ตอนที่ 105 เหยาจี

ชายาเคียงหทัย

ทั้งสองต่างเป็นคนที่ประสาทหูและตาดีกว่าคนทั่วไป หลังจากเดินพ้นร้านมาได้ไม่เท่าไร เสียงอุทานต่ำๆ ของชายชราพวกเขาย่อมได้ยินอย่างชัดเจน

 

 

           เยี่ยหลีอมยิ้มปรายตามองม่อซิวเหยา ”มีคนล่วงรู้ถึงฐานะของท่านเสียแล้ว ท่านอ๋อง”

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก เมื่อก่อนข้ามาที่นี่บ่อยๆ เพียงแต่ไม่คิดว่าชายชราท่านนั้นจะยังจำข้าได้เท่านั้น”

 

 

           ชีวิตของม่อซิวเหยาเรียกได้ว่าถูกแบ่งออกเป็นสองโลกตั้งแต่เขาอายุสิบเจ็ดปี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตเขาพลิกผันประหนึ่งหน้ามือเป็นหลังมือ หากมิใช่คนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ก็ยากที่จะเชื่อมชีวิตของทั้งสองคนเข้าด้วยกันได้

 

 

           เยี่ยหลีก้มลงมองโคมไฟที่เพิ่งวาดเสร็จและยังมีกลิ่นหมึกในมือ มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ

 

 

           ทั้งสองถือโคมไฟอยู่ในมือ เดินเรื่อยๆ ไปบนถนนเช่นเดียวกับหญิงสาวและชายหนุ่มคนอื่นๆ ด้วยรูปลักษณ์และท่าทางที่ไม่เหมือนคนทั่วไปนัก จึงดึงดูดสายตาใคร่รู้และอิจฉาให้มองมาได้ไม่น้อย แต่หากเทียบกับสายตาสอดรู้และจ้องจะหาเรื่องของคนในวังและบรรดาชนชั้นสูงแล้ว สายตาที่มองมาในยามนี้ดูจะทำให้เป็นสุขกว่ามากนัก

 

 

           เยี่ยหลีเดินพร้อมสอดส่องสายตาใคร่รู้ไปยังร้านค้าประเภทต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ของที่วางขายอยู่นั้นดูมิใช่ของดีอันใด เป็นของที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปใช้กัน ถึงแม้จะเรียบง่ายไม่หรูหราแต่กลับทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเข้าถึงได้มากกว่า

 

 

           ม่อซิวเหยาอมยิ้มจูงเยี่ยหลีไปยังร้านขายเครื่องประดับ เครื่องแป้งและเครื่องหอมร้านหนึ่ง ร้านค้าข้างทางเล็กๆ ย่อมไม่มีของมีราคาหรือของดีอันใดนัก คู่ชายและหญิงวัยกลางคนที่กางแผงขายของอยู่นั้น ย่อมมองออกว่าคู่หญิงชายตรงหน้านี้มิใช่คนธรรมดาทั่วไป ถึงแม้ไม่แน่ว่าจะชื่นชอบของๆ พวกตน แต่ยังคงเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ซื้ออย่างแข็งขัน

 

 

           ม่อซิวเหยาหยิบปิ่นมุกที่ทำเป็นรูปดอกไม้หน้าตาธรรมดาๆ ขึ้นมาเทียบกับเยี่ยหลี ก่อนส่ายหน้าและวางกลับลงที่เดิม

 

 

           มือเรียวยาวประหนึ่งหยกหยิบปิ่นดอกไม้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง ยื่นไปตรงหน้าม่อซิวเหยา เยี่ยหลีเลิกคิ้วยิ้มถามว่า “อย่างไรหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ “ปิ่นดอกไม้อันนี้มีแต่จะถูกทำให้หม่นแสงไปเท่านั้น อาหลีเหมาะกับไข่มุกที่เปล่งประกายสดใสมากกว่า หลายวันก่อนข้าได้สั่งไข่มุกราตรีของร้านเฟิงหวาไว้ พรุ่งนี้ไปดูด้วยกันว่าอาหลีอยากให้ทำออกมาเป็นแบบใดดีหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มหมุนปิ่นมุกเรียบๆ ในมือ “ต่อให้ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำให้ท่านหมดตัว แต่ข้ากลับนึกกลัวว่าบรรดาคุณหนูและคุณหญิงคุณนายชนชั้นสูงในเมืองหลวงจะใช้สายตาฆ่าข้าเอา”

 

 

           เครื่องประดับของร้านเฟิงหวาขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในเมืองหลวง ชนชั้นสูงทั้งหลายเพียงเป็นเจ้าของเครื่องประดับของร้านนั้นเพียงไม่กี่ชุด ก็เพียงพอที่จะนำไปพูดโอ้อวดได้แล้ว

 

 

           ผู้อื่นอาจไม่รู้แต่ตัวเยี่ยหลีเองนั้นรู้ดีว่า ตั้งแต่แต่งงานเข้ามา เครื่องประดับที่นางใช้เกือบทั้งหมดสั่งมาจากร้านเฟิงหวา จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งยามที่เยี่ยหลีออกไปไหนมาไหน ถึงแม้นางจะพยายามเลือกเครื่องประดับชิ้นที่คิดว่าธรรมดาที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่งสายตาจับจ้องมายังเครื่องประดับบนตัวนาง

 

 

           “หากการซื้อเครื่องประดับเพียงไม่กี่ชุดจะทำให้ตระกูลข้าล่มจมแล้วล่ะก็ คงบอกได้เพียงว่าตระกูลของพวกเรายากจนเกินไป” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ เขาหยิบปิ่นจากมือเยี่ยหลีมาเสียบให้นางเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าหวังให้อาหลีได้ของที่ดีที่สุด”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ขอเพียงชอบก็ถือเป็นของที่ดีที่สุดแล้ว หากมิชอบแล้วต่อให้เป็นของดีเพียงใดก็ไม่คุ้มเงินแม้สักแดงเดียว”

 

 

           ดวงตาม่อซิวเหยามีประกายขบขัน เอ่ยถามเสียต่ำว่า “เช่นนั้นอาหลีชอบอันใดหรือ” เพียงแค่ชื่นชอบเท่านั้นหรือ มิรู้ว่าที่เขาพูดถึงคือปิ่นดอกไม้ชิ้นนี้หรือของสิ่งอื่น

 

 

           ใบหน้างดงามของเยี่ยหลีแดงระเรื่อขึ้น หันหน้าไปเอ่ยเสียงต่ำว่า “ชิ้นนี้พอใช้ได้”

 

 

           เมื่อจ่ายเงินแล้ว คู่สามีภรรยาเจ้าของแผงเอ่ยชื่นชมไม่หยุด ทั้งสองคนต่างไม่ใส่ใจ จับมือหมุนตัวเดินจากไป ระหว่างเดินไปนั้น ม่อซิวเหยาหันมองหญิงสาวข้างกาย ปิ่นไข่มุกดอกไม้ที่ดูไม่สะดุดตา เมื่ออยู่ท่ามกลางเส้นผมที่ดำขลับแล้ว ก็ดูจะส่องประกายออกมาได้อย่างงดงาม

 

 

           “ด้านนั้นเขาทำอันใดกันหรือ” เยี่ยหลีมองไปข้างหน้าที่กำลังส่งเสียงอึกทึกกันอยู่ ฝูงชนโดยมากต่างมุ่งหน้าไปทางนั้น มองไปก็เห็นเพียงฝูงชนที่แออัดกันอยู่เท่านั้น

 

 

           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คงมีอันใดน่าสนุกกระมัง พวกเราไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง” ม่อซิวเหยานำโคมไฟส่งให้ผู้ติดตามที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ก่อนจูงเยี่ยหลีให้ออกเดินตามฝูงชนไป

 

 

เยี่ยหลีหันมองเห็นว่าองครักษ์ที่ถือโคมไฟอยู่ในมือนั้นดูไม่คุ้นหน้า จึงขมวดคิ้วถามว่า “ข้าเกือบลืมไปเลย ตั้งแต่กลับมานี่ข้ายังมิได้เห็นอาจิ่นอีกเลย” แต่ไหนแต่ไรมาอาจิ่นเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ยามที่ติดตามม่อซิวเหยาโดยมากมักเข็นรถเข็นของม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์เท่านั้น ยามนี้เมื่อขาทั้งสองข้างของม่อซิวเหยากลับมาเป็นปกติแล้ว อาจิ่นก็ดูเหมือนจะถูกลืมไปด้วย

 

 

ม่อซิวเหยาหันมาส่งยิ้มให้นาง “ข้าสั่งให้เขาไปจัดการเรื่องอื่นน่ะ เขาก็โตแล้ว จะเป็นองครักษ์ติดตามข้าไปตลอดคงมิได้”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า อาจิ่นเป็นหลานชายแท้ๆ ของหัวหน้าพ่อบ้านม่อ หัวหน้าพ่อบ้านม่อตรากตรำทำงานเพื่อนตำหนักอ๋อง ไม่มีทั้งบุตรชายและบุตรสาว พ่อแม่ของอาจิ่นก็เสียชีวิตเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง หากม่อซิวเหยาจะดูแลอาจิ่นเป็นพิเศษสักหน่อยก็มิใช่เรื่องแปลก

 

 

เมื่อเบียดเข้าไปในฝูงชนแล้วถึงได้เห็นว่า ที่มุมถนนมีการยกพื้นขึ้น ผ้าหลากสีประดับตกแต่งยกพื้นนั้นจนดูมีสีสันสะดุดตา ด้านบนที่ยกพื้นยังไม่มีคนทำการแสดง แต่ด้านล่างกลับมีคนเบียดเสียดแออัดกันอยู่เต็มไปหมด

 

 

เยี่ยหลีเห็นชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ หน้าแดงด้วยความตื่นเต้น จึงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ที่นี่เขาทำอันใดกันหรือ”

 

 

ชายกลางคนหันมอง เห็นว่ามีหญิงสาวหน้าตางดงามลักษณะไม่เหมือนคนทั่วไป ก็ถึงกับชะงักไป และตอบอย่างเป็นมิตรว่า “แม่นางเหยาจี นางรำอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงจะขึ้นทำการแสดงที่นี่ ทั้งยังจะโยนดอกไม้ผ้าเอ่อ…” พูดไปได้ครึ่งหนึ่งดูเหมือนจะคิดได้คนที่ตนพูดด้วยนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาดี ชายผู้นั้นจึงหน้าแดงก่ำขึ้นทันที และถึงมิได้เอ่ยส่วนที่เหลือต่อ

 

 

แต่ถึงแม้จะมิได้เอ่ยให้ชัดเจน แต่ก็มิได้ทำให้เยี่ยหลีไม่เข้าใจ นางอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหันไปถามม่อซิวเหยาด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหยาจี…คนที่เขาพูดถึงคงมิใช่คนเดียวกับที่ข้ารู้จักหรอกกระมัง”

 

 

“ดูเหมือนจะใช้” ม่อซิวเหยาตอบยิ้มๆ

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ถึงแม้น่าจะเคยพบเหยาจีเพียงสองครั้ง แต่นางก็มีความประทับที่ดีกับหญิงสาวผู้นั้นไม่น้อย จะว่าไป เหยาจีมิได้เป็นเพียงนักร่ายรำเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของโรงละครชิงเฉิงแห่งแรกในเมืองหลวงอีกด้วย

 

 

ถึงแม้เหยาจีจะถือเป็นชนชั้นล่าง แต่ด้วยฐานะของเหยาจีเกรงว่าคงมิน้อยหน้าไปกว่าเหล่าคหบดีในเมืองหลวง หญิงสาวเช่นนี้ไม่ว่าจะโยนดอกไม้ผ้าเพื่อหาคู่ครองหรือหาคู่นอนก็ดูล้วนจะไม่จำเป็นทั้งสิ้น อีกทั้งนางเลือกจัดในสถานที่เช่นนี้ ถึงแม้จำนวนคนที่นี่จะไม่น้อย แต่ก็เป็นเพียงชาวบ้านสามัญธรรมดา หากว่าเหยาจีต้องการเลือกใช้ชีวิตกับคนธรรมดาที่นิสัยดีแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้

 

 

ม่อซิเหยาเห็นนางขมวดคิ้ว จึงยิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “ได้ยินว่าเหยาจีกับมู่หยางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา เดือนหน้ามู่หยางก็จะเข้าพิธีต่างงานกับหลานสาวของใต้เท้าซุนแห่งกรมพิธีการแล้ว มิรู้ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่”

 

 

“เหยาจีกับมู่หยางคือ” เยี่ยหลีจำได้ว่านางเคยพบมู่หยางอยู่สองสามครา ถึงแม้จะมิเคยสนทนาด้วย แต่เพียงมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นคนหนึ่ง ข่าวลือเกี่ยวกับเหยาจีและมู่หยาง รวมถึงเฟิ่งจือเหยานางก็เคยได้ยินมาบ้าง ทว่าเท่าที่นางรู้จักเฟิ่งจือเหยา ข่าวลือนี้จึงดูจะเกินจริงไปบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่ากับเฟิ่งจือเหยานั้นจะเป็นเรื่องหลอก แต่ดูท่ากับมู่หยางน่าจะเป็นเรื่องจริง

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เหยาจีมีชื่อเสียงในเมืองหลวงตั้งแต่อายุได้เพียงสิบสามปี จนถึงยามนี้ก็เกือบเจ็ดปีแล้ว หลายปีนี้หากไม่ได้เฟิ่งซานและมู่หยางคอยคุ้มครอง นางที่เป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ คิดอยากตั้งโรงละครชิงเฉิง ซ้ำยังไม่ถูกชนชั้นสูงตอแย คงมิใช่เรื่องง่ายนัก ผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงเหล่านั้น มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความงดงามของเหยาจีนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าของเมืองหลวง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หากเทียบกับท่าทางสง่างามของบรรดาคุณหนูชนชั้นสูงทั้งหลายแล้ว เหยาจีที่สามารถร่ายรำได้อย่างเร่าร้อน ดูจะมีความดึงดูดและเย้ายวนกว่ามากนัก หญิงสาวที่มีความงดงามเช่นนั้นซ้ำยังอยู่ในหมู่นางคณิกา จะไม่เป็นที่หมายปองของบรรดาขุนนางชั้นสูงหรือคุณชายเจ้าสำราญได้อย่างไร ถึงแม้เหยาจีจะพยายามรักษาตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่หญิงสาวที่อ่อนแอและไร้อิทธิพลใดๆ หากไม่มีคนคอยช่วยเหลือ จะสามารถกันหมู่ภมรเหล่านั้นออกไปได้อย่างไร

 

 

เยี่ยหลีมิอาจเข้าใจถึงความคิดของเหยาจี ต่อให้นางมีความสัมพันธ์กับมู่หงายจริง แต่การใช้วิธีการเช่นนี้ในการตัดสินอนาคตของตนเองก็ดูจะมิใช่วิธีการที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองสักเท่าไร

 

 

หากใช้วิธีการประลองยุทธหรือการประลองความสามารถด้านบุ๋น อย่างน้อยกก็ยังพอรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่าย แต่การโยนดอกไม้ผ้าเช่นนี้ถือเป็นการเสี่ยงดวงอย่างแท้จริง

 

 

เยี่ยหลียังพอจำละครน้ำเน่าที่เคยดูเมื่อชาติที่แล้วได้ลางๆ ว่ามีคุณหนูชนชั้นสูงผู้หนึ่งจัดพิธีโยนดอกไม้ผ้าแล้วสีชายขอทานรับไปได้ เหยาจีตั้งใจเลือกสถานที่เช่นนี้จัดงาน ต่อให้ผู้ที่รับได้มิใช่ขอทาน แต่ก็เป็นไปได้สูงว่าผู้ที่รับได้จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น และต่อให้ชาวบ้านธรรมดาๆ ผู้นั้นจัดพิธีแต่งงานกับเหยาจีอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ดูจะไม่มีข้อดีเลยแม้แต่น้อย

 

 

“มิต้องเป็นกังวลไป เรื่องเช่นนี้มู่หยางไม่มีทางไม่รู้ข่าวหรอก” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบา

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า หันมองไปรอบๆ น่าเสียดายที่หาคนของมู่หยางไม่พบ เรื่องระหว่างชายหญิงนี้เดิมทีก็เป็นอันใดที่พูดยากอยู่แล้ว ไม่ว่ามู่หยางจะมาปรากฏตัวทีนี่หรือไม่ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่าเขาทำผิดหรือถูก เพราะถึงอย่างไรในเดือนหน้าเขาก็จะต้องเข้าพิธีแต่งงานแล้ว เขาไม่เพียงต้องรับผิดชอบต่อจวนมู่หยางโหว แต่ยังต้องรับผิดชอบต่อคู่หมั้นของเขาด้วย

 

 

“แม่นาง ชายที่อยู่ข้างๆ ท่านนี้เป็นพี่ชายเจ้าหรือเป็น…”  ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

เยี่ยหลีหันไปมอง ถึงได้พบว่า รอบๆ มีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาทางม่อซิวเหยา นางจึงยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะใส่หน้ากากอยู่ แต่ใบหน้าส่วนที่ไม่ถูกหน้ากากปิดบังไว้นั้น ก็ยังถือว่าหล่อเหลาอย่างหาได้ยาก อีกทั้งรูปร่างยังสูงใหญ่กำยำ เมื่อยืนอยู่ท่านกลางผู้คนจึงดูประหนึ่งหงส์ในฝูงกา จะมิให้ชายหนุ่มทั้งหลายรู้สึกเหม็นขี้หน้าได้อย่างไร

 

 

เยี่ยหลีจับมือม่อซิวเหยา ก่อนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “พวกเราเพียงมาดูเพื่อความสนุกเท่านั้น สามีข้าไม่เข้าไปแย่งด้วยหรอก”

 

 

สายตาที่มองมาทุกคู่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ถึงแม้หญิงสาวตรงหน้าจะดูไม่ด้อยกว่าแม่นางเหยาจีสักเท่าใด แต่บุรุษใดบ้างที่จะนึกรังเกียจหากมีหญิงงามเพิ่มอีกคน แม่นางผู้นี้สูงส่งและงามสง่า ดูก็รู้ว่าเป็นภรรยาเอกแห่งตระกูลชนชั้นสูง หากได้แม่นางเหยาจีที่มีเสน่ห์เย้ายวนเช่นนั้นไปเป็นภรรยารอง จะมีหญิงงามให้กอดทั้งซ้ายและขวา จะไม่ยิ่งมีความสุขขึ้นไปอีกหรือ

 

 

ม่อซิวเหยากำลังอารมณ์ดีจึงมิได้ใส่ใจกับความเสียมารยาทของคนเหล่านี้ เขาจับตัวเยี่ยหลีให้มาอยู่ข้างหน้าตน ก่อนหันไปยิ้มพูดกับชายหนุ่มที่เอ่ยถามว่า “ท่านวางใจเถิด ข้ามิได้มาเพื่อแย่งดอกไม้ผ้าหรอก ภรรยาข้าดุยิ่งนัก…”

 

 

เยี่ยหลีหน้าบึ้งลงทันที ลอบยื่นมือไปหยิกเขาโดยมิให้ผู้ใดเห็น

 

 

ม่อซิวเหยาทำหน้าปกติประหนึ่งส่วนที่เยี่ยหลีหยิกมิใช่เนื้อเขากระนั้น ยิ้มพูดกับอีกฝ่ายว่า “อีกอย่างข้าก็มิชอบหญิงสาวที่เย้ายวนเกินไป ต้องอ่อนหวานและนุ่มนวลเช่นภรรยาของข้านี้จึงจะดี” ภรรยาที่อ่อนหวานและนุ่มนวลหยิกเนื้อที่เอวเขาให้อีกทีหนึ่ง ครานี้ออกแรงบิดเสียเต็มแรง

 

 

ม่อซิวเหยาได้แต่หัวเราะขื่นๆ ยกมือขึ้นจับมือเยี่ยหลีไว้ “ภรรยา ข้าไม่มีทางชอบหญิงสาวผู้อื่นหรอก”

 

 

เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา ค่อยๆ ปล่อยมือออก ประโยคเช่นนั้นเอ่ยออกมาได้อย่างไร นักเลงไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือนักเลงที่มีความรู้ คนที่ปกติสุภาพงามสง่า เกิดจะหนังหนาขึ้นมา ใครก็ห้ามไว้ไม่อยู่

 

 

ในที่สุดชายหนุ่มที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็วางใจ ส่งยิ้มอย่างเข้าใจมาให้ม่อซิวเหยากันอย่างพร้อมเพรียง ม่อซิวเหยาเองก็ไม่เกรงใจ อมยิ้มพยักหน้าตอบมิตรไมตรีที่ส่งมาให้ทันที

 

 

“ไอ้หยา แม่นางเหยาจีออกมาแล้ว!” มีคนเอ่ยตะโกนขึ้น เยี่ยหลีหันหน้าไปมอง บนเวทีมีหญิงสาวหน้าตางดงาม แต่งกายด้วยชุดสยาอีสีสันสดใส ผัดหน้าอย่างงดงาม เดินยิ้มอย่างเย้ายวนออกมา ก็มีเสียงฮือฮาของทุกคนดังขึ้นต้อนรับทันที

 

 

เหยาจีพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มน้อยๆ ให้คนที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้บรรดาชายหนุ่มทั้งหลายใจเต้นจนต้องร้องตะโกนออกมา เมื่อสายตาของเหยาจีกวาดผ่านมายังจุดที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลียืนอยู่ ก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้เยี่ยหลี แล้วจึงหมุนตัวไปสะบัดแขนเสื้อที่ยาวกรุยกรายขึ้น เสียงดนตรีดังขึ้น เหยาจีจึงเริ่มออกท่าทางร่ายรำไปตามเสียงเพลง การร่ายรำของนางลื่นไหลประดุจสายน้ำ ชายแขนเสื้อโบกสะบัดไปตามการร่ายรำ ด้านล่างมีเสียงตะโกนว่าดีๆ อย่างไม่ขาดสาย

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองหญิงสาวที่ระบายยิ้มเต็มใบหน้าอยู่ด้านบนแล้วได้แต่ทอดถอนใจ เหยาจีต้องการโยนดอกไม้ผ้าที่ใดกัน ที่นางทำเช่นนี้เพียงตั้งใจทำลายชื่อเสียงของตนเท่านั้น ชื่อเสียงในเมืองหลวงของเหยาจีนั้นถือว่าไม่เลว ถึงแม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฟิ่งซานและมู่หยาง แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น มิเคยมีผู้ใดเห็นจริงๆ มาก่อน อีกทั้งคนที่ได้พบเหยาจีตัวเป็นๆ นั้นก็มีอยู่ไม่มากนัก แต่ในเมื่อยามนี้นางมาจัดการแสดงร่ายรำและโยนดอกไม้ผ้าในสถานที่เช่นนี้ คาดว่าพ้นคืนนี้ไป ชายกว่าครึ่งเมืองหลวงคงได้รู้กันว่าเหยาจีหน้าตาเป็นเช่นไร วันนี้ที่นางทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางที่อยากแต่งนางเข้าไปเป็นอนุ หรือชาวบ้านธรรมดาที่ต้องการแต่งนางไปเป็นภรรยา เกรงว่านางในสายตาของพวกเขาคงแย่ลงแน่นอน

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวบนเวที ทันเห็นแววเศร้าโศกและเสียใจแวบหนึ่ง แล้วได้แต่ลอบส่ายหน้า ทำเช่นนี้เพราะมู่หยางจริงๆ น่ะหรือ

 

 

เพลงหนึ่งจบไป คนที่อยู่เบื้องล่างต่างตะโกนเร่งให้เหยาจีรีบโยนดอกไม้ผ้า มีหญิงกลางคนผัดหน้าอย่างงดงามผู้หนึ่งเดินขึ้นมาด้านบน ก่อนยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง ก่อนยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ทุกท่านในวันนี้ต่างมีวาสนาแล้ว วันนี้แม่นางเหยาจีจะโยนดอกไม้ผ้าเลือกคู่ด้วยตนเอง ผู้ใดที่ได้ดอกไม้ผ้าไป จะได้เป็นเจ้าบ่าวของแม่นางเหยาจีในคืนนี้ ข้าขอให้ทุกท่านโชคดี”

 

 

เยี่ยหลีนึกเศร้าสลดในใจ ประโยคที่แม่เหล้าท่านนั้นพูดว่าเจ้าบ่าวในคืนนี้นั้น นางได้ยินอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าเหยาจีมิได้ต้องการแต่งงานขึ้นมาจริงๆ แต่ต้องการเพียงเลือกคู่นอนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็บอกเป็นนัยๆ ว่า หากพ้นคืนนี้ไป เหยาจีจะมิใช่หญิงคณิกาที่ขายเพียงศิลปะแต่ไม่ขายตัวอีกต่อไป

 

 

ครั้นเห็นแววตายิ้มยินดีของหญิงงามทางด้านบนแล้ว เยี่ยหลีได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้นว่า “อาหลี เป็นอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “แม่นางเหยาจีทำเช่นนี้ดูจะเด็ดขาดเกินไป เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้…” หากถามเยี่ยหลีว่านางสามารถทำเพื่อชายผู้หนึ่งได้เท่านี้หรือไม่ ในใจเยี่ยหลีตอบได้อย่างชัดเจนว่า นางมิสามารถทำอย่างที่เหยาจีทำเช่นนี้ได้ มิใช่เพราะไม่รัก แต่เพียง…ความรักของนางมีขีดจำกัด หากแม้แต่เกียรติในตนเองยังสามารถละทิ้งได้แล้ว ความรักเช่นนี้คงเป็นความรักที่หนักหนาเกินไปสำหรับเยี่ยหลี

 

 

ม่อซิวเหยากระซิบกลั้วหัวเราะมีข้างหูเยี่ยหลีว่า “ข้าไม่มีทางให้อาหลีต้องทำเช่นนี้ ข้าจะทำลายทุกอุปสรรคเพื่อให้อาหลีเป็นภรรยาของม่อซิวเหยาแต่เพียงผู้เดียว”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “วันนี้ท่านอ๋องดูจะพูดจาได้น่าฟังเป็นพิเศษ”

 

 

“หากภรรยาชอบ สามีอย่างข้าจะพูดให้เจ้าฟังทุกวันก็ยังได้” ม่อซิวเหยาหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลไป มู่หยางนั่นถึงแม้จะหัวทึบไปบ้าง แต่ยังเป็นคนที่มีคุณธรรมอยู่ เขาต้องมาแน่”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า มาแล้วอย่างไร มู่หยางไม่มีทางแต่งเหยาจีไปเป็นภรรยา และไม่มีทางที่จะละทิ้งจวนมู่หยางโหวเพื่อเหยาจี ไหนจะแม่นางซุนอีก นางต่างหากที่เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง