ตอนที่ 217 ประกาศสงครามอย่างเปิดเผย!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“บอกให้เร็วกว่านี้สิ!” เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว สำหรับเขาแล้วการเจาะโปรแกรมอะไรนั่นก็เป็นแค่เคสเล็กๆ ทำได้ง่ายๆ

เสี่ยวซื่อพลันเกิดความคิดแล่นวาบขึ้นมาแล้วก็เจาะไปที่มาตรการป้องกันที่กัปตันตั้งค่าไว้รอบๆ ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักมองเสี่ยวซื่อด้วยความนับถือ มีความคิดอยากจะทิ้งเจ้านายคนปัจจุบัน แล้วไปติดตามผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่นี้แทน…

เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความคิดของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก ก็รีบเอ่ยว่า “นายยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ความสามารถในการปิดบังอำพรางก็แย่ด้วย เมื่อออกไปแล้วก็จะถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตรวจตราสังเกตเห็น ไม่สู้อยู่ที่นี่เติบโตอย่างมั่นคง แล้วเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นจะดีกว่า…”

ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของยานบินนี้มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนา เห็นได้ว่าปกติแล้วกัปตันที่ดูหยาบกระด้างคนนั้นทะนุถนอมออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักที่โง่เง่าน่ารักนี้มากๆ ถือได้ว่าเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง

เสี่ยวซื่อไม่อยากล่อลวงเด็กน้อยเยาว์วัย นี่ทำให้เขารู้สึกมีความผิดมาก ดังนั้นถึงได้รีบห้ามปรามไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักดูโศกเศร้าเสียใจอยู่บ้างก็เอ่ยปลอบใจว่า “วางใจเถอะ ไว้นายโตแล้ว ฉันจะพานายไปด้วยกัน…”

คำพูดปลอบโยนที่ไม่มีกะจิตกะใจของเสี่ยวซื่อทำให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักมีความคิดเป็นของตัวเองและก็ทำให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของยานบินลำนี้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงขนาดที่ทำให้พวกหลิงหลานได้รับการช่วยเหลืออย่างมหาศาลจากออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของยานบินลำนี้ในเวลาช่วงหนึ่งของอนาคตให้หลัง…

พูดได้แค่ว่าออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักน้อยที่ไร้เดียงสานี้แค่ได้เจอเสี่ยวซื่อชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่แต่งให้ใครอีก…

“ถอนคำสั่งที่กำหนดโดยเจ้านายคนก่อน ตอนนี้เชื่อฟังคำสั่งจากเจ้านายคนใหม่ เจ้านายโปรดตั้งชื่อยานบินใหม่อีกครั้ง” ในที่สุดออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักก็กล่าวคำพูดที่บ่งบอกถึงการย้ายอำนาจ ทำให้สีหน้าของพันตรีเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด “เธอทำแบบนั้นไม่ได้นะ!”

ถ้าหากถูกนักเรียนทหารใหม่เหล่านี้ได้รับอำนาจควบคุมยานบินลำนี้ไปจริงๆ ละก็ พวกเขาต้องโดนเพื่อนร่วมรบในเส้นทางอื่นๆ ล้อเลียนแน่นอน ถึงขนาดที่โงหัวไม่ขึ้นไปตลอดชีวิต

พันตรีรู้ว่าเขาจะต้องห้ามหลิงหลานเอาไว้ให้ได้ เขาพุ่งเข้าไปทันที พลังบนตัวถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด พยายามบีบหลิงหลานให้ออกจากที่นั่งของกัปตัน ตอนนี้เขารู้แล้วว่า แฮคเกอร์ระดับสูงที่อำพรางตัวไว้คนนั้นก็คือเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาที่ดูอ่อนเยาว์แต่กลับอำมหิตเย็นชาและดูเด็ดขาดอยู่บ้าง

การโจมตีอย่างดุเดือดของพันตรีไม่ได้ทำให้หัวใจหลิงหลานเกิดความเกรงกลัว เพราะว่าถึงแม้พันตรีจะดูเหมือนโจมตีดุดันมาก แต่หลิงหลานสัมผัสได้ว่าจิตสังหารในนั้นไม่ได้รุนแรงเลย เป้าหมายของอีกฝ่ายคือบีบให้หลิงหลานออกไป ไม่ใช่ฆ่าเธอ…

ทว่าเดิมทีความสามารถของพันตรีก็ด้อยกว่าหลิงหลานเล็กน้อยและตอนนี้เขาก็ไม่อยากทำร้ายหลิงหลานอีก ทำให้พลังโจมตีของเขาอ่อนแอลงไปอีกสามส่วน ถ้าหากพันตรีทุ่มสุดกำลัง ใช้ท่าไม้ตายโจมตี บางทีหลิงหลานอาจจะระมัดระวังขึ้นมานิดหน่อยและเลือกป้องกันสุดกำลังแทน แต่ตอนนี้หลิงหลานไม่รู้สึกถึงการคุกคามใดๆ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เลย….

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หลิงหลานจะไม่รู้สึกถึงการคุกคาม แต่เธอก็ไม่ได้มั่นใจอย่างหลับหูหลับตา เธอใช้ร่างกายรับกระบวนท่าของอีกฝ่ายไว้ เธอที่ทะนุถนอมชีวิตอย่างยิ่งยวดยังคงตัดสินใจยื่นฝ่ามือออกมาขวาง จากนั้นก็เห็นหลิงหลานดันมือขวาออกไปเบาๆ พลังปราณไร้รูปสายหนึ่งบีบไปหาอีกฝ่ายทันที!

เวลานี้เอง พันตรีรู้สึกได้เพียงการโจมตีของตัวเองถูกกำแพงไร้รูปร่างสกัดกั้นไว้ ระดับพลังและความหนาบริสุทธิ์ของการขวางกั้นนั้นทำให้เขาไม่สามารถสั่นคลอนมันได้ง่ายๆ เลย ควรพูดว่าพลังของอีกฝ่ายเทียบกับเขาแล้วมีแต่เหนือกว่า ไม่มีทางด้อยกว่าเลย

ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้พันตรีหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง พูดโพล่งออกมาว่า “สุดยอดขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณ?!”

พันตรีไปถึงช่วงกลางของขั้นสูงสุดระดับพลังปราณแล้ว เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองรองจากกัปตันในยานบินลำนี้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น เขายังคงรู้สึกได้ถึงความใจสู้แต่ไร้กำลังเหมือนกับตอนที่ประลองกับกัปตัน เพียงแต่มันไม่ได้ชัดเจนอย่างตอนกัปตันขนาดนั้น หรือว่าอีกฝ่ายไปถึงสุดยอดขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณแล้วจริงๆ?

พันตรีรู้สึกว่าตัวเองมึนงงสับสนอยู่บ้าง เขาส่ายศีรษะด้วยไม่อยากเชื่อ อยากจะโยนความคิดน่ากลัวของตัวเองทิ้งไป…นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด สถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะปรากฏนักเรียนระดับพลังปราณสองคนได้ยังไง บางทีเขาอาจจะยังเข้าใจได้ว่านักเรียนระดับพลังปราณขั้นต้นในห้องอาหารคนนั้นเป็นผลจากพรสวรรค์ของอัจฉริยะระดับปีศาจ แต่ว่านักเรียนระดับพลังปราณสุดยอดขั้นสูงสุดตรงหน้าเขาคนนี้ล่ะ? ปรากฏตัวออกมาอีกได้ยังไง? นี่มันแหกทฤษฎีขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วแน่นอน…

หลิงหลานสกัดกั้นการโจมตีของพันตรีอย่างสบายๆ ปากยังคงตอบออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักไปตามขั้นตอนว่า “คงชื่อเดิมเอาไว้!”

หลิงหลานไม่เคยคิดครอบครองยานลำนี้อย่างแท้จริง ดังนั้นเธอจึงไม่อยากทำเรื่องให้มากเกินไป นอกจากนี้อีกไม่นานยานบินก็จะไปถึงจุดลงทะเบียนที่แท้จริงของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง ถ้าหากเปลี่ยนชื่อยานบินแล้วถูกฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดว่าเป็นศัตรูจนโดนโจมตีอย่างไร้ความปรานีขึ้นมา นั่นคงเรียกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว หลิงหลานไม่ทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้หรอกนะ

“ยังคงชื่อ ‘แตรที่เจ็ด’ ไว้ รับทราบ!” ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักกล่าวเหมือนเครื่องจักรอย่างยิ่งยวด ออปติคัลคอมพิวเตอร์ไม่มีทางแสดงมุมที่เหมือนมนุษย์ต่อหน้าคนนอก นี่เป็นคำเตือนของเจ้านายคนก่อน เขาจดจำไว้ขึ้นใจเสมอ

คำตอบของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักทำให้พันตรีเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา ทว่าสีหน้าของเขาไม่ได้ดูแย่ขนาดตอนแรกแล้ว สายตาที่เหลือบมองหลิงหลานแฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดคนนอกไม่มีทางรู้ว่าแตรที่เจ็ดเปลี่ยนเจ้านายแล้ว…พวกเขายังมีโอกาสกอบกู้สถานการณ์

พันตรีไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะหลิงหลานได้ กอปรกับข้างกายเขายังมีนักเรียนห้าคนที่อยู่ระดับขัดเกลาจ้องทำร้ายอยู่ เขารู้ว่าฝืนทำไปย่อมไม่มีจุดจบที่ดีอะไร ในฐานะที่เขาเป็นเสนาธิการของยานบิน เขาเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ดังนั้น เขาจึงยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่ได้ขัดขืนอะไร เขาแบมือทั้งสองข้างบ่งบอกว่าเขาจะไม่ลงมือโจมตี

พันตรีรู้ดีว่า หากต้องการพลิกสถานการณ์นี้ก็ได้แต่รอให้กัปตันกลับมาเท่านั้น

เมื่อพันตรีให้ความร่วมมือขนาดนี้ หลิงหลานก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ ถึงยังไงหลิงหลานก็ไม่อยากได้ยานลำนี้จริงๆ เธอแค่อยากบอกเจ้าหน้าที่ของยานบินที่รับหน้าที่ทดสอบว่า นักเรียนใหม่อย่างพวกเขาไม่ใช่คนที่ยอมให้รังแกง่ายๆขนาดนั้น

ดังนั้นหลิงหลานจึงให้พวกหลินจงชิงห้าคนจับตามองพันตรีไว้ อย่าให้อีกฝ่ายทำเรื่องบุ่มบ่าม ส่วนเธอก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ของกัปตันอย่างใจเย็น อดทนรอคอยข่าวคราวของทีมอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ย

เดิมทีเธอคิดว่าเธอจะเป็นทีมที่ทำภารกิจเสร็จช้าที่สุด ไม่นึกเลยว่าตลอดทางจะราบรื่นมาก ไม่ได้ยืดเยื้อมากเกินไปนัก ทำให้กลุ่มของหลิงหลานกลายเป็นทีมที่ทำภารกิจเสร็จเร็วที่สุด

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าสำหรับหลายคนที่กำลังรออยู่นั้น ช่วงเวลาห้านาทียังคงชักช้าอยู่นิดหน่อย หลิงหลานได้รับคำรายงานจากอู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยตามลำดับ รู้ว่าพวกเขาต่างทำภารกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

อันที่จริงหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้เจอเรื่องยุ่งยากอะไร เพียงแต่ลูกเรือที่อยู่ในเขตที่พักของลูกเรือมีเยอะเกินกว่าที่คาดไว้ ทำให้พวกเขาเสียแรงมากขึ้นถึงจะจัดการได้หมด และจ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ โดยการที่มีนักเรียนสิบกว่าคนบาดเจ็บเล็กน้อย พวกเขาทำภารกิจของพวกเขาสำเร็จได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ

เมื่อเทียบกับทางหลี่อิงเจี๋ยที่ราบรื่นแล้ว ทางด้านอู่จย่งกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่บ้าง ไม่นึกเลยว่าหัวหน้าคุ้มกันห้องเครื่องจะไปถึงระดับขัดเกลาขั้นสูงสุด ขาดอีกก้าวเดียวก็ไปถึงระดับพลังปราณแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะอู่จย่งกับเยี่ยซวี่ตัดสินใจใช้วิชาลับที่ตกทอดในตระกูลออกมาทันที จ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บเพื่อทำร้ายอีกฝ่ายจนสาหัสแล้วละก็ เกรงว่าจนถึงตอนนี้พวกเขายังคงเอาห้องเครื่องมาไม่ได้

แน่นอนว่าเนื่องจากพวกเขาพกยารักษาไปมากพอจึงไม่มีอาการบาดเจ็บตกค้างอะไร ส่วนหัวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคนนั้นก็ถูกจับกรอกยาฟื้นฟูแล้ว ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่ถ้าหากเขาไม่พักรักษาตัวสักหลายเดือนก็คงไม่มีทางหายดี

ความสำเร็จของอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยยืนยันว่ายานบินตกอยู่ในมือนักเรียนใหม่แล้วจริงๆ เรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะทำสำเร็จแบบนี้ทำให้อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยรู้สึกตื่นเต้นและไม่กล้าเชื่อในขณะที่รายงาน ต่อให้เป็นหลิงหลานก็หัวใจลิงโลดขึ้นด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมภายใต้สีหน้าที่เยือกเย็นสงบนิ่งเช่นกัน

หลิงหลานร้อง ‘Yes’ เสียงสูงดังๆ ในใจ เธอสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สงบสติอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองลง หลังจากที่รอจนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองเยือกเย็นโดยสมบูรณ์แล้วถึงค่อยสั่งออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักว่า “ช่วยฉันเชื่อมต่อกับช่องสื่อสารทางวีดิทัศน์ทั่วทั้งยาน” เธอสั่งเสี่ยวซื่อในห้วงจิตใจว่าแจ้งฉีหลงให้หาโอกาสรีบหนีไปทันที

……

อุปกรณ์สื่อสารของฉีหลงส่งเสียงดังขึ้นทีหนึ่ง เขาเหลือบมองไปก็พบว่ามีเพียงอักษรตัวใหญ่คำว่า ‘หนี!’ หนึ่งคำเท่านั้น เขาถอยร่นหนีไปข้างหลังทันทีโดยไม่ใคร่ครวญเลยสักนิดเดียว เขาไม่ลืมเตือนลั่วล่างกับเซี่ยอี๋เสียงดังว่า “ลมหนาแน่นรั้งลมหายใจ!”

นี่เป็นสัญญาณลับที่หลิงหลานสอนให้พวกเขา สื่อความหมายว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว รีบหนีเร็วเข้า พวกฉีหลงคิดว่ามันน่าสนใจมาก ดังนั้นเมื่อพวกเขาต้องหลบหนีก็ไม่ลืมตะโกนคำพูดประโยคนี้เตือนเพื่อนๆ กันเอง

ลั่วล่างกับเซี่ยอี๋ย่อมรู้ดีว่านี่หมายความว่าอะไร มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกพี่หลานทำสำเร็จแล้ว กลัวว่าพวกเขาจะแบกรับโทสะของกัปตันไม่ไหว ดังนั้นจึงให้พวกเขาหนีไป ทั้งสองคนกระทืบเท้าทีหนึ่งก็พุ่งออกมาจากห้องอาหารอย่างรวดเร็วโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิดเดียว ทิ้งกัปตันและเหล่าผู้ชมการประลองที่ทำหน้ามึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

……

ขณะเดียวกันในห้องกัปตัน ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักได้รับคำสั่งของหลิงหลานก็เริ่มดำเนินการนับเวลาถอยหลังเปิดใช้ช่องสื่อสารทางวีดิทัศน์ทั่วทั้งยาน เมื่อตัวเลขนับถอยหลังสิ้นสุดลง ทันใดนั้นหน้าจอขนาดต่างๆ ทั่วทุกมุมของยานบินต่างเปิดขึ้นมา

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเย็นชาคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในจอภาพ สายตาเย็นเยียบกวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงเบื้องหน้าของหน้าจอ ทำให้บางคนที่ใจไม่แข็งอดรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นในใจไม่ได้

ต่อมาก็เห็นเด็กหนุ่มเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันขอประกาศว่า นับตั้งแต่นี้ไป แตรที่เจ็ดอยู่ในการควบคุมของพวกเรานักเรียนทหารใหม่แล้ว! ฉันคือหลิงหลานกัปตันชั่วคราว!”

คำประกาศนี้ทำให้คนทั่วทั้งยานต่างตกตะลึงไม่หยุด โดยเฉพาะพวกนักเรียนทหารใหม่ที่ไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือยิ่งรู้สึกสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ทันใดนั้นเองนักเรียนใหม่บางคนพลันตะโกนออกมาว่า “ฉันจำเขาได้ เขาคือลูกพี่ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ!”

เวลานี้เอง ภาพหน้าจอเปลี่ยนไปอีกครั้ง หน้าของอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยปรากฏขึ้นในหน้าจอขนาดใหญ่พร้อมกัน

“ห้องเครื่องถูกพวกเรายึดสำเร็จแล้ว! การขับเคลื่อนไม่ได้รับความเสียหาย สามารถเดินทางต่อได้!”

“พวกเราควบคุมเขตที่พักของลูกเรือเอาไว้แล้ว!” ด้านหลังของหลี่อิงเจี๋ยที่ทำหน้าเปี่ยมไปด้วยความลำพองใจและหยิ่งทระนงนั้นปรากฏ บรรดาลูกเรือที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งจากการถูกนักเรียนทหารใหม่เอาชนะ

“หมอนี่…” หลิงหลานขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าการกระทำอวดดีนี้จะกระตุ้นโทสะของพวกลูกเรือที่ยังเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในยานบิน เธอส่งสัญญาณให้ไปรับภาพที่ห้องควบคุมหลัก เมื่อสักครู่นี้เธอได้รับข่าวจากหานจี้จวินว่า เขาควบคุมที่นั่นโดยสมบูรณ์แล้ว

ดวงหน้าเคร่งขรึมของหานจี้จวินปรากฎขึ้นในหน้าจออย่างรวดเร็ว “พวกเราล็อกห้องหุ่นรบ ปิดผนึกคลังอาวุธของยานบินไว้เรียบร้อยแล้ว! และก็ถอดรหัสหาจุดหมายปลายทางได้แล้วเช่นกัน พวกเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางของเราได้อย่างปลอดภัย!”

ในที่สุดภาพก็กลับมาที่หลิงหลานอีกครั้ง “พวกเราคือนักเรียนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง พวกเราคือลูกรักของสวรรค์ เป็นเสาหลักของประเทศในอนาคต ไม่มีใครเหยียบย่ำเกียรติยศของเราได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงเตรียมการต่อสู้เอาไว้แล้ว! แล้วพวกนายที่เหลือล่ะ? จะทนรับการเหยียดหยามต่อไป หรือว่าจะร่วมต่อสู้ด้วยกันกับพวกเรา?”