ตอนที่ 106-2 องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง

ชายาเคียงหทัย

เยียหลี่ว์เหยี่ยยืนเอามือไพล่หลัง ผินหน้ามองปิ่นมุกที่ปักอยู่บนต้นไม้ ถึงแม้จะเป็นเพียงปิ่นมุกที่หน้าตาธรรมดาๆ แต่ตัวปิ่นที่ปักลงไปในต้นไม้จนเหลือเพียงส่วนมุกลายดอกไม้ที่โผล่พ้นออกมาเท่านั้น ก็ทำให้รู้ถึงพละกำลังอันแก่กล้าของอีกฝ่าย หากเขาชักมือกลับไม่ทัน เยียหลี่ว์เหยี่ยเชื่อว่า ปิ่นชิ้นนั้นจะต้องทะลุผ่านฝ่ามือของเขาไปอย่างแน่นอน

 

 

เขาหันหน้ากลับไปมองที่มาของอาวุธลับนั้น เห็นเป็นคู่ชายหญิงแต่งกายธรรมดาๆ ที่ยืนอิงแอบกันอยู่ หญิงสาวงดงามและอ่อนหวาน สีหน้าดูมีความองอาจและสูงส่งแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไปของต้าฉู่ ชายหนุ่มมีหน้ากากบดบังไว้ ชุดสีขาวที่สวมใส่กลับทำให้เขาดูประหนึ่งพระจันทร์ที่ส่องประกาย สุภาพและสง่างามผิดจากคนทั่วไปจริงๆ

 

 

เยี่ยหลี่ว์เหยี่ยเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “คุณชายท่านนี้มีหญิงงามอยู่ในอ้อมกอดแล้ว หรือท่านยังสนใจแม่นางเหยาจีด้วยอีกคนหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “องค์ชายเยี่ยหลี่ว์ล้อข้าเล่นแล้ว ภรรยาของข้าเป็นคนใสซื่อ เห็นเลือดมิได้ องค์ชายจะลงมือนั้นหนักเบาไม่เท่าไร แต่หากทำให้ภรรยาของข้าต้องตกใจเข้า คงไม่ดี”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หยางจึงหันลงมามองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็อดชะงักไปไม่ได้ เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ มิได้เอ่ยเปิดเผยฐานของพวกเขา

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยไม่คิดว่าตนจะถูกเปิดเผยฐานะเช่นนี้ เขาหรี่ตาลงมองประเมินม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็…ไม่นึกเลยว่าจะได้พบท่านอ๋องและพระชายาที่นี่ ช่างเป็นวาสนาของข้าจริงๆ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบองค์ชายเยียหลี่ว์ในสถานที่เช่นนี้เช่นกัน”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยยิ้มแต่ไม่พูดอันใด รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ม่อซิวเหยาไม่เอ่ยถามเรื่องที่ตนแอบเข้ามาในเมืองหลวงของต้าฉู่เป็นการส่วนตัวเช่นนี้ เขาชี้ไปทางเหยาจี “ในเมื่อท่านอ๋องมิได้คิดที่จะแย่งแม่นางเหยาจี เช่นนั้น แม่นางเหยาจีจะยังคงเป็นของข้าน้อยใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าฝันไปเถิด!” มู่หยางเอ่ยเสียงขรึมขึ้น เดินไปขวางหน้าเหยาจีไว้

 

 

เยี่ยหลี่ว์เหยี่ยยกยิ้มอย่างดูแคลน พูดกับมู่หยายด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “มู่ซื่อจื่อ เหตุใดถึงไม่ถามความเห็นแม่นางเหยาจีก่อนเล่า บางทีแม่นางเหยาจีอาจยินดีเลือกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็เป็นได้”

 

 

เหยาจีเดินออกมาจากเบื้องหลังมู่หยางเงียบๆ พร้อมออกเดินไปยังเบื้องหลังของเยียหลี่ว์เหยี่ย “เหยาจี! เจ้า…”

 

 

เหยาจียิ้มน้อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เอ่ยเสียงเบาว่า “กฎในวันนี้เป็นกฎที่เหยาจีวางเอาไว้ เหยาจีย่อมต้องทำตาม ลำบากซื่อจื่อต้องมาที่นี่แล้ว ถือว่าหมดสิ้นความสัมพันธ์ในหลายปีนี้ที่มีต่อกัน ซื่อจื่อเชิญกลับไปเถิด”

 

 

มู่หยางจ้องมองใบหน้างดงามนั้นอยู่เป็นนาน ก็มิได้พูดอันใดออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยาจีค่อยๆ ดูแข็งขืนขึ้น ในที่สุดจึงได้หมุนตัวหลบไปไม่หันหน้าสู้เขาอีก

 

 

ยามนี้ก็ดึกพอสมควรแล้ว ช่วงเวลาห้ามออกจากเคหะยามวิกาลก็ใกล้เข้ามาทุกที เมื่อฝูงชนด้านล่างเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกๆ อันใดให้ได้ชมแล้ว จึงค่อยๆ เดินจากกันไปด้วยความผิดหวัง

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยที่อยู่ทางด้านบนหันลงมายิ้มให้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยา “ท่านอ๋อง พระชายา วันนี้ที่ได้พบถือว่ามีวาสนา เราไปหาที่นั่งดื่มสนทนากันสักหน่อยดีหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาจูงมือเยี่ยหลีเดินเข้าไป ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “องค์ชายเยียหลี่ว์มีสาวงามอยู่กับอก ยังจะมีกระจิตกระใจดื่มสุรากับข้าอีกหรือ”

 

 

เยี่ยหลี่ว์เหยี่ยตาเป็นประกาย เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “น้องชายที่ไม่ได้ความของข้า ได้ล่วงเกินท่านไว้เมื่อปีที่แล้ว โชคดีที่ท่านอ๋องใจกว้าง ไม่ถือสาหาความ ส่งตัวเขากลับเป่ยหรงอย่างปลอดภัย ข้ากำลังคิดอยากขอบคุณท่านด้วยตนเองอยู่พอดี”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างใจกว้าง “ผู้ที่มาถือเป็นแขก ข้ามิใช้ผู้ที่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้น้อย เรื่องเล็กเท่านี้ องค์ชายเยียหลี่ว์มิต้องเก็บมาใส่ใจ”

 

 

เรื่องที่ตนทำให้เยียหลี่ว์ผิงที่ปัญญาอ่อนอยู่แล้ว ปัญญาอ่อนขึ้นไปอีกนั้น ม่อซิวเหยามิได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย อันที่จริงที่ปล่อยเขากลับไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ม่อซิวเหยาก็รู้สึกว่าที่ตนเองพักรักษากายใจมาหลายปีนั้นทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

ประหนึ่งมีอันใดมาปักเข้าที่อกของเยียหลี่ว์เหยี่ย เขานึกโกรธแค้นจนหยากทำร้ายม่อซิวเหยาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ หากม่อซิวเหยาสังหารเยียหลี่ว์ผิงเสียให้รู้แล้วรู้รอด บางทีเขาอาจไม่นึกโกรธถึงเพียงนี้ แต่เขากลับส่งเยียหลี่ว์ผิงไปให้กับองค์รัชทายาทที่เป็นคู่แค้นกับเขา ไม่เพียงเท่านั้นเขายังให้คนปล่อยข่าวให้ตนรู้ เขานึกกังวลว่าเยียหลี่ว์ผิงจะเปิดเผยความลับให้องค์รัชทายาทล่วงรู้ จึงจำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวเขากลับมาจากองค์รัชทายาทให้ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่เขาช่วยกลับมากลับเป็นเจ้าคนปัญญาอ่านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลย แน่นอนเขาเชื่อว่าก่อนที่ม่อซิวเหยาจะทำให้เยียหลี่ว์ผิงสติเลอะเลือนเช่นนี้ ย่อมรีดทุกอย่างจากออกจากปากเขาแล้วเป็นแน่ คนที่ตำหนักติ้งอ๋องไว้ชีวิตกว่าครึ่งนั้น ต่างกลายเป็นขยะกันทั้งนั้น ดูอย่างเสด็จพ่อของเขาเป็นตัวอย่าง

 

 

“ท่านนี้คือพระชายาติ้งอ๋องหรือ ข้าน้อยองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงเยียหลี่ว์ผิง คารวะพระชายา” เมื่อรู้ว่าตนฝีปากเก่งสู้ม่อซิวเหยาไม่ได้ เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงไม่ฝืน เปลี่ยนคู่สนทหนาไปยังเยี่ยหลีทันที

 

 

เยี่ยหลียืนยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างกายม่อซิวเหยา “องค์ชายเยียหลี่ว์มีมารยาทแล้ว”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยมองประเมินเยี่ยหลีอย่างไม่เกรงใจ “ระหว่างทางที่ข้าเดินทางมาต้าฉู่นี้ ได้ยินว่าพระชายาเก่งกาจไม่แพ้ชายหนุ่ม เดิมทียังคิดว่า…ที่แท้เป็นหญิงสาวที่อ่อนหวานและงดงามเช่นนี้เองหรือ ท่านอ๋องช่างโชคดีนัก”

 

 

ม่อซิวเหยาหน้าขรึมลงทันที ดวงตามีแววโกรธปรากฏให้เห็นแวบหนึ่งก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มพร้อมเอ่ยกับเยียหลี่ว์เหยี่ยว่า “องค์ชายเยี่ยหลี่ว์ชมเกินไปแล้ว ที่นี่มิใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุย เชิญองค์ชายเยียหลี่ว์ย้ายไปนั่งสนทนาที่บ้านข้าดีหรือไม่” เขาเอ่ยพร้อมเหลือบมองไปทางด้านล่าง ยามนี้ห่างจากช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานไม่ถึงหนึ่งเค่อแล้ว ผู้คนบนท้องถนนต่างแยกย้ายกันกลับไป บนยกพื้นที่จัดไว้อย่างดีเหลือเพียงพวกเขาไม่กี่คน จึงดูประหลาดไม่น้อย

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยแย้มยิ้มไม่เปลี่ยนสีหน้า “ติ้งอ๋องเชิญด้วยตนเองเช่นนี้ถือเป็นเกียรติของข้า เพียงแต่วันนี้ก็ดึกมากแล้ว หากเข้าเยี่ยตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้ดูจะเป็นการเสียมารยาทพอสมควร วันหลังข้าจะต้องไปเข้าเยี่ยมคารวะท่านอ๋องและพระชายาด้วยตนเองแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เข้าไปนั่งสนทนาในตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้ เยียหลี่ว์เหยี่ยเชื่อว่า มีเพียงคนที่สมองมีปัญหาเท่านั้นถึงจะตัดสินใจทำเช่นนี้

 

 

เมื่อเห็นเขาปฏิเสธ ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ฝืน “ถ้าเช่นนั้น ข้ากับอาหลีก็ขอตัวก่อน องค์ชายเยียหลี่ว์และมู่ชื่อจื่อ…”

 

 

เยี่ยหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็จะกลับโรงเตี๊ยมแล้วเช่นกัน ส่วนแม่นางเหยาจี เมื่อครู้ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น ขอแม่นางเหยาจีและมู่ซื่อจื่ออย่าได้ถือสา”

 

 

ดูเหมือนมู่หยางจะไม่คิดว่าเขาจะรามือง่ายๆ เช่นนี้ จึงอึ้งไปเล็กน้อย เหยาจีเองก็เหลือบมองเยียหลี่ว์เหยี่ยด้วยความประหลาดใจ

 

 

เยี่ยหลี่ว์เหยี่ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าน้อยเห็นมู่ซื่อจื่อออกอาวุธ ข้าจึงรู้สึกคันมือขึ้นมา หากล่วงเกินอันใดไปขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย”

 

 

เมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้แล้ว มู่หยางย่อมไม่ถือสาหาความต่อ เขาพยักหน้าเล็กน้อย “องค์ชายเยียหลี่ว์ฝีมือล้ำเลิศยิ่งนัก ข้าทำให้ขายหน้าแล้ว”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม กำลังจะพูดอันใดต่อ แต่เห็นประกายมีคมที่มุมถนน ชายในชุดดำสามสี่คนพุ่งตรงมายังพวกเขา เยียหลี่ว์เหยี่ยเอียงตัวหลบคมมีดที่พุ่งเข้าหาตัว ก่อนพุ่งฝ่ามือผลักมือลอบสังหารออกไป พลางหันไปเอ่ยกลั้วหัวเราะกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋อง ที่แท้ยามค่ำคืนในเมืองหลวงแห่งต้าฉู่ก็อันตรายเช่นนี้เองหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยามือหนึ่งโอบเยี่ยหลีไว้ อีกมือหนึ่งจับแน่นอยู่ที่มือของนักลอบสังหารก่อนออกแรงเพียงเล็กน้อย เสียงกระดูกหักก็ดังกังวานขึ้นท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดทันที “บางทีอาจเป็นเพราะมีแขกจากต่างแดนมากระมัง เพราะข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ค่ำคืนในเมืองหลวงก็สงบเงียบเรียบร้อยดี”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยเพียงหัวเราะขึ้นเสียงก้องแต่มิได้เอ่ยคัดค้านประการใด

 

 

อีกด้าน มู่หยางปกป้องเหยาจีไปพลางก็รับมือคู่ต่อสู้ที่เข้าโจมตีไปพลาง เหยาจีมีอาการขัดขืนเล็กน้อย ถึงแม้นางจะไม่ยินดีให้มู่หยางมาถูกเนื้อต้องตัว แต่นางก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาแง่งอน จึงทำได้เพียงปล่อยให้มู่หยางโอบนางไว้กับอกอย่างแข็งขืน แต่สีหน้ากลับแฝงไปด้วยความเสียใจ และหวาดกลัวจากการต้องหลบหนีนักลอบสังหาร

 

 

เหล่านักลอบสังหารดูจะรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสามคนนี้ล้วนมีฝีมือเก่งกาจ แต่ม่อซิวเหยาและมู่หยางต่างมีหญิงสาวที่ต้องปกป้อง มีเพียงเยียหลี่ว์เหยี่ยเท่านั้นที่ลงมือออกอาวุธได้อย่างอิสระ บรรดานักลอบสังหารต่างลอบสบตากัน ก่อนกระจายตัวโอบล้อมม่อซิวเหยาและมู่หยางไว้ ขอเพียงจัดการชายสองคนนี้ได้ อีกคนที่เหลือย่อมมิใช่เรื่องยาก

 

 

เยียหลี่ว์เหยียที่ถูกทิ้งไว้อีกด้าน เลิกคิ้วมองสถานการณ์ตรงหน้า เห็นม่อซิวเหยาตอบโต้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนหมุนตัวผลักนักลอบฆ่าคนหนึ่งไปทางกลุ่มของมู่หยาง

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ปล่อยให้ม่อซิวเหยากอดตนไว้กับอก ถึงแม้นางรู้ว่าม่อซิวเหยาสามารถรับมือนักลอบฆ่าเหล่านั้นได้ แต่การมีคนคอยปกป้องในสถานการณ์เช่นนี้ นางรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แต่มือม่อซิวเหยาที่โอบเอวนางไว้อยู่นั้น บอกให้รู้ว่าม่อซิวเหยาไม่คิดจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ เยี่ยหลีจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ มองสังเกตนักลอบฆ่ารอบๆ ด้วยความระมัดระวัง

 

 

ไม่รู้ว่านักลอบฆ่าเหล่านี้เป็นผู้ใด ดูแล้วฝีมือไม่เท่าไร เยี่ยหลีที่อยู่ว่างๆ ด้วยมิอาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ นิ่งคิดอย่างเบื่อหน่าย

 

 

เมื่อแต่งงานเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง อย่างอื่นยังมิต้องพูดถึง เพียงแค่นักลอบฆ่านางก็เจอมาไม่น้อยแล้ว นักลอบฆ่าเหล่านี้สำหรับเยี่ยหลีแล้วเรียกได้ว่าฝีมือธรรมดาๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสามจัดการนักลอบฆ่าเหล่านี้ได้อย่างไม่เปลืองแรงเท่าไรนักแล้ว เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หากบอกว่าคนเหล่านี้เป็นนักฆ่า สู้บอกว่านี่เป็นการเล่นละครให้คนดูเสียจะยังดีกว่า อย่าว่าว่ามีทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่เลย ยังมีองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง และเชื่อว่าเมื่อเยียหลี่ว์เหยี่ยออกมา ไม่มีทางที่เขาจะไม่พาองครักษ์ออกมาด้วย ต่อให้เป็นใครคนใดคนหนึ่งในชายหนุ่มทั้งสามคนนี้ ก็ล้วนมิใช่คนที่นักลอบฆ่าเหล่านี้จะสามารถรับมือได้

 

 

“ระวัง!” นักลอบฆ่าคนสุดท้ายถูกเยียหลี่ว์เหยี่ยจัดการจนล้มลง เหยาจีรีบผลักมู่หยางให้ถอยออกไปทันทีไกลทันที มู่หยางมองเหยาจีที่ยืนอยู่ห่างจากตน เขาอึ้งไปเล็กน้อย เพียงยิ้มอย่างฝืนๆ ออกมาเท่านั้น เขาหันกลับไปเอ่ยขอบคุณเยียหลี่ว์เหยี่ย

 

 

ด้านหลัง นักลอบฆ่าที่หลุดรอดไปได้อาศัยจังหวะนั้นเล็งอาวุธลับออกยิงไปทางเหยาจีทันที เยี่ยหลีอุทานออกมาด้วยความตกใจ กระตุกเครื่องประดับหยกจากเอวม่อซิวเหยาออกมาเขวี้ยงออกไปทันที เกิดเสียงดังเก๊งขึ้น ก่อนอาวุธลับชิ้นนั้นจะกระเด็นไปไกล ส่วนเครื่องประดับหยกก็แตกลงเป็นเสี่ยงๆ บนพื้นเช่นกัน