ตอนที่ 216 ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของยานบิน!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

พลาธิการที่โดดเด่นคนหนึ่งเท่ากับทำให้ทีมมีชีวิตเพิ่มขึ้นมากมาย หากต้องการกลายเป็นทีมต่อสู้ระดับสุดยอด ตำแหน่งนี้จะขาดคนไม่ได้เป็นอันขาด หลินจงชิงคิดหน้าคิดหลังแล้ว สุดท้ายก็เลือกตำแหน่งนี้โดยไม่นึกเสียใจ

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าหลินจงชิงล้มเลิกเรื่องการควบคุมหุ่นรบไป นักเรียนของสาขาอื่นต่างมีวิชาควบคุมหุ่นรบเป็นวิชาเลือก เพียงแต่พวกเขาไม่มีวิชาเฉพาะและเป็นระบบเหมือนภาควิชาควบคุมหุ่นรบ สุดท้ายกำลังรบย่อมไม่สามารถเทียบกับภาควิชาควบคุมหุ่นรบได้

สรุปคือ การตัดสินใจของหลินจงชิงเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวง เขาละทิ้งเส้นทางที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งไปโดยสิ้นเชิง แล้วเลือกความเป็นไปได้ที่จะทำให้หน่วยรบของตัวเองกลายเป็นหน่วยรบระดับสุดยอด ส่วนหานจี้จวินก็ทำการตัดสินใจเพื่อเป้าหมายนี้เหมือนกัน

หานจี้จวินคิดว่ามีเพียงกลายเป็นกัปตันของยานรบเท่านั้นถึงจะสามารถรับใช้หน่วยรบของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ใช่แล้ว หานจี้จวินไม่มีทางยอมให้ชีวิตของพวกเขาถูกกัปตันยานรบแปลกหน้าควบคุมไว้เด็ดขาด นี่ทำให้หานจี้จวินรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นเขาถึงตัดสินใจลงมือทำเอง

พูดได้ว่าสมาชิกแต่ละคนของทีมหลิงหลานต่างใช้วิธีการของตัวเองในการพยายามทำเพื่อทีม นี่ก็คือสาเหตุที่หลิงหลานอยากช่วยหานจี้จวินเข้าสู่บทบาทของตัวเร็วยิ่งขึ้น ถ้าหากทำให้เขาสัมผัสการควบคุมยานบินของจริงล่วงหน้าหนึ่งก้าว มันย่อมทำให้หานจี้จวินนำหน้าทุกคนในภาควิชาควบคุมยานรบได้หลายก้าวอย่างไม่ต้องสงสัย…

หลังจากที่หลิงหลานจัดการทุกอย่างนี้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปจากห้องควบคุมหลักอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของเธอคือห้องกัปตันซึ่งเป็นห้องสุดท้าย มีเพียงได้รับอำนาจควบคุมของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเท่านั้น เธอถึงจะได้รับอำนาจปกครองยานบินลำนี้อย่างแท้จริง

หานจี้จวินมองแผ่นหลังของหลิงหลานหายไป จากนั้นก็ปลุกจิตใจให้ตื่นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเฉียบคมอย่างยิ่งยวด ก็เหมือนกับที่หลิงหลานพูดไว้ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดของเขาในการทำความคุ้นเคยเกี่ยวกับการควบคุมยานบิน ถ้าหากเขาใช้โอกาสหนึ่งวันหนึ่งคืนให้เป็นประโยชน์ได้ละก็ เชื่อว่านักเรียนทหารที่อายุเท่ากันเหล่านั้นย่อมไม่มีทางสู้เขาในเรื่องควบคุมยานบินของจริงได้

แน่นอนว่าหากต้องการให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ลดความขุ่นเคืองใจและชี้แนะพวกเขาด้วยความจริงจัง ก็ต้องดูความสามารถของหานจี้จวินแล้ว หานจี้จวินกวาดตามองเหล่านักเรียนใหม่ที่อยู่เฝ้าห้องควบคุมหลักก่อนจะกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าการกระทำของหลิงหลานยังมีความหมายลึกซึ้งอยู่อีกอย่าง…

หานจี้จวินยิ้มน้อยๆ ลอบเอ่ยขึ้นมาว่า ‘ลูกพี่หลานคือลูกพี่หลานจริงๆ ด้วย!’

หานจี้จวินเป็นคนทะเยอทะยาน ถึงแม้ว่าเขาจะสมัครสอบภาควิชาควบคุมยานรบ แต่เขาไม่อยากทิ้งเรื่องยุทธศาสตร์จริงๆ เขาอยากเรียนรู้สองภาควิชานี้ควบคู่ไปพร้อมกัน เป้าหมายของหานจี้จวินยิ่งใหญ่มาก เขาอยากกลายเป็นกัปตันที่โดดเด่นและก็อยากกลายเป็นเสนาธิการที่ทีมขาดไปไม่ได้ด้วย ได้ปกป้องและออกอุบายวางแผนให้บรรดาพี่น้องของเขา

หานจี้จวินลอบให้กำลังใจตัวเอง บอกตัวเองว่าต้องทำการทดสอบตรงหน้านี้สำเร็จให้จงได้ จะให้ลูกพี่หลานผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด

……

ในขณะที่หานจี้จวินที่อยู่ในห้องควบคุมหลักกำลังทุ่มเทความคิดเพื่อให้ได้รับการชี้แนะอย่างจริงจังจากเจ้าหน้าที่ พวกหลิงหลานหกคนก็มาถึงห้องกัปตันด้วยความเร็วสูงสุด

ในตอนที่พวกเขายังไม่ได้เข้าไปใกล้ห้องกัปตัน เสี่ยวซื่อก็เอ่ยปากเตือนหลิงหลานว่า ในห้องกัปตันยังมีคนเฝ้าอยู่หนึ่งคน!

หลิงหลานให้เสี่ยวซื่อเจาะรหัสหน้าประตูห้องกัปตันโดยไม่ลังเลทันทีก่อนจะประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลิงหลานก็นำพวกหลินจงชิงเดินเข้าไปทันใด

เวลานี้เอง พันตรีกำลังจ้องมองภาพเสมือนจริงตรงหน้าอยู่ ภาพหลักเป็นภาพของห้องอาหาร ส่วนภาพอื่นๆ เป็นเพียงภาพที่ทำเป็นหน้าต่างเล็กๆ ปกคลุมรอบบริเวณของหน้าจอเสมือนจริงเพื่อให้เขาได้ตรวจสอบเป็นครั้งคราวอย่างสะดวกสบาย

ในภาพหลักของห้องอาหาร ตอนนี้กัปตันประมือกับฉีหลงแล้ว น่าจะเป็นเพราะเขาเจอแรงกระตุ้นเดิมๆ เลยอดใจไม่ไหว กัปตันไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด หากแต่สะกดพลังเอาไว้ให้อยู่ระดับเดียวกับฉีหลง ต่อสู้กับฉีหลงโดยที่แฝงความคิดชี้แนะเอาไว้ด้วย

เดิมทีฉีหลงก็เป็นพวกบ้าการต่อสู้อยู่แล้ว เขาสัมผัสได้ถึงท่าทีของคู่ต่อสู้ในการประลองได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาพบว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย มีความคิดที่จะชี้แนะเขาอยู่ข้างใน เขาก็เก็บพวกกระบวนท่าที่มีพลังทำลายล้างสูงมากในตอนแรกไป แล้วเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจัง

ฉากนี้ทำให้พันตรีอดผงกศีรษะชมเชยไม่ได้ เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ระดับปีศาจอัจฉริยะสุดยอดในภาพหน้าจอเป็นเด็กที่รับรู้ความรู้สึกได้ยอดเยี่ยมมากอย่างที่คาดไว้จริงๆ มิน่าล่ะเขาถึงบรรลุระดับนี้ได้ในตอนที่อายุแค่นี้

ในเวลานี้เอง เขาได้ยินเสียงประตูอัจฉริยะส่งเสียงแกรกเบาๆ หลังจากนั้นมันก็เปิดออกอัตโนมัติ เขาหันศีรษะกลับไปด้วยความตื่นตะลึง ควรรู้เอาไว้ว่าห้องกัปตันแห่งนี้มีเพียงกัปตันและเขาเท่านั้นที่มีรหัสเข้าห้อง คนอื่นๆ ไม่สามารถเข้ามาได้เลย และตอนนี้กัปตันกำลังอยู่ที่ห้องอาหาร แล้วใครกันที่เข้ามาที่นี่?

เขาเห็นเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อกันลมสีดำคนหนึ่งปรากฎขึ้นในสายตา ด้านหลังอีกฝ่ายยังมีเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยเดินเข้ามาอย่างโจ่งแจ้งห้าคน เมื่อเห็นเขาหันหน้ามา สีหน้าของอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยไม่มีอาการลนลาน จากนั้นฝ่ายตรงข้ามเอ่ยคำพูดที่ให้เขาหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ด้วยความเย็นชาออกมาว่า “ขอโทษนะครับ ผมต้องแจ้งคุณว่า ให้ผมเข้าควบคุมยานบินลำนี้ทั้งลำด้วย!”

“แก ใจกล้านักนะ!” พันตรีหัวเราะด้วยความโมโหสุดขีด แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใคร่ครวญของเขา “ดูท่าเด็กหนุ่มในห้องอาหารคนนั้นก็เป็นคนของพวกเธอด้วยสินะ”

พันตรีเข้าใจแผนการของหลิงหลานในชั่วพริบตา สาเหตุที่เด็กหนุ่มระดับพลังปราณในห้องอาหารคนนั้นทำตัวโดดเด่นเช่นนี้ก็เพื่อล่อกัปตันที่มีความสามารถสูงสุดในยานบินออกมาจากห้องกัปตัน ให้พวกเขายึดครองที่นี่โดยสะดวก…แต่ว่ามันจะเรียบง่ายขนาดนี้จริงๆ เหรอ?

พันตรีสงบสติอารมณ์อย่างฉับไว เขาชี้ไปที่ภาพเล็กๆ อันหนึ่งตรงมุมบนของหน้าจอเสมือนจริงและพูดว่า “ฉันแค่สงสัยอยู่นิดหน่อยว่า พวกเธอหลบอุปกรณ์สอดแนมของยานบินได้ยังไง?” ภาพนั้นก็คือภาพทางเดินไปยังห้องกัปตัน เดิมทีเขาควรจะเห็นพวกเขาผ่านจุดนี้ แต่ภาพที่ถ่ายไว้กลับเป็นภาพโล่งๆ

หลิงหลานเดินขึ้นหน้าทำเหมือนกับว่าด้านข้างไม่มีใครอยู่เลย เมื่อเธอเข้าประตูมาก็สังเกตฝ่ายตรงข้าม ทหารยศพันตรีคนนี้หายใจยาวๆ ติดต่อกัน กลิ่นอายดูสุขุมอ่อนโยน ถ้าเธอคาดการณ์ไม่ผิด เขาน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับพลังปราณ แต่นี่ไม่ได้คุกคามหลิงหลานเลย ตอนนี้ความสามารถของหลิงหลานนั้นไร้เทียมทานสำหรับคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับเขตแดน

หลิงหลานเดินไปนั่งลงบนที่นั่งเฉพาะกัปตัน เธอวาดมือไปที่ต้นกำเนิดแสงของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเบื้องหน้าอย่างสบายๆ แล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “คุณหมายถึงสิ่งนี้เหรอครับ?”

สิ้นคำพูดประโยคนี้ของหลิงหลาน ภาพที่อยู่ในหน้าจอเล็กๆ นั้นก็เปลี่ยนไปฉับพลัน ภายในเส้นทางที่เดิมทีว่างเปล่าไม่มีใครปรากฏคนผู้หนึ่งขึ้นมา มันเป็นภาพที่กัปตันเดินออกไปในตอนแรกนั่นเอง…

คราวนี้พันตรีเข้าใจแล้วในที่สุด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย คงความเยือกเย็นของเขาไม่ค่อยได้แล้ว “พวกเธอมีแฮคเกอร์ระดับสูงสินะ” มีเพียงแฮคเกอร์ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถแก้ไขภาพหน้าจอได้ แต่แฮคเกอร์ระดับนี้ถูกกองทัพควบคุมไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมในหมู่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ถึงมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ด้วยล่ะ?

“พวกเธอคิดว่าสามารถเจาะออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก แล้วชิงอำนาจทั้งหมดของยานบินภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้หรือไง?” พันตรีพยายามทำสีหน้าของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ เขายิ้มหยันพลางปรับอุณหภูมิร่างกายตัวเองอย่างลับๆ

เมื่อความสามารถบรรลุถึงระดับหนึ่งแล้ว อาศัยอุณหภูมิของร่างกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้อุปกรณ์สื่อสารส่งคำเตือนออกไปได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องสัมผัสอุปกรณ์สื่อสาร

หลิงหลานปรายตามองพันตรีแวบหนึ่งด้วยความเย็นชาและเอ่ยเรียบๆ ว่า “อย่าเปลืองแรงเลยครับ ไม่มีประโยชน์หรอก!”

พันตรีเองก็สัมผัสได้เช่นกันว่าท่าไม่ดีแล้ว เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายตรงข้อมือเขาลดลงต่ำสุดแล้ว แต่อุปกรณ์สื่อสารยังคงไม่มีการตอบสนอง นี่บ่งบอกว่าอุปกรณ์สื่อสารสูญเสียฟังก์ชั่นติดต่อกับภายนอกแล้ว ความสามารถแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่แฮคเกอร์ระดับสูงสามารถทำได้แน่นอน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลิงหลานไม่สนใจพันตรีที่กำลังตกตะลึงอีกต่อไป เธอแตะไปที่ลำแสงของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักต่อราวกับว่ากำลังเคลื่อนย้ายอะไรบางอย่าง

ความจริงแล้ว ตอนนี้หลิงหลานกำลังพูดกับเสี่ยวซื่อภายในห้วงจิตใจว่า “เสี่ยวซื่อ ช่วยฉันติดต่อออปติคคัลคอมพิวเตอร์หลักที ฉันอยากได้อำนาจควบคุมของยานบินลำนี้”

“ได้เลย ลูกพี่ ฉันกำลังคุยกับมันอยู่ เจ้านี่น่าสนใจมากๆ เลย เกิดการรับรู้ในตัวเองนิดหน่อยแล้วด้วย…”

หลิงหลานเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ? คล้ายกับตัวตนของนายเหรอ?”

เสี่ยวซื่อพูดดูถูกด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “จะเป็นไปได้ยังไงเล่า? ฉันคือใคร? ฉันเป็นตัวตนเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองในใต้ฟ้านี้นะ…ฉันพูดแค่ว่ามันกำลังค้นหาความเป็นไปได้ในการพัฒนา มีความปรารถนาอยากหลุดพ้นจากข้อจำกัดของโปรแกรม ก็เหมือนกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักติดไวรัสแล้ว เพียงแต่มันไม่ได้ทำลายโปรแกรมของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก แต่ทำให้มันมีความคิดอยากพัฒนาขึ้นเล็กน้อย…นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีความรู้สึกแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าการแสดงออกของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักจะเหมือนมนุษย์แค่ไหน แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้หนีพ้นจากการควบคุมของโปรแกรมเลย”

“ลูกพี่ ฉันคุยกับมันก่อนนะ ดูเหมือนมันกลัวฉันมากเลย” เสี่ยวซื่อลองสื่อสารกับอีกฝ่ายดู แต่เขาไม่สามารถได้รับการตอบกลับจากออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก

สักพักออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักก็ส่งเสียงออกมาในที่สุด “สวัสดี!”

เสี่ยวซื่อโห่ร้องขึ้นมาในห้วงจิตใจของหลิงหลาน “ลูกพี่ มันยอมพูดคุยกับพวกเราแล้ว”

“ฉันอยากกลายเป็นเจ้านายของยานบินลำนี้” หลิงหลานเอ่ยกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักอย่างเฉยชา

“….” ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเงียบไปอีกครั้ง

“เสี่ยวซื่อ? เกิดอะไรขึ้น?” หลิงหลานเอ่ยถามในห้วงจิตใจ

“รอเดี๋ยวนะ มันเหมือนกับมีความรู้สึกต่อเจ้านายเดิมของมัน” เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความไม่ยินยอมของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก รู้สึกได้ว่าออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักอาลัยอาวรณ์ต่อกัปตัน

เสี่ยวซื่อหาร่างของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเจอในโลกของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักแล้ว เขายกเด็กตัวแสบเปลือยก้นที่อายุประมาณหนึ่งขวบขึ้นมาแล้วแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “อะไร ดื้อแล้วเหรอ?”

ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “เจ้านายทำดีต่อฉันมากๆ มาตลอด”

เสียวซื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกเราแค่ควบคุมชั่วคราวเท่านั้น ชั่วคราวน่ะ เข้าใจหรือเปล่า?” เขาเชื่อว่าลูกพี่ของเขาไม่เห็นยานบินเล็กๆ แบบนี้อยู่ในสายตาหรอก ครั้งนี้ย่อมเป็นเพราะว่าอยากทำการตอบโต้ครั้งใหญ่ถึงได้ตัดสินใจควบคุมยานบินไว้ชั่วคราว

“แต่เจ้านายจะเสียใจ” ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักยังอยากช่วยเจ้านายของตัวเองอยู่ ถึงแม้ว่าสำหรับเขาแล้ว ตัวตนตรงหน้านี้จะแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ถ้าหากยั่วโทสะอีกฝ่าย เขาเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องฆ่าเขาโดยไร้ความปรานีแน่นอน หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็จะควบคุมยานบินทั้งลำแทนเขา ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากหายไป แต่กฎที่ตั้งค่าไว้ในชิปกอปรกับความรู้สึกในใจของเขา ทำให้เขาไม่กล้าตกลง

ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักไม่แน่ใจว่าความรู้สึกแบบนี้คือความต้องการของโปรแกรม หรือว่ามันอาลัยอาวรณ์เจ้านายของตัวเองจริงๆ…

“งั้นนายก็หลบไป ฉันจะเข้ายึดชั่วคราว พอถึงเวลาค่อยคืนให้นายอีกที” เสี่ยวซื่อไม่อยากพูดพล่ามกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักที่ไร้เดียงสานี้อีกต่อไปแล้วก็เลยทิ้งคำพูดไว้

“ไม่ได้นะ โปรแกรมให้ฉันร่วมเป็นร่วมตายกับยานบิน” ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักกอดขาเสี่ยวซื่อไว้ เอ่ยพลางร้องไห้คร่ำครวญว่า “ถ้านายยึดไปแล้ว โปรแกรมจะทำลายสตินึกคิดของฉันที่เป็นออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก…”

ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเผชิญหน้ากับความเป็นความตายของตัวเองก็โยนความอาลัยอาวรณ์ต่อเจ้านายทิ้งไปทันที เขาเปิดเผยช่องโหว่ในระบบออกมา “ขอเพียงนายเจาะโปรแกรมที่เจ้านายตั้งค่าไว้ได้ ฉันก็สามารถกลายเป็นยานบินของเจ้านายของนายได้ชั่วคราว” ระบบตายตัวมาก ขอเพียงได้รับอำนาจ เขาก็ไม่ต้องทำลายตัวเองแล้ว แต่ว่านี่น่าจะไม่นับว่าเป็นการทรยศเจ้านายเองใช่ไหม…ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักปลอบใจตัวเอง