ตอนที่ 104-2 เทศกาลโคมไฟ

ชายาเคียงหทัย

เมื่อส่งมู่หรงถิงและเหลิ่งเฮ่าอวี่ไปแล้ว เยี่ยหลีจึงหันมาเลิกคิ้วมองม่อซิวเหยาที่สีหน้าดูไม่ดีนัก “เป็นอันใดหรือ เหลิ่งเฮ่าอวี่พูดเรื่องอันใดที่ทำให้ท่านไม่พอใจหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายื่นมือไปดึงนางเข้ามากอดแนบอก ส่งเสียงเหอะเบาๆ “นอกจากเรื่องที่หย่งโจวแล้วยังจะมีเรื่องใดได้อีกหรือ เจ้าคนไร้ประโยชน์หลิ่วจิ้งอวิ๋นกับกวานถิ่งสองคนนั่น มีทหารในมือตั้งกว่าแสนนายแท้ๆ แต่กลับถูกทหารของม่อจิ่งหลีจำนวนแค่แสนนายตีเสียแพ้ไม่เป็นท่า”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “แสนคนหรือ ม่อจิ่งหลีแบ่งกำลังไปทางตะวันออกแล้วหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ถูกแล้ว ดูเหมือนในกองทัพของม่อจิ่งหลีจะมีคนที่เก่งมากอยู่คนหนึ่ง หลายวันก่อนเข้าสู้รบกับหลิ่วจิ้งอวิ๋นกับกวานถิ่ง เจ้าไร้ประโยชน์สองคนนั้นแพ้ไปอย่างราบคาบทั้งสามครั้ง หากไม่ได้ท่านแม่ทัพมู่หรงรีบยกทัพไปช่วยเหลือ เกรงว่าเมืองหย่งหลินคงจะย่อยยับคามือพวกมันเป็นแน่”

 

 

“ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ไม่มีทางยอมให้กองทัพตระกูลม่อเคลื่อนพลไปปราบทางใต้ ท่านโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์” เยี่ยหลียกมือขึ้นลูบแขนเขาพร้อมเอ่ยปลอบใจ

 

 

ม่อซิวเหยาถอนหายใจหนักๆ “ข้ารู้” เขาย่อมรู้ดีว่าม่อจิ่งฉียอมเสียดินแดนทางตอนใต้แม่น้ำอวิ๋นหลันให้ม่อจิ่งหลีเสียยังดีกว่าให้อำนาจของตำหนักติ้งอ๋องแผ่ลงไปถึงที่นั่น ดังนั้นสถานการณ์ในยามนี้จึงกลายเป็นว่า การศึกทางใต้ดูจะไม่มีท่าทีว่าจะชนะ และทหารแสนกว่านายในมือของเจ้าคนไร้ประโยชน์สองคนนั้นก็ดูจะไม่มีผลต่อการศึกเลยแม้แต่น้อย

 

 

ส่วนตำหนักติ้งอ๋องภายใต้การนำของม่อซิวเหยาต่อให้อยากยกกองหนุนลงใต้ไปช่วยเหลือเพียงใด ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ทหารอยู่ว่างๆ นั่งมองสถานการณ์ด้วยความร้อนใจเท่านั้น

 

 

“หลิ่วจิ้งอวิ๋นไม่เคยทำศึกมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบัญชาการกองทัพจำนวนนับแสนคน ท่านกวานถิ่งนั่นก็เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ท่านแม่ทัพเจิ้นกั๋วยามนี้สุขภาพไม่ดี จำต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ฮว่ากั๋งกงผู้เฒ่าก็อายุมากแล้วซ้ำยังไม่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท ผู้บัญชาการทหารภายใต้ตำหนักติ้งอ๋องยิ่งไม่ต้องพูดถึง เกรงว่าต่อให้ม่อจิ่งหลีคงได้คอบครองพื้นที่ทางใต้ไปทั้งหมด ฝ่าบาทก็คงไม่ยอมให้พวกเราออกไปทำศึกอยู่ดี” เยี่ยหลีเอ่ยความคิดของนางขึ้นเบาๆ

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึมว่า “มีท่านแม่ทัพมู่หรงคอยดูแล ขอเพียงเจ้าคนไร้ประโยชน์กวานถิ่งไม่สั่งการอันใดด้วยคิดว่าตนเองฉลาด อย่างไรก็น่าจะต้านไว้ได้อีกหลายเดือน เพียงแต่…เมื่อใดก็ตามที่ม่อจิ่งหลีได้ครอบครองดินแดนทางใต้ แล้วเราค่อยจัดการเขา ถึงตอนนั้นคงถึงเวลาตายของเขาแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ด้วยความเร็วของม่อจิ่งหลี หากถึงยามนั้นเข้าจริง ตัวท่านคงยังอยู่ที่เป่ยหรงกระมัง”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า ส่งเสียงเหอะด้วยความโกรธ “ช่างเถิด พวกเขาชอบทนทรมานก็ปล่อยให้ทนทรมานกันไปเถิด ยามนี้ข้าก็ไม่มีเวลาจะไปสนใจพวกเขาแล้ว ม่อจิ่งฉีมีเรื่องทำบ้างก็ดี จะได้มิต้องเอาแต่จับจ้องตำหนักติ้งอ๋องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะ “เกรงว่าต่อให้มีเรื่องมากยิ่งกว่านี้ก็คงยังไม่ลืมตำหนักติ้งอ๋องกระมัง”

 

 

“ในเมื่อเขาชอบจับจ้องติ้งอ๋องไม่วางตานัก ข้าก็จะให้เขาจับจ้องเสียให้พอ อาหลี พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถิด” มือข้างหนึ่งคล้องเอวบางของเยี่ยหลีไว้ ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนหมุนตัวพานางเดินออกไปด้านนอก

 

 

เยี่ยหลีหันมองท้องฟ้าด้านนอกด้วยความสงสัย “ฟ้าใกล้มืดแล้ว ท่านจะออกไปเดินเล่นที่ใดหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “ไปแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”

 

 

 

 

 

ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันอยู่อย่างขวักไขว่ เยี่ยหลีใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาก็หลายปี ไม่เคยรู้มาก่อนแลยว่าเมืองหลวงแห่งต้าฉู่ในยามค่ำคืนจะคึกคักถึงเพียงนี้

 

 

ที่ที่พวกนางมามิใช่สถานที่ที่บรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวงนิยมมากัน แต่เป็นถนนเส้นที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปมารวมตัวกัน

 

 

ยามค่ำคืนมีโคมไฟประดับเรียงราย สองข้างทางมีโคมไฟสารพัดรูปแบบบ้างเรียบง่ายบ้างหรูหราแขวนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ผู้คนเดินจับกลุ่มพูดคุยสรวลเสเฮฮากันอยู่เต็มท้องถนน ช่างเป็นภาพที่น่ารื่นรมย์ยิ่ง

 

 

เยี่ยหลีก้มลงมองมือทั้งสองที่ประสานกันอยู่ ถึงแม้ทุกที่จะเต็มไปด้วยโคมไฟ แต่อย่างไรก็ยังไม่สว่างไสวเท่ายามกลางวัน

 

 

บนถนนเส้นนี้โดยมากเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเมื่อทั้งสองเดินไปท่ามกลางผู้คนจึงไม่เป็นที่สะดุดตามากนัก อย่างมากก็เพียงมีบางคนหันมองหน้ากากบนใบหน้าของม่อซิวเหยา ก่อนจะนึกประหลาดใจในลักษณะท่าทางของคนทั้งสองเท่านั้น

 

 

“วันนี้เป็นวันอันใดหรือ” เยี่ยหลีเอนซบอยู่กับอกของม่อซิวเหยา มองคลื่นฝูงคนที่เดินผ่านไปมาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

 

 

ม่อซิวเหยายกมือขึ้นโอบกอดนางไว้ เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “มิใช่วันพิเศษอันใดหรอก ทุกเดือนในเมืองหลวงจะมีการจัดงานเทศกาลโคมไฟและตลาดกลางคืนขึ้น ในวันนี้ช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานจะช้ากว่าปกติสองชั่วยาม ดังนั้นจึงเป็นวันที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง นี่เป็นประเพณีของเมืองหลวง อาหลีไม่รู้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีเงียบไป นางไม่รู้จริงๆ ว่าในเมืองหลวงมีวันเช่นนี้อยู่ด้วย

 

 

ม่อซิวเหยาเอียงคอมองนางแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เที่ยวเล่นกับชาวบ้านเหล่านี้กับพวกขุนนางชนชั้นสูงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สมัยข้ายังเด็กจะมาที่งานนี้เกือบทุกเดือน จึงอยากพาเจ้ามาดูนานแล้ว”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “เช่นนั้นต่อไปหากมีเวลาว่าง พวกเรามาที่นี่กันทุกเดือนดีหรือไม่ ในเมืองหลวงนี้น่าเบื่อหน่ายไม่น้อยเลย”

 

 

เยี่ยหลีดูอ่อนหวานงดงามภายใต้แสงของโคมไฟ ม่อซิวเหยาโอบกอดนางไว้แนบอก ซุกหน้าลงกับหัวไหล่ของนางพร้อมหัวเราะเสียงต่ำ “ดีสิ หากอาหลีชอบ ต่อไปพวกเราจะมากันที่นี่ทุกเดือน”

 

 

คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่ากำลังโอบกอดหญิงสาวรูปร่างแบบบางไว้อย่างรักใคร่ ดูจากเสื้อผ้าและทรงผมแล้วรู้ว่าเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ในสายตาของทุกคนคู่นี้จะต้องเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่อย่างแน่นอน จึงอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้

 

 

ม่อซิวเหยาจับจูงเยี่ยหลีเดินกลืนไปกับฝูงชนอย่างคุ้นเคย ถึงแม้จะไม่ได้มาหลายปีแล้ว แต่เทศกาลโคมไฟดูจะเปลี่ยนไปไม่มากนัก ม่อซิวเหยายังคงตามหาจุดหมายของเขาได้อย่างคุ้นเคย

 

 

แผงร้านค้าข้างทางขายโคมไฟที่ดูหน้าตาค่อนข้างซอมซ่อ เจ้าของร้านเป็นชายชราผมขาวทั้งศีรษะ กำลังนำโคมไฟที่ทำเสร็จแล้วขึ้นแขวนบนราวด้วยความระมัดระวัง แต่ชายชราอายุอานามไม่น้อยแล้ว เขายกโคมไฟหน้าตาหรูหรางดงามขึ้นจะแขวน แต่ลองอยู่หลายคราก็ยังไม่สามารถนำมันขึ้นไปแขวนไว้ยังราวที่สูงสุดได้

 

 

ม่อซิวเหยาที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้า จึงยื่นมือไปรับโคมไฟจากมือของชายชรามาก่อนนำขึ้นไปแขวนให้เขา ชายชราชะงักไป เมื่อหันมามองจึงเห็นคู่หญิงสาวและชายหนุ่มที่ดูมีราศีไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป

 

 

ชายชรามองหน้าม่อซิวเหยาแล้วขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ขอบคุณคุณชายมาก…คุณชายท่านี้ดูคุ้นหน้าไม่น้อย ดูเหมือนข้าจะเคยพบคุณชายที่ใดมาก่อน”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ “หลายปีก่อนข้ามาที่นี่บ่อยๆ และเคยซื้อโคมไฟกับท่านไปไม่น้อย ท่านถึงได้คุ้นหน้าข้าอย่างไร”

 

 

ชายชราโบกมือด้วยความถ่อมตัว “ข้ามิบังอาจให้เรียกท่านหรอก คุณชายพาฮูหยินมาเดินดูงานโคมไฟหรือ ต้องการซื้อโคมไฟไว้ชมสักอันหรือไม่”

 

 

คำว่าฮูหยินดูจะทำให้ม่อซิวเหยาอารมณ์ดีไม่น้อย เขาเอียงหน้าหันมองเยี่ยหลี ก่อนหันไปชี้โคมไฟหน้าตาเรียบง่ายที่วางอยู่อีกด้านหนึ่ง “เอาสองอันนี้ก็แล้วกัน”

 

 

ชายชรามองทั้งสองด้วยความลำบากใจ คุณชายกับฮูหยินสองท่านนี้ถึงแม้จะมิได้แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่านัก แต่เขาแก่มาถึงปูนนี้ ขายโคมไปมาเกือบครึ่งชีวิต ได้พบเห็นคนผ่านไปมาไม่น้อย ทั้งสองคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นชนชั้นสูง ดูอย่างไรก็มิใช่คนที่จะชื่นชอบโคมไฟหน้าตาธรรมดาๆ เช่นนี้ได้

 

 

เยี่ยหลีมองสายตาของชายชราออก นางเพียงยิ้มบางๆ ตอบว่า “เอาสองอันนี้ก็แล้วกัน ดูแล้วเรียบง่ายแต่สง่างาม ซ้ำยังแปลกไม่เหมือนอันอื่นดีด้วย”

 

 

ครั้นชายชราเห็นทั้งสองดูจะอยากให้โคมไฟหน้าตาธรรมดาๆ สองอันนี้จริง จึงได้พยักหน้าและหยิบโคมไฟออกมาส่งให้

 

 

เยี่ยหลีรับมาก็เห็นเป็นโคมไฟหน้าตาธรรมดาๆ จริง แต่ฝีมือการทำประณีตไม่น้อย แต่หากนำไปเทียบกับแบบอื่นๆ ที่ดูประหลาดกว่าแล้ว โคมไฟอันนี้ก็เป็นเพียงโคมไฟธรรมดาๆ เท่านั้น แม้แต่ประดาษที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกยังเป็นเพียงกระดาษขาวธรรมดาแล้วนำดอกไม้ใบหญ้ามาประดับตกแต่งเล็กน้อยเท่านั้น อาจเป็นของที่เหลือจากการทำโคมไฟอันอื่นแล้วมาทำอันนี้ก็เป็นได้

 

 

ม่อซิวเหยารับโคมไฟจากมือเยี่ยหลีมามองสำรวจดู หันมายิ้มให้นางก่อนหยิบพู่กันที่ชายชราวางไว้อยู่ด้านข้างขึ้นมาวาดภาพลงบนโคมไฟนั้น ไม่นานก็วางพู่กันลง พยักหน้าด้วยความพอใจยิ่ง แล้วจึงส่งโคมไฟคืนให้เยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีก้มลงมอง ก็เห็นว่ากระดาษส่วนที่เคยเป็นพื้นขาวว่างเปล่า ยามนี้มีรูปหญิงสาวที่ดงงามนางหนึ่งในอิริยาบทต่างๆ เช่นถือม้วนกระดาษ ขมวดคิ้ว เด็ดดอกไม้และจับกระบี่ ถึงแม้จะเป็นเพียงการตวัดพู่กันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทำให้ความงามของหญิงสาวในภาพโดดเด่นออกมาจากกระดาษ

 

 

โคมไฟที่เดิมเคยดูธรรมดาๆ จึงกลายเป็นโคมไฟหญิงงามที่ประณีตสวยงามขึ้นมาทันที

 

 

เยี่ยหลีมองโคมไฟในมือ หันมองโคมไฟอีกอันที่วางอยู่ด้านข้าง แล้วจึงระบายยิ้ม นางหยิมพู่กันขึ้นมาขีดเขียนลงบนโคมไฟนั้นบ้าง นางใช้เวลามากกว่าม่อซิวเหยาเล็กน้อย ม่อซิวเหยามิได้ว่าอันใด เพียงรอให้นางวาดจนเสร็จ

 

 

จนเมื่อเยี่ยหลีวาดเสร็จแล้วส่งโคมไฟให้เขาดู ม่อซิวเหยาก็ถึงกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

 

 

บนโคมไฟนั้น เป็นภาพชายหนุ่มกำลังขี่ม้าจับอาวุธอยู่อย่างน่าเกรงขาม เยี่ยหลีมิได้วาดออกมาเป็นหลายภาพเหมือนอย่างม่อซิวเหยา ในภาพมีเพียงชายหนุ่มที่พุ่งทะยานอยู่บนหลังม้าประหนึ่งเทพเจ้าแห่งสงครามที่ดุดันและน่าเกรงขามเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นยามที่พวกเขาอยู่ที่เมืองหย่งหลิน

 

 

ม่อซิวเหยามองโคมไฟในมือแล้วยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “ยามนั้น ข้าในสายตาของอาหลีเป็นเช่นนี้หรอกหรือ”

 

 

ใบหน้าเยี่ยหลีแดงระเรื่อขึ้นทันที เสหยิบโคมไฟหญิงงามของตนขึ้น “ลายพู่กันข้ามิได้งดงามเท่าของคุณชาย ไม่ชอบก็แล้วไปเถิด”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะไม่ชอบได้อย่างไร ข้าจะเก็บมันไว้ให้ดีทีเดียว” ยิ่งได้มองภาพคนบนโคมไฟ แววตาม่อซิวเหยายิ่งเต็มไปด้วยความสุข เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่แท้เขาในสายตาของอาหลีจะโดดเด่นและน่ายำเกรงเช่นนี้

 

 

เขาควักเงินออกมาจ่ายค่าโคมไฟที่ทั้งสองต่างวาดภาพเพิ่มเติมให้กับชายชรา ม่อซิวเหยาจับมือเยี่ยหลีพาออกเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

 

ชายชราที่กำลังมองทั้งสองอย่างเหม่อลอย ก้มลงมองเหรียญเงินในมือที่มากพอๆ กับที่เขาขายโคมไฟได้ทั้งคืน แล้วตาเขาก็เป็นประกายขึ้น ตื่นเต้นประหนึ่งนึกอันใดขึ้นมาได้ “คือ…ที่แท้คือ…” คือผู้ใดนั้นเขายังคงพูดไม่ออก

 

 

ชายชราเหม่อมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่ค่อยเดินห่างออกไป หลายปีก่อนเคยมีชายหนุ่มในชุดผ้าไหมท่าทางสูงส่งมาซื้อโคมไฟกับเขาที่นี่ทุกเดือน และทุกครั้งชายหนุ่มผู้นั้นจะเลือกเอาโคมไฟที่หน้าตาธรรมดาๆ ที่สุด และทุกครั้งเขาจะให้เงินในจำนวนที่มากพอจะซื้อโคมไฟดีๆ ได้ เมื่อเวลาล่วงเลยไปเขาถึงได้เข้าใจว่า ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นว่าเขาอายุมากแล้วซ้ำยังอยู่ตัวคนเดียว กลัวว่าโคมไฟอันที่ทำออกมาไม่ดีจะไม่มีคนซื้อ ถึงได้เลือกซื้อโคมไฟอันนั้นไป เพียงแต่ชายหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนไม่เคยมาปรากฏตัวที่นี่นานแล้ว…