“แม้ว่าข้าจะประกาศออกไปว่าข้าเป็นคนสังหารลิ่วเยว่ แต่เท่าที่ข้ารู้ อารามคงไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่”
หานโม่ฉือกระชับมือบางของฉินอวี้โม่ให้แน่นขึ้น แม้ว่าจะมีเขาอยู่คอยปกป้อง แต่เขาก็ยังเกรงว่าอาจจะมีจุดที่เขาไม่สามารถเข้าถึงตัวสาวคนรักได้ หานโม่ฉือจึงต้องกล่าวเตือนนางเพื่อไม่ให้ประมาท
ฉินอวี้โม่พยักหน้า แน่นอนว่านางเข้าใจความหมายของหานโม่ฉือดี
แม้ว่าอารามจะเข้าใจว่าการตายของลิ่วเยว่ในเทศกาลอสูรล้อมเมืองไม่ได้เกิดจากฝีมือของฉินอวี้โม่ แต่ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือที่เป็นเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คุณหนูตระกูลฉินก็คงต้องถูกเพ่งเล็ง และที่ยิ่งกว่านั้นคือในครั้งนั้น ฉินอวี้โม่ยังทำให้ตัวแทนของอารามเสียหน้าเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาพลักษณ์ของขุมกำลังทรงอำนาจอย่างพวกเขา ดังนั้นอีกฝ่ายต้องไม่ปล่อยนางไว้อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าอารามเป็นขุมกำลังที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดีอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อได้ฟังสิ่งที่หานโม่ฉือแห่งตระกูลลับที่มีอิทธิพลแทรกซึมอยู่ทุกที่เอ่ยปากเตือน อดีตสาวนักฆ่าก็เริ่มเข้าใจว่าความชั่วร้ายของอารามน่าจะมีมากกว่าที่นางคิด ฉินอวี้โม่จึงย้ำเตือนตัวเองเอาไว้ว่าหากพบเจอคนของอารามต่อไปนี้นางจะต้องระวังให้มาก
…และที่หานโม่ฉือกล่าวมาก็ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ในครั้งนั้น การตายของลิ่วเยว่สร้างความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวงให้แก่ยอดฝีมือมากมายในอาราม
“ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องแก้แค้นให้เยว่เอ๋อร์ !”
ผู้อาวุโสสอง–ลิ่วรุ่ย บิดาของลิ่วเยว่วิ่งเข้าไปในห้องของผู้อาวุโสใหญ่–หนั่วหลานแห่งอาราม
ลิ่วรุ่ยคือผู้อาวุโสลำดับสอง เขามีบุตรชายตอนอายุมากแล้วและเป็นเพียงบุตรชายคนเดียว จึงทำให้ลิ่วเยว่เป็นบุตรที่เขารักและตามใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ลิ่วเยว่บอกว่าอยากจะไปเข้าร่วมอสูรล้อมเมือง ในตอนนั้นลิ่วรุ่ยคิดว่าบุตรชายของตนโตพอแล้วจึงไม่คิดห้ามปราม อีกทั้งยังมอบสิ่งป้องกันตัวจำนวนหนึ่งให้ไปและบอกให้เขาไปค้นหาประสบการณ์ดี ๆ กลับมา
ทว่าโชคร้ายที่ลิ่วเยว่ถูกสังหาร แน่นอนว่าผู้เป็นบิดาที่รักบุตรชายมากอย่างลิ่วรุ่ยจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“ผู้อาวุโสสอง ข้าจะไปแก้แค้นให้บุตรชายของท่านได้อย่างไรกัน แม้ว่าผู้ที่ยั่วยุเขาจะเป็นคนอื่น ทว่าคนที่ลงมือสังหารคือหานโม่ฉือ ท่านอย่าลืมสิว่าหานโม่ฉือคือบุรุษที่ท่านเจ้าอารามเตือนไว้ว่าอย่าได้หาเรื่องบาดหมางกับคนผู้นั้น”
หนั่วหลานผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามนั้นเป็นสตรีและถ้าหากคนภายนอกรู้เรื่องนี้ก็คงจะตกใจไม่น้อย
ผู้อาวุโสลิ่วรุ่ยขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงใบหน้าของหานโม่ฉือผู้ลงมือสังหารบุตรชายแล้ว เขาก็รู้สึกคล้ายจะหมดหวังขึ้นมา หานโม่ฉือเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง เขากุมอำนาจและอิทธิพลมืดอยู่ในมือไม่น้อย ขุมกำลังของตระกูลลับหานนั้นไม่ธรรมดา แม้แต่ท่านเจ้าอารามก็ยังเอ่ยเตือนให้ระวังเขาเอาไว้ หากคิดจะแก้แค้นคนผู้นี้สุ่มสี่สุ่มห้าก็เท่ากับเขารนหาที่ตายเท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อคิดถึงความตายของบุตรชาย ลิ่วรุ่ยก็ยังคงทำใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ! และในตอนนั้นเองในหัวของเขาก็คิดถึงฉินอวี้โม่ สตรีที่ยั่วยุบุตรชายเขาขึ้นมา “ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายถึงว่าเราจะไปแก้แค้นคนที่ยั่วยุลูกข้า สตรีผู้นี้มีนามว่าฉินอวี้โม่ ในเมื่อเราไม่กล้ายุ่งกับหานโม่ฉือ ข้าว่าเราก็เริ่มจัดการนางก่อนจะเป็นการดี ท่านเองก็คงทราบว่านางดูหมิ่นอารามของเรา ข้าทราบมาว่านางเป็นสตรีที่งดงามเหนือผู้ใด ฉะนั้นเราคงจะตามหาตัวนางได้ไม่ยาก และถ้าหากเราจัดการสตรีผู้นี้ก็จะเสมือนเป็นการประกาศให้ทั้งหวนหลิงได้รู้ว่า ผู้ที่ขวัญกล้ากล่าววาจาล่วงเกินอารามจะมีจุดจบเยี่ยงไร !”
ลิ่วรุ่ยจงใจเอ่ยถึงความงามของฉินอวี้โม่และเน้นย้ำว่าสตรีผู้นั้นหมิ่นเกียรติแห่งอาราม ซึ่งนี่ก็เพื่อจะกระตุ้นให้ผู้อาวุโสหนั่วหลานตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ผู้อาวุโสหนั่วหลานเป็นสตรีที่สนใจในรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก นางคิดว่าตนงดงามและสูงส่งเหนือสตรีทั่วหล้า เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่อาจจะงดงามกว่าตนอีกทั้งคนผู้นั้นยังดูหมิ่นอาราม แน่นอนว่าสตรีผู้ทรงอำนาจแห่งอารามย่อมต้องไม่พอใจและไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเป็นแน่
ซึ่งก็เป็นดังผู้อาวุโสลิ่วรุ่ยคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลิ่วรุ่ยจงใจใช้วาจาเช่นนั้นยุแยง แต่หนั่วหลานก็ยังคงตอบตกลงในทันที
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่เจ้า จัดการได้ตามสะดวก ส่วนทางด้านของท่านเจ้าอาราม ข้าจะเป็นคนออกหน้าอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านเข้าใจเอง”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก”
ผู้อาวุโสสองแห่งอารามพยักหน้า รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้ากระด้างที่มีส่วนคล้ายลิ่วเยว่กว่าเจ็ดส่วน …. ‘ฉินอวี้โม่ ในเมื่อเจ้าเป็นเหตุลูกข้าตาย เจ้าก็ต้องชดใช้’
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นทางฝั่งอารามแม้แต่น้อย นางส่งหานโม่ฉือกลับออกไปก่อนจะกลับมาตั้งสมาธิเพื่อฝึกฝนจิตใจอย่างอารมณ์ดี
เพราะงีบหลับไปช่วงยามเว่ยทำให้ตอนนี้คุณหนูคนงามไม่รู้สึกง่วง และยิ่งได้ยินคำสารภาพรักของหานโม่ฉือไปเมื่อครู่ หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นรัวจนยากจะข่มตาหลับได้ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงหันไปฝึกสมาธิไหลเวียนพลังมายาในร่างกายแทน
ตั้งแต่ก้าวข้ามมาสู่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดารา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่จะก้าวหน้าขึ้นสู่ระดับพลังในขั้นถัดไป แม้ว่าในป่าแสงจันทร์นางจะสยบอสูรมายาไปเป็นจำนวนมาก แต่นางก็ยังไม่รู้สึกถึงวี่แววของการเลื่อนระดับเลย
หลังจากตั้งสมาธิฝึกฝนอยู่ตลอดคืน พลังของฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มีสิ่งใดก้าวหน้า และเพราะความเหนื่อยล้าของการฝึกฝนก็ทำให้สตรีโฉมงามผล็อยหลับไปตอนเกือบรุ่งสาง
ฉินอวี้โม่ตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อฟ้าสว่าง คุณหนูผู้พลัดพรากแห่งตระกูลฉินลุกขึ้นมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ กลางดึกที่ผ่านมานางนึกขึ้นได้ว่ามีผลหลิวหลีที่เตรียมจะนำไปมอบให้องค์ชายสามฉีอวี้ที่พระราชวัง ในวันนี้นางจึงตั้งใจจะไปที่นั่น
แม้ว่าฉีอวี้ในตอนนี้อาจจะไม่ต้องการผลหลิวหลีแล้วก็ตาม ทว่าในเมื่อได้ตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว ฉินอวี้โม่ก็จะนำมันไปมอบให้เขา
แต่ก่อนที่คุณหนูตระกูลฉินจะได้ออกจากจวนก็มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินมาส่งมอบจดหมายฉบับเล็ก ๆ ที่พับอย่างประณีตให้ถึงมือบาง
เมื่อได้มองดู ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ามันคือจดหมายจากสตรีดอกบัวขาวที่เคยเจอบนถนนผู้นั้น สาวงามเปิดมันออกดูด้วยใบหน้างุนงงเล็กน้อย
— น้องอวี้โม่ ข้าอยากจะขอโทษเจ้าในเรื่องน่าอายที่จวินเอ๋อร์ก่อ ได้โปรดมาร่วมโต๊ะอาหารกับข้าสักมื้อ หากเจ้าตกลงก็มาพบข้าที่ตึกเต๋อเยว่ในยามเว่ย ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นความตั้งใจนี้และไม่ปฏิเสธ —
— หวังรั่วอี —
หลังจากอ่านจดหมายเชื้อเชิญของหวังรั่วอีจบ ฉินอวี้โม่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนการไปเยือนพระราชวังและตกลงใจไปร่วมรับประทานอาหารกับแม่สาวดอกบัวขาว นางเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าหวังรั่วอีจะเตรียมสิ่งใดไว้เป็นการขอโทษนาง
“คุณหนู อาหารเช้าเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารเช้า แม้ว่าฉินอวี้โม่จะบอกนางว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองและให้ทำตัวตามสบาย แต่ทว่าสาวใช้น้อยก็ยังเคยชินกับการดูแลปรนนิบัติดูแลคุณหนูของนางเช่นนี้อยู่ ปกติตอนอยู่ที่เมืองหลิงซีนางก็ทำเช่นนี้ในทุก ๆ เช้า จะขาดไปก็เพียงแต่ช่วงเวลาที่รอนแรมอยู่ในป่า เมื่อได้อยู่ในจวนอีกครั้งนางจึงยังคงทำเช่นเดิม
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธในความตั้งใจของสาวใช้น้อย และเตรียมลงมือจัดการอาหารที่สาวน้อยเตรียมมา
“คุณหนู นี่อะไรเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วมองจดหมายเชิญที่วางอยู่บนโต๊ะพลางขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“เจ้าก็ลองดูสิ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะเริ่มต้นมื้ออาหาร
“นี่เป็นของสตรีน่ารำคาญคนเมื่อวานนี้นี่ !”
หลังจากอ่านข้อความที่เขียนไว้จนจบ เสี่ยวโร่วก็รู้สึกไม่ชอบใจนัก เด็กสาวทำหน้ามุ่ยอย่างชัดเจน
“คุณหนู เหตุใดสตรีผู้นี้ต้องเชิญท่านไปทานอาหารข้างนอกด้วยล่ะ ? ข้าว่านางต้องคิดไม่ดีแน่ ไม่แน่ว่านางอาจจะเตรียมคนมากลุ่มใหญ่และคอยหาจังหวะดักเล่นงานคุณหนูระหว่างทางก็ได้นะเจ้าคะ !” เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่อย่างเป็นกังวลก่อนจะพูดต่อ “นางไม่น่าไว้ใจ ถ้าคุณหนูจะไปที่นั่นจริง ๆ ท่านก็ต้องพาข้าไปด้วย ถ้าสตรีผู้นั้นจะรังแกคุณหนู ข้าก็จะช่วยสั่งสอนนางให้เองเจ้าค่ะ !”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด นางเชื่อในจินตนาการของสาวใช้น้อยผู้นี้จริง ๆ ยิ่งกว่านั้นเหมือนเด็กสาวแก้มนิ่มจะลืมไปแล้วว่า ฉินอวี้โม่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก
“วางใจเถอะ ข้าว่าครั้งนี้นางอาจจะต้องการขอโทษพวกเราจริง ๆ ก็ได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าอยากจะตามมาด้วย งั้นก็ตามใจเจ้า มาดูกันว่าวันนี้นางต้องการอะไรกันแน่”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น ดูเหมือนว่าสาวใช้น้อยจะไม่ชอบสตรีดอกบัวขาวผู้นี้มากจริงๆ
เมื่อวาน ในตอนที่ยังไม่ทราบสถานะของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว สตรีเสียงแหลมยังใช้เสียงน่ารำคาญของนางขอให้ฉินอี้เฟยลงมือสั่งสอนพวกนางอยู่เลย แต่พอได้รู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของฉินอี้เฟย นางกลับทำตัวเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี เปลี่ยนมาทำท่าทีนิ่มนวลอ่อนหวานเข้าหาพวกนางเสียเช่นนั้น สตรีกลับกลอกไม่คู่ควรกับคุณชายใหญ่ของนางเลยสักนิด !
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เสี่ยวโร่วกำลังคิดอยู่ หากผู้เป็นคุณหนูรู้เข้านางก็คงจะได้อบรมสาวใช้น้อยจอมแก่นของนางยกใหญ่แน่
“เสี่ยวโร่ว พี่ใหญ่ล่ะ ?”
เมื่อไม่เห็นฉินอี้เฟยเลยในตอนเช้า ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าเขาคงจะยุ่งมาก
“คุณชายถูกทางสมาคมโอสถเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายบอกว่ามีงานต้องรีบไปจัดการ ก่อนจะออกไปคุณชายยังกำชับข้าด้วยว่าให้ข้าดูแลคุณหนูให้ดี”
เสี่ยวโร่วตอบด้วยรอยยิ้ม เมื่อเอ่ยถึงฉินอี้เฟยแล้วใบหน้าของสาวใช้น้อยก็เต็มไปด้วยความเทิดทูน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังดูอารมณ์ดีผิดปกติ
เมื่อเห็นท่าทางของสาวน้อยแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัยในบางเรื่องขึ้น ….นี่หรือว่าเสี่ยวโร่วจะชอบพี่ชายของนาง ?
อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นคุณหนูก็ไม่ได้เอ่ยถาม เพราะถึงจะเป็นเช่นที่นางคิดจริง ๆ ฉินอวี้โม่ก็อยากให้พวกเขาทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วก็นั่งเล่นกันอยู่ครู่ใหญ่ เพื่อรอเวลาที่จะไปยังตึกเต๋อเยว่ตามนัดหมายของหวังรั่วอี
ตึกเต๋อเยว่คือร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งนครไป๋อวิ๋น แม้จะมีที่ตั้งอยู่ติดกับจากพระราชวังอันใหญ่โตโอ่อ่า แต่ก็ยังมิอาจบดบังความงดงามและยิ่งใหญ่อลังการของตึกมีชื่อแห่งนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มของตึกเต๋อเยว่ก็ล้วนเลิศรส ด้วยการปรุงอย่างพิถีพิถันจากพ่อครัวมือหนึ่ง พวกเขาคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นเลิศมาใช้ในทุกๆ จานอาหาร อีกทั้งยังมีบริการที่เป็นหนึ่งรวมถึงบรรยากาศที่งดงามหรูหรา ซึ่งก็แน่นอนว่าราคาของอาหารแต่ละจานก็ย่อมต้องสูงจนน่าตกใจ นั่นทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในตึกเต๋อเยว่นี้จึงล้วนแล้วแต่มีฐานะที่มั่งคั่ง
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินเข้าไปด้านในและได้รับการต้อนรับจากพนักงานหน้าร้านรวมถึงเถ้าแก่ของร้านที่ออกมารับแขกเองอย่างอบอุ่น
และในตึกเต๋อเยว่แห่งนี้ก็มีคนเป็นจำนวนมากที่จดจำฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วได้
“นั่นใช่แม่นางคนเมื่อวานกับสาวใช้ของนางหรือไม่ ?”
คนผู้หนึ่งชี้นิ้วมาที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถามสหายด้วยความสงสัย
“คนที่หยุดคุณชายหวังที่ขี่อสูรมายากลางถนนนั่นน่ะหรือ ?”
“ใช่ ได้ยินมาว่านางคือน้องสาวของฉินอี้เฟยและเป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลฉิน แต่ข้าไม่รู้นะว่านั่นเป็นความจริงรึเปล่า”
สหายของเขาส่งเสียงตอบกลับไม่ดังไม่เบา
“ข้าว่าไม่น่าใช่ หากนางเป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลฉินจริง เหตุใดที่ผ่านมาเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อของนางเลยล่ะ ? เจ้าไม่เห็นหรือว่านางงดงามเพียงใด ต่อให้นำ ‘*สิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน’*มายืนอยู่ข้างกายนางก็ยังไม่อาจเทียบ ดีไม่ดีถ้าให้ยืนด้วยกัน ข้าว่าสตรีพวกนั้นก็คงเป็นได้แค่ไม้ประดับเท่านั้น !”
สหายอีกคนในกลุ่มเดียวกันกล่าวชื่นชมในความงามของฉินอวี้โม่ หลังจากนั้นก็มีเสียงซุบซิบ แสดงความคิดเห็นดังบ้างเบาบ้างดังระงมไปทั่วทั้งร้าน
“แต่เจ้าไม่เห็นเมื่อครู่นี้หรือ เถ้าแก่ออกมาต้อนรับนางด้วยตัวเองเชียวนะ”
และยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีความเห็นต่าง ๆ ดังขึ้นมามากขึ้น ทุกคนพากันมองดูสตรีโฉมงามแปลกหน้าผู้เพิ่งเข้ามาในตึกเต๋อเยว่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นกระแสความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเสี่ยวโร่วก็หมดคำพูดไป ถึงแม้ว่าจะพบเจอเหตุการณ์ที่ผู้ตามท้องถนนหันมองและวิพากษ์วิจารณ์คุณหนูของนางอยู่บ่อยครั้ง แต่สาวใช้น้อยก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณหนูที่เพิ่งจะมาเยือนนครหลวงได้เพียงหนึ่งวันจะกลายเป็นศูนย์กลางของหัวข้อการสนทนาในโต๊ะอาหารที่ผู้คนกล่าวขานถึงกันมากถึงเพียงนี้
เรื่องทั้งหมดอาจเป็นเพราะว่าเถ้าแก่ร้านออกมาต้อนรับพวกนางด้วยตัวเอง แต่เหตุผลที่เขาออกมาต้อนรับก็ไม่ได้เป็นเพราะต้องการจะแสดงความนอบน้อมในฐานะที่นางเป็นคุณหนูตระกูลฉิน แต่เป็นเพราะอิทธิพลของบุรุษมนุษย์น้ำแข็งของนาง
เนื่องจากตึกเต๋อเยว่แห่งนี้คือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในนครไป๋อวิ๋นซึ่งก็อยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งตระกูลหาน และเป็นเพราะว่าหานโม่ฉือได้บอกเถ้าแก่แห่งเต๋อเยว่เอาไว้แต่แรกแล้วว่าให้รอต้อนรับสตรีงดงามผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่คาดเดาว่าขุมกำลังของหานโม่ฉือที่แทรกซึมอยู่ในเมืองแห่งนี้คงไม่ธรรมดาแน่ ขอเพียงคนของเขาเห็นหน้านาง ทุกคนก็จะปฏิบัติกับนางอย่างดีราวกับเป็นหานโม่ฉื่อเองก็มิปาน ไม่ว่าฉินอวี้โม่ต้องการอะไรพวกเขาก็พร้อมจะจัดหาให้ทุกประการ
อันที่จริงในเรื่องนี้ก็เป็นเพราะบุรุษผู้เย็นชานั้นถึงกับวาดภาพของฉินอวี้โม่ให้เถ้าแก่ดูเพื่อให้เขาจดจำได้ และยังกำชับอีกว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องของนางให้ผู้ใดรู้
แม้ว่าเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายจะไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีความพิเศษอย่างไรหรือเป็นผู้ใดมาจากไหน ทว่าพวกเขาก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งโดยตรงของหานโม่ฉือ
เถ้าแก่เป็นคนแรกที่ได้รู้จักหน้าตาของฉินอวี้โม่จากรูปวาดของหานโม่ฉือ จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องทุกคนจดจำนางไว้ เมื่อวันนี้พนักงานหน้าร้านมาแจ้งว่าแขกสุดพิเศษผู้นี้มาที่เยือนเต๋อเยว่เขาจึงรีบออกมาต้อนรับ
และเมื่อได้เห็นรูปโฉมงามล้ำเหนือสตรีทั่วหล้าและกิริยาท่าทางอันสูงส่งน่าหลงใหลนั้น ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดผู้เป็นนายจึงได้เอาใจใส่สตรีผู้นี้เป็นพิเศษ
วันนี้ฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยชุดสีม่วงที่ดูหรูหรามีระดับ ทว่าไม่ฉูดฉาด นางดูสูงส่งสง่างามทว่ากลับไม่ดูหยิ่งยโส ความงามของนางดูเป็นมิตรกับทุกคน แม้นบุรุษใดได้ยลโฉมสะคราญสักครั้ง หากยังร้างไร้คู่ครองก็คงต้องอยากเข้าไปทำความรู้จักนางเป็นแน่แท้
ในตอนนี้แม้ว่าจะถูกจับจ้องเป็นตาเดียว แต่ทว่าแขกพิเศษผู้งดงามของนายเหนือหัวของเขาก็ยังคงความสงบอยู่ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เถ้าแก่ยิ่งประทับใจในตัวคุณหนูผู้นี้ยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณหนูฉินอวี้โม่ มาตามคำเชิญของคุณหนูหวังรั่วอีใช่ไหมขอรับ ?”
เถ้าแก่แห่งตึกเต๋อเยว่เอ่ยปากถามคุณหนูแห่งตระกูลฉินด้วยความนอบน้อม
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าว “นางมาถึงหรือยัง ?”
เถ้าแก่พยักหน้าและพาฉินอวี้โม่ขึ้นไปส่งยังที่นั่งบนชั้นสองด้วยตัวเอง
“ขอบคุณเถ้าแก่มาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ของร้านอาหารชื่อดัง
“ยินดีอย่างยิ่ง คุณหนูฉินอวี้โม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว”
หากไม่ใช่เพราะนางยังดูอ่อนเยาว์มาก เขาก็คงจะเรียกนางว่าท่านหญิงฉินไปนานแล้ว
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะเคาะประตูของห้องตรงหน้า
หวังรั่วอีเปิดประตูออกมาและมองเห็นบุคคลที่นัดหมายไว้รออยู่ด้านนอก ทว่าในตอนนั้นเองที่คุณหนูตระกูลหวังตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก