในครอบครัวของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ดังนั้นฉินเฟินจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนและอนุญาตให้สาวน้อยทำตัวตามสบาย
เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่อยู่ด้วยกันมานาน สาวใช้น้อยจึงรู้ความต้องการของคุณหนูดี นางจึงนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน
“เจ้าสองคนอยากให้ข้าไปพูดกับผู้มีอำนาจควบคุมโรงเรียนราชสำนักให้รับพวกเจ้าทั้งสองเข้าเรียนในนามของตระกูลฉินหรือไม่ ?”
แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่ในฐานะของคนเป็นปู่ที่เป็นห่วงลูกหลาน ฉินเฟินก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น
วันนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งนางยังได้ลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินไปบนถนน เรื่องนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางในตระกูลฉินก็อาจจะไม่สามารถปกปิดได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะปิดบังตัวตนของนางเลย หากว่านางใส่ใจเรื่องนี้ นางก็คงจะไม่เลือกมาที่นี่ตั้งแต่แรก
“ท่านปู่ ข้าว่าอย่าดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากจะเข้าไปโดยใช้เส้นสายของตระกูล”
หลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องตัวตนของพวกเรา ข้าอยากให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะได้ไหมเจ้าคะ ? พวกเราไม่ต้องกระจายข่าว ผู้ใดจะคิดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเอง”
ฉินเฟินพยักหน้ารับคำ หลังจากการได้รู้จักกันมา แม้จะยังเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าหลานสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่ แต่เรื่องของความคิดอ่าน การวิเคราะห์เรื่องราว เด็กคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแก่ ๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพวกเขาเลยสักนิด
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข หลังจากอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของตระกูลฉินจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนที่พัก
เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกให้เสี่ยวโร่วแยกไปพักในห้องของนาง ขณะที่คุณหนูผู้ที่เพิ่งจะได้กลับมาในอ้อมกอดของครอบครัวใหญ่ยังคงนั่งครุ่นคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกพักหนึ่ง อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ หรือเป็นเพราะการงีบหลับก่อนมื้อค่ำจึงทำให้สาวงามไม่รู้สึกง่วง
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”
เสียงอันแสนอ่อนโยนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากร่างบางนัก เสียงนุ่มทุ้มนั้นทำลายความเงียบงันภายในห้องไปจนหมด
“โม่ฉือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะมองไปตามทิศทางของเสียง
วันนี้หานโม่ฉือได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาที่ตระกูลฉิน หลังจากจัดการงานและภารกิจทั้งหลายของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็รีบตรงมาที่จวนตระกูลฉินทันที
แท้จริงแล้วในตอนบ่ายหานโม่ฉือก็ลอบเข้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเพราะเห็นสาวน้อยของเขากำลังหลับอย่างเป็นสุข เขาจึงไม่คิดจะรบกวนนางและออกไปเงียบ ๆ เขาแอบซุ่มรออยู่จนกระทั่งนางกลับมาจากทานอาหารค่ำและเข้ามาหานางเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยด้วย
ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ครานั้นที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าเขามีความกังวลบางอย่างอยู่ในหัวใจ
เขาคิดว่าฉินอวี้โม่ต่างจากสตรีทั่วไปมาก หลังจากเกิดเรื่องภายในถ้ำอสรพิษนั้นแล้ว บุรุษเย็นชาก็ครุ่นคิดเรื่องของนางมากขึ้น
ในหลายวันมานี้ แม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตระกูลและงานส่วนตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ทว่าในหัวใจของเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้เลย
หานโม่ฉือสั่งให้คนของเขาคอยรายงานว่ามีสตรีแปลกหน้ารูปโฉมงดงามเดินทางมาที่นครไป๋อวิ๋นหรือไม่ และยังสั่งให้คอยจับตาดูตระกูลฉินเอาไว้ หากว่ามีสตรีเลอโฉมจากต่างถิ่นผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่มาถึงก็ให้รีบแจ้งข่าวในทันที
วันนี้เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอไม่ไหว อยากจะเข้ามาพบนางจนใจจะขาด
ในตอนนี้เองที่บุรุษหัวใจด้านชาผู้ยังไม่เคยมีความรักได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความกังวลในหัวใจของตัวเองในหลายวันมานี้นั้น แท้จริงก็คือความคิดถึง เพราะทันทีที่ได้เห็นหน้านางในดวงใจ หัวใจของเขาก็พองโตและมีความสุขอย่างเหลือล้น
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ข้าก็เลยรีบมาหา”
หานโม่ฉือยิ้มและเดินเข้าไปหาสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ
ไม่ได้เห็นกันมานานกว่าครึ่งปี เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ตัวสูงขึ้นและ… นางก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ครั้งล่าสุดในป่าแสงจันทร์ นางดูผอมบางกว่านี้เล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางดูเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลและดูสุขภาพดีขึ้นมาก ใบหน้านวลหวานซึ้งของนางก็ดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้นด้วย
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม นางลอบสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด
ในครึ่งปีมานี้ หานโม่ฉือดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งนั้นที่พิษเย็นในร่างกายของเขาถูกถอนออกไปจนหมด ทั้งร่างกายใหญ่โตนี้ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนผู้นี้จะไม่เคยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในหัวใจเขากลับยิ้มได้อย่างอ่อนโยนจนฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาทิ้งความเย็นชาออกไป บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นจนอาจจะครองใจสตรีทั่วทั้งนครได้เลยทีเดียว
เมื่อเดินมาถึงตัวเจ้าของหัวใจ หานโม่ฉือก็ดึงร่างบางที่เขาโหยหามาตลอดเข้ามากอดไว้แนบอก
กิริยาเช่นนั้นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปชั่วครู่ คราแรกนางก็เกือบจะดันร่างใหญ่ให้ถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากร่างกายแข็งแกร่งที่กำลังกกกอดนางไว้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี
“ข้าคิดมาตลอดว่ามันน่าขำ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะคิดถึงผู้ใดได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเจ้า”
หานโม่ฉือเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทำให้จิตใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหว
“ก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า ในชีวิตข้าไม่เคยหลงใหล หลงรัก หรือแม้แต่ชื่นชอบสตรีใดมาก่อน และข้าก็คิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีคนใดเป็นแน่ แต่เมื่อได้เจอเจ้า ข้าก็พบว่าสิ่งที่ข้าคิดมาเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”
หานโม่ฉือดันร่างบางของฉินอวี้โม่ออกอย่างเบามือก่อนจะโอบประคองให้นั่งลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน
“ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าต่างจากสตรีคนอื่น มันอาจเป็นเพราะข้าสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังมายา ในตอนนั้นเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก รูปแบบการเคลื่อนก็แปลกประหลาด ในครั้งที่สองที่เจอกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ในตอนนั้นที่ข้าเริ่มรู้สึกสนใจเจ้า วาจาทรงพลังยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกิดความสงสัยว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินไปและยังคิดอคติกับเจ้า ข้าจึงทำเมินเฉย ทว่าหลังจากที่หลินจิ้งหงชวนเจ้าเข้าร่วมภารกิจข้าก็เริ่มรู้ความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่มีต่อเจ้า ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยชอบใจนักและข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนแต่พอได้อยู่ด้วยกัน ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เรื่องนั้นมันทำให้ข้าประหลาดใจมาก และยิ่งเมื่อเจ้าแสดงความองอาจในตอนที่เจ้าพูดกับกลุ่มทหารรับจ้าง ตอนนั้นข้าก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ
แล้วพอถึงตอนที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอสรพิษนั่นมันทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรุนแรงมากจนข้ากลัวว่ามันจะระเบิดออกจากอก แล้วข้าก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าหากข้าสามารถใช้ทั้งชีวิตนี้อยู่กับเจ้าได้ข้าคงจะมีความสุข ยิ่งกว่านั้น… ข้าก็ควรจะรับผิดชอบเจ้า แต่มาตอนนี้ข้าเพิ่งจะ…”
บุรุษเย็นชาพูดน้อยที่วันนี้พูดไม่น้อยเลยหยุดลงครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาที่เคยจับจ้องใบหน้างามลงชั่วขณะก่อนที่หันกลับขึ้นมามองสบตาหวานซึ้งอีกครั้งแล้วพูดต่อ หากฉินอวี้โม่มองไม่ผิด นางเห็นสีแดงจาง ๆ ขึ้นเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าคมคาย “….ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าบางทีข้าอาจจะชอบเจ้ามากมายเพียงใด ในครึ่งปีมานี้ข้าทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าอยู่ทุกวัน ข้ากังวลว่าเมื่อไหร่เจ้าจะมาที่นครไป๋อวิ๋น บางทีก่อนหน้านี้ข้าคงจะยังไม่เข้าใจ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว ข้าว่า… มันอาจจะเป็นความรัก”
เมื่อได้ฟังคำพูดมากมายที่ออกจากปากคนตรงหน้า และได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมของเขา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พูดอะไรไม่ออก
…คนเย็นชาคนนี้… กำลังสารภาพรักกับนาง !…
ถ้อยคำมากมายจากปากคนไม่ค่อยพูดกำลังทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่สั่นไหว เวลานี้ใจดวงน้อยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ในอดีตเธอคือนักฆ่า แม้จะมีผู้ชายสักกี่คนมาสารภาพรัก เธอก็จะปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักครั้ง ความรักกับนักฆ่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง ชีวิตนักฆ่าเต็มไปด้วยอันตราย และความรักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดท้ายคงไม่พ้นมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นสู้ไม่รักให้ต้องเจ็บปวดจะดีกว่า
ทว่าหลังจากที่วิญญาณข้ามภพมายังดินแดนหวนหลิงนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ ที่อยู่ในดินแดนที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่แบบนี้จะมีผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สำหรับโลกมายาที่ความแข็งแกร่งเป็นทุกอย่างแห่งนี้ จุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตนี้มีแค่ เธออยากจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องคนที่เธอต้องปกป้องให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องราวภายในถ้ำอสรพิษขึ้นในวันนั้น อดีตสาวนักฆ่าก็ได้รู้ตัวว่า หัวใจของเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เป็นตอนนั้นที่ จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดว่ามันคงจะดีมากหากมีผู้ชายตรงหน้านี้อยู่เคียงข้าง… ผู้ชายที่ชื่อหานโม่ฉือคนนี้
ในตอนที่ช่วยเขาถอนพิษ ฉินอวี้โม่คิดว่าเธอทำไปเพราะอยากช่วยชีวิตเขา เพราะไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เธอไม่ได้ทำเพราะพิศวาสหรือหลงรักเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น… เธอก็ค้นพบว่าที่เธอไม่อยากให้คนเย็นชาของเธอตายไปก็เป็นเพราะเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา และเป็นวินาทีนั้นที่ฉินอวี้โม่ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเริ่มชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะแววตาห่วงกังวลของเขาในตอนที่เธอถูกยูนิคอร์นสีนิลจับตัวไปที่บึงสายหมอก หรือเป็นเพราะความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เธอกำลังจะถูกลิ่วเยว่ทำร้าย หรือเพราะความใจดีลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากากอันเลือดเย็น หรือบางทีอาจจะเป็นความเย็นชาอย่างที่เขาเป็น หรือรอยยิ้มละลายใจที่เธอได้เห็น เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งคนนี้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอ
แท้จริงแล้วการช่วยหานโม่ฉือถอนพิษในครั้งนั้น ใครก็ตามที่รู้จักสาวนักฆ่าฉินอวี้โม่ผู้มาจากในศตวรรษที่ 21 แล้ว จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะยอมช่วยเขาด้วยวิธีแบบนั้น*…ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในหัวใจของเธออยู่ก่อน*
….เหตุการณ์ในถ้ำอสรพิษเกิดขึ้นเพราะความรักที่ฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่รู้ตัวในตอนนั้นเท่านั้น….
ในครึ่งปีที่ผ่านมา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คิดถึงชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะชอบคิดว่าหานโม่ฉือกำลังทำสิ่งใดอยู่ เขากำลังทำงานของตระกูลอย่างหนักอยู่หรือกำลังจัดการเรื่องส่วนตัว เขาจะได้กินข้าวหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ หรือว่า… เขาจะไปหลงเสน่ห์สาวอยู่ที่ไหน และ… เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า หลังจากวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตัวเองหลงรักหานโม่ฉือ
เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้ ถึงจะเห็นฉินอวี้โม่นิ่งเฉย แต่นั่นก็เพราะนางกำลังแสร้งทำตัวให้สงบ อันที่จริงหัวใจดวงน้อยกำลังสั่นระรัว และนางกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดให้มันสงบลงจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้เลย
“โม่ฉือ ที่จริงข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อว่าข้าจะรักใครได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าเชื่อมาตลอดว่า ถ้าคนสองคนไม่มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน ไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีให้กันและกันได้อย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเจ้า ข้าก็เริ่มเชื่อแล้ว”
ต้องบอกเลยว่า แม้จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวอยู่บ้างเป็นธรรมดา เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก คนที่คิดจะเคียงข้างก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อีก
เมื่อได้ฟังสิ่งที่โฉมงามของเขากล่าว หานโม่ฉือก็บีบกระชับมือบางแน่นขึ้นราวกับต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีในใจไปให้ถึงหัวใจของนาง ในตอนนี้สองดวงใจกำลังใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
แท้จริงแล้ว การตกหลุมรักใครสักคนนั้นง่ายกว่าที่พวกเขาคิด ขอเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นทุกอย่างก็จะไหลไปตามครรลองของมันได้เอง
เป็นเรื่องจริงที่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากสองหนุ่มสาวได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของการได้ชิดใกล้กับบุคคลผู้แสนคะนึงหาอยู่สักพัก ในที่สุดหานโม่ฉือก็ถอนหายใจออกมา
“อวี้โม่ ข้าต้องไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มบางให้
“ไปเถอะ ข้าเข้าใจ” นางรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีงานที่ต้องจัดการ
“เจ้าจะเข้าโรงเรียนราชสำนักรึเปล่า ?” หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อเห็นใบหน้าเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของเขา นางก็รู้สึกสงสัย
“ระวังคนจากอาราม”
หานโม่ฉือกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางได้สังหารลิ่วเยว่บุรุษหน้าไม่อายจากอารามไปก็ยังไม่มีการตอบสนองจากทางขุมกำลังทรงอิทธิพลนั้นเลยจนตัวนางเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว