ตอนที่ 106-1 องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง

ชายาเคียงหทัย

ด้านบนยกพื้น เหยาจีถือดอกไม้ผ้าหลากสีอยู่ในมือ อมยิ้มมองลงมาด้านล่าง ชายหนุ่มทางด้านล่างต่างจับจ้องดอกไม้ผ้าในมือนางด้วยความตื่นเต้น ขอเพียงช่วงชิงมันมาได้ พวกเขาก็จะได้ร่วมหอกับนางรำอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง สำหรับชาวบ้านหนุ่มที่ตามปกติไม่ได้เห็นแม้แต่ใบหน้าของเหยาจีแล้ว ถือได้ว่าเป็นสิ่งล่อตาล่อใจอย่างมาก

 

 

           เหยาจีเลื่อนสายตามาทางเยี่ยหลี พร้อมเลิกคิ้วและยิ้มให้นาง เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น ยังไม่ทันได้คิดอันใด ก็เห็นเหยาจียกดอกไม้ผ้าขึ้นโยนมาทางนาง

 

 

           เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในฝูงชนทันที คนที่อยู่ไกลหน่อยได้แต่ก่นด่าด้วยความเสียดาย คนที่อยู่ใกล้หน่อยต่างจ้องมองดอกไม้ผ้านั้นกันตาไม่กะพริบ พร้อมยื่นมือขึ้นไปหมายจะคว้าเอาวาสนานั้นมาให้ได้

 

 

           ตั้งแต้ที่เหยาจียกมือขึ้น เยี่ยหลีก็ดูรู้แล้วว่านางจะโยนไปทางทิศใด แน่นอนว่าเหยาจีมิได้ตั้งใจจะโยนดอกไม้ผ้ามาให้นาง แต่เป็นม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังนางต่างหาก

 

 

หลังจากโยนดอกไม้ผ้าออกมาแล้ว เหยาจียังได้หันมาเลิกคิ้วเรียวให้นาง พร้อมทำปากพูดโดยไม่ออกเสียง แต่ถึงแม้จะไม่มีเสียงออกมา ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเยี่ยหลีที่เชี่ยวชาญด้านการอ่านปากไปได้ นางกำลังพูดว่า “ท่านเดาดูว่าเขาจะรับหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีนึกก่นด่าในใจ หันหลังไปนึกอยากดึงม่อซิวเหยาออกมา หากอยู่ในยามปกติ ด้วยฝีมือของทั้งสองไม่มีทางที่จะหลบดอกไม้ผ้านี้ไม่พ้น เพียงแต่ยามนี้รอบกายทั้งสองมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่เต็มไปหมด แม้จะก้าวสักก้าวยังลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลบให้พ้นเลย

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงมองมือของเยี่ยหลีที่ดึงชุดเขาไว้อยู่ แล้วจึงหัวเราะขึ้นเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นปัดดอกไม้ผ้าที่กำลังหล่นมาหาเขา ดอกไม้ผ้านั้นลอยเปลี่ยนไปยังอีกทิศหนึ่งทันที

 

 

ผู้คนต่างส่งเสียงร้องพร้อมกรูกันตามดอกไม้ผ้านั้นไป ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีมากอดไว้ กันไม่ให้คนเบียดมาโดน พร้อมเอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “เมื่อครู่อาหลีตื่นเต้นมากหรือ”

 

 

เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้านบนยกพื้น เมื่อเหยาจีเห็นดอกไม้ผ้าของตนถูกผลักไปทางอื่นก็ไม่มีสีหน้าผิดหวังเลยสักนิด แต่กลับส่งยิ้มอย่างมีเสน่ห์และเย้ายวนให้เยี่ยหลีมากขึ้น พูดโดยไม่มีเสียว่า “ยินดีด้วย” เยี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย ถือเป็นการรับคำอวยพรของนาง

 

 

ดอกไม้ผ้าหลากสีถูกผู้คนแก่งแย่งกันไปมา ยังไม่ทันแย่งมาได้ถึงมือดีก็ถูกอีกคนหนึ่งมาปัดออกหรือไม่ก็มาแย่งไปจากมือ การแย่งชิงเป็นไปอย่างดุเดือดจนทำให้คนมองได้แต่ถอนใจออกมา กับอีแค่ดอกไม้ผ้าเล็กๆ เพียงอันเดียว ต่อให้มีคนเข้ามารุมแย่งกันมากกว่านี้ ก็ไม่มีทางที่จะแย่งกันไปอย่างไม่จบไม่สิ้น

 

 

ในขณะที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยื่นมือกำลังจะคว้าดอกไม้ผ้าไว้ได้นั้น ก็มีชายรูปลักษณ์โดดเด่นผู้หนึ่งขึ้นเหยียบไหล่คนข้างหน้า ก่อนกระโดดขึ้นเตะดอกไม้ผ้าที่กำลังจะถือมือคนตัวโตให้ลอยกลับขึ้นไปทางด้านบนที่มีหญิงสาวยืนอยู่

 

 

ระหว่างที่ทุกคนกำลังร้องอุทานด้วยความผิดหวังนั้น ร่างๆ หนึ่งได้กระโดดขึ้นไปด้านบนยกพื้นด้วยความรวดเร็ว และคว้าเอาดอกไม้ผ้าไว้ได้ก่อนที่มันจะตกถึงมือเหยาจี

 

 

ด้านบน ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีน้ำตาลยืนสบายๆ อยู่ข้างกายเหยาจี ใบหน้าหล่อเหลามีเครื่องหน้าคมชัด เมื่อเทียบกับชายหนุ่มของต้าฉู่แล้ว ดูมีความคมเข้มกว่าหลายส่วน เพียงแต่แววตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งที่ส่อประกายคมกล้านั้น ทำให้เขาดูมิใช่พวกที่เก่งกาจแต่การต่อสู้ แต่ไม่มีสมอง

 

 

ชายผู้นั้นโยนดอกไม้ผ้าในมือขึ้น พร้อมหันมาเอ่ยกลั้วหัวเราะกับชายที่ตกลงไปยืนท่ามกลางฝูงคนว่า “ในเมื่อคุณชายท่านนี้ไม่ชื่นชอบในตัวแม่นางเหยาจี ก็เชิญยืนดูอยู่เฉยๆ เถิด การเตะดอกไม้ผ้ากลับมาให้แม่นางเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียมารยาทไปหน่อยหรือ ว่ากันว่าต้าฉู่เป็นแคว้นที่เต็มไปด้วยโคลงกอนและพิธีการ คุณชายทำเช่นนี้จะไม่เป็นการ…หยาบคายต่อหญิงงามเกินไปหรือ”

 

 

มู่หยาง ทายาทแห่งตำหนักมู่หยางโหวยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ท่ามกลางผู้คน เขากระโดดขึ้นด้านบน กำหมัดพุ่งไปทางชายในชุดสีน้ำตาลทันที ชายในชุดสีน้ำตาลดูจะเตรียมตัวรออยู่แล้ว จึงเพียงเอียงตัวหลบเท่านั้น

 

 

ทั้งสองต่างต่อสู้แลกหมัดกันไปมาอยู่ทางด้านบน ฝูงชนทางด้านล่างต่างก็ตะโกนว่าดีๆ กันไม่ขาดปาก ในเมื่อแย่งวาสนาของหญิงงามมาไม่ได้ จะอยู่ดูเรื่องน่าสนุกสักหน่อยก็ไม่เสียหายอันใด ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปนั้นมีสิ่งที่ได้รับและได้ครอบครองอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความยืดติดสักเท่าใด

 

 

เยี่ยหลีเอนซบอยู่กับอกม่อซิวเหยา มองสำรวจชายที่ต่อสู้กับมู่หยางอยู่ทางด้านบนด้วยสายตาใคร่รู้ เพียงมองจากรูปลักษณ์ภายนอกก็รู้แล้วว่า เขามิใช่คนต้าฉู่ “ท่านนี้คือ…คนเป่ยหรงหรือ” เยี่ยหลีมีความประทับใจกับคนเป่ยหรงที่ไม่ดีเท่าไรนัก ในงานเสกสมรสเมื่อคราก่อน องค์ชายสิบสามแห่งเป่ยหรงท่านนั้น ได้ทิ้งความทรงจำอันเลวร้ายไว้กับนาง มาครานี้ กลับมีท่านท่านนี้ที่มาเที่ยวเล่นยังสถานที่แห่งนี้อีก

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ทูตจากเป่ยหรงที่จะเดินทางมารับตัวเจ้าสาวไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ เดินทางล่วงหน้ามายังต้าฉู่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมาถึงเมืองหลวงได้รวดเร็วเช่นนี้”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันไปถามเขาว่า “ท่านรู้จักหรือ”

 

 

“เยียหลี่ว์เหยี่ย องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึม “เกรงว่ามู่หยางคงจะมิใช่คู่ปรับของเขา”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย แค่เพียงไม่กี่กระบวนท่านางก็พอมองออกแล้ว วิชาการต่อสู้ของมู่หยางไม่เลวเลยก็จริง แต่อย่างไรก็มิอาจเทียบได้กับเยียหลี่ว์เหยี่ยที่ดูจากท่าทางก็พอรู้ว่าน่าจะผ่านการฝึกปรืออย่างหนักหน่วงมาจากในสนามรบ ซึ่งเรื่องนี้จะโทษมู่หยางก็คงมิได้ ถึงแม้คนต้าฉู่จะยำเกรงคนที่มีวิทยายุทธและนับถือคนที่มีการศึกษา แต่ตระกูลชนชั้นสูงทั่วไป ต่างสนับสนุนให้บุตรของตนรับราชการเป็นขุนนางมากกว่าการออกไปทำศึก เพราะถึงอย่างไรในสนามรบก็เต็มไปด้วยคมดาบ ที่ไม่รู้ว่าจะมาเอาชีวิตพวกเขาไปเมื่อใด มู่หยางอายุยังน้อย แต่สามารถฝึกหรือทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊จนมีฝีมีได้ถึงเพียงนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

 

 

แต่เป่ยหรงนั้นแตกต่างจากต้าฉู่โดยสิ้นเชิง ดินแดนที่ไร้อารยธรรม ต่อให้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมดินแดนจงหยวนไปบ้าง แต่ประเพณีของพวกเขายังคงนับถือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นหัวหน้า และเยียหลี่ว์เหยี่ยก็เป็นหนึ่งในพระโอรสที่เก่งกาจที่สุดของเป่ยหรงอ๋อง ย่อมออกไปกรำศึกตั้งแต่อายุเพียงสิบกว่าปี

 

 

ไม่ถึงร้อยกระบวนท่า มู่หยางก็เริ่มตกเป็นรอง ส่วนเยียหลี่ว์เหยี่ยกลับกำลังอยู่ในช่วงได้ใจ ยิ่งสู้ยิ่งกล้าออกอาวุธ อาวุธอันดุดันของเขาปะทะเข้ากับร่างของมู่หยางจนสะอึกถอยไป

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองม่อซิวเหยาแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น นางไม่คิดอยากให้ม่อซิวเหยากระโดดขึ้นด้านบนไปด้วยอีกคน เพราะไม่ว่าแพ้หรือชนะก็เป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งกันเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน ไม่ว่านางหรือม่อซิวเหยาต่างก็มิอาจทนเห็นมู่หยางถูกเยียหลี่ว์เหยี่ยทำให้บาดเจ็บต่อหน้าต่อตาได้

 

 

เหยาจีที่ยืนอึ้งอยู่นั้น เมื่อเห็นว่ามู่หยางมีทีท่าจะแพ้จึงเรียกสติกลับมาได้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธจัดว่า “ผู้ใดใช้ให้ท่านยุ่งไม่เข้าเรื่อง! ข้าโยนดอกไม้ผ้าของข้าท่านมาเกี่ยวอันใดด้วย!”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยหัวเราะเสียงก้อง “แม่นางเหยาจีพูดได้ถูกต้องแล้ว มู่ซื่อจื่อ ในเมื่อท่านเตะดอกไม้ผ้ากลับคืนให้นางแล้ว แล้วที่ท่านทำยามนี้หมายความว่าอย่างไร”

 

 

มู่หยางเหลือบมองเหยาจี พร้อมรับมือเยียหลี่ว์เหยี่ยที่ยังคงออกอาวุธเข้าใส่ตนอย่างต่อเนื่อง

 

 

แม้แต่คนด้านล่างที่ไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้ ยังพอดูรู้ว่าเขาเสียเปรียบไม่น้อย เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งเสียงเหอะเบาๆ และดูเหมือนในที่สุดเขาจะหมดความอดทนลง “ในเมื่อซื่อจื่อไม่มีอันใดจะพูด ก็อย่าได้รบกวนเวลาร่วมหอของข้าน้อยเลย ไปเสียเถิด!” เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งเสียงคำรามต่ำๆ ก่อนพุ่งฝ่ามือเล็งไปที่หน้าของของมู่หยาง พลังจากฝ่ามือนี้ดูจะรุนแรงจนสามารถแยกก้อนหินได้เลยทีเดียว

 

 

เหยาจีที่ยืนดูอยู่ อดปิดปากร้องออกมาด้วยความตกใจไม่ได้ “อย่า!”

 

 

บนยกพื้นนั้นเดิมทีก็มิได้กว้างขวางอยู่แล้ว เหยาจีอยู่ห่างจากทั้งสองไม่ไกล เมื่อเหยาจีเป็นว่ามู่หยางกำลังตกอยู่ในอันตรายต่อหน้าต่อตา นางจึงร้องเสียงดังขึ้นก่อนพุ่งตัวออกไปเต็มแรง นางเล่าเรียนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เล็กๆ จึงมีความคล่องตัวไม่แพ้คนที่ฝึกการต่อสู้ทั่วไป เมื่อพุ่งตัวออกไปสุดแรงเช่นนี้ จึงสามารถแทรกเข้าไปอยู่ระหว่างมู่หยางและเยียหลี่ว์เหยี่ยได้อย่างทันท่วงที ฝ่ามือของเยียหลี่ว์เหยี่ยดูจะปะทะเข้ากับร่างของเหยาจีแน่แล้ว

 

 

ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่ทางด้านล่าง ต่างปิดตาลงไม่กล้ามอง เมื่อครู่ที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้น ของด้านบนถูกลูกหลงจนแตกกระจายไปทุกทิศทุกทาง หากฝ่ามือนี้ปะทะเข้ากับตัวเหยาจีจริงๆ นางคงได้แหลกสลายประหนึ่งหยกเป็นแน่

 

 

“สวบ…” มีประกายบางอย่างพุ่งเข้ามา เยียหลี่ว์เหยี่ยเห็นเพียงประกายบางอย่าง จึงรีบชักมือกลับก่อนถอยยืนห่างออกไป เหยาจีใบหน้าขาวซีด เสียหลักล้มลงไปกับอกของมู่หยางพอดี จากเดิมที่หลับตารอความตายอยู่นั้น เมื่อพบว่าฝ่ามือนั้นมิได้ปะทะเข้ากับร่างของตน จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นประสานสายตาเข้ากับมู่หยางที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วงระคนโกรธเคืองอยู่พอดี เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของทั้งสองในยามนี้ จึงนึกสลดในใจ ก่อนลุกยืนขึ้นผลักเขาออกไป