หลังจากที่ผลการประลองออกมานั้น คนที่ดีใจที่สุดไม่ใช่ถังเฉิน แต่เป็นถังอี้ นายท่านตระกูลถัง เขาฉีกยิ้มจนหน้าบาน อีกทั้งทุกครั้งที่พบเจอผู้คนก็ต้องพูดขึ้น “รู้ว่าที่หนึ่งครั้งนี้คือใครหรือไม่ ลูกชายข้าเอง ลูกแท้ๆ !”
ตอนแรกเหล่าเจ้าสำนักยังแสดงความดีใจบ้างเป็นครั้งครา ต่อมาพวกเขาอดทนดูความได้ใจของอีกฝ่ายไม่ได้ กำลังหารือกันว่าจะคลุมถุงกันอยู่แล้ว
ฮึ! ลูกชายได้ที่หนึ่ง ไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย ดูท่าทางได้ใจนี้สิ ออกมาจากห้องเรียนเดียวกัน ตัวเองได้คะแนนเท่าไหร่ไม่รู้หรือ
นอกจากอันดับหนึ่งแล้ว อันดับสองเป็นลูกศิษย์ของท่านอาวุโสในสำนักเทียนซือ ส่วนอันดับสามมีสองคน ตอนที่อันดับสามประลอง ทั้งสองคนต่างประลองกันจนหมดเรี่ยวแรงไป ไม่มีคนแพ้ชนะ ดังนั้นจึงเป็นอันดับสามทั้งคู่
อวิ๋นเจี่ยวค่อนข้างพึงพอใจกับการประลองในครั้งนี้ จากความพยายามหลายปี ความสามารถของเสวียนเหมินถูกยกระดับขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะสิบอันดับแรก เดิมทีพวกเขาก็เป็นลูกศิษย์ที่มากความสามารถของแต่ละสำนักอยู่แล้ว หลังจากมีเงื่อนไขด้านการเรียนที่ดีขึ้น ทำให้ความสามารถของพวกเขาพุ่งกระฉูดอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าไม่แตกต่างจากท่านอาวุโสและเจ้าสำนักมากเท่าไหร่แล้ว
การประลองสมัยแรกนี้ แต่ละสำนักล้วนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง สำนักเทียนซือถึงขั้นจัดงานมอบรางวัลขึ้นมา เจ้าสำนักสวียืนอยู่บนแท่นสูง ก่อนจะพูดเปิดงานอย่างเป็นทางการต่อหน้าเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ จากนั้นให้ลูกศิษย์ทั้งสิบขึ้นแท่นสูงทีละคน จากนั้นพูดให้กำลังใจเหล่าลูกศิษย์คนอื่น ให้พวกเขาพยายามฝึกฝน เพื่อคะแนนที่ดีในครั้งหน้า
เจ้าสำนักสวีสมกับเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนซือ คำพูดของเขาทำให้เหล่าลูกศิษย์ต่างเกิดความกระตือรือร้น รวมไปถึงเหล่าศิษย์พี่น้องของลูกศิษย์ที่ได้รับรางวัลต่างยืดตัวตรงด้วยความภาคภูมิใจ
เขากล่าวชื่นชมอยู่สักพัก ก่อนจะประกาศรางวัล
เดิมทีรางวัลของสิบอันดับแรกคือยาฟื้นฟูคนละเม็ด ทางหุบเขาหมอและสำนักที่ฝึกฝนด้านการหลอมยาเป็นผู้รับผิดชอบ ตอนที่พวกเขาหลอมยานั้น อวิ๋นเจี่ยวเดินผ่านพอดี จึงวางข่ายพลังควบคุมไฟให้พวกเขา ส่งผลให้ยาเม็ดที่หลอมออกมาสำเร็จไม่น้อย เหล่าเจ้าสำนักหารือกัน ก่อนจะปรับรางวัลจากหนึ่งเม็ดเป็นหนึ่งขวด
เหล่าลูกศิษย์ต่างรับมาด้วยความดีใจ แต่ว่าเหล่าเจ้าสำนักอวี้ฝู ผู้ที่รับผิดชอบรางวัลของอันดับสามอยากจะร้องไห้ขึ้นมา สิบอันดับแรกได้ยาคนละขวด เช่นนั้นสามอันดับแรกควรจะดีกว่า
ยันต์สายฟ้าที่เตรียมเอาไว้สามใบดูไม่เหมาะสมขึ้นมา อีกทั้งตอนนั้นเขายังเป็นคนบอกเองว่ารางวัลอันดับสามมอบหมายให้เขา สิ่งสำคัญคือ ครานี้มีอันดับสามสองคน
เจ้าสำนักอวี้ฝูหยิบยันต์สายฟ้าออกมาหกใบด้วยสีหน้าขมขื่น นอกจากให้คนละสามใบแล้ว ยังหยิบยันต์น้ำแข็งและยันต์รวมจิตออกมาสองใบแจกจ่ายให้ทั้งสองคน ยันต์สีทองหายไปสิบใบในคราเดียว ทำให้คลังเก็บยันต์ของเขาแทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว
แต่สิ่งที่ปลอบใจได้คือ หนึ่งในนั้น เป็นลูกศิษย์สำนักเขาเอง
รางวัลที่เพิ่มขึ้นทำให้เหล่าลูกศิษย์ต่างโห่ร้องดีใจและอิจฉา ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาจึงสะกดอยู่ที่บนตัวของอวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ พวกเขาอยากเห็นรางวัลของอันดับหนึ่งและสองอย่างมาก
ไป๋อวี้กลับเรียบเฉยอย่างมาก เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ประกาศว่ารางวัลคืออะไร ดังนั้นเปลี่ยนแปลงหรือไม่จึงไม่สำคัญ เขาเดินไปหาลูกศิษย์ที่ได้อันดับสอง ก่อนจะส่งยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย “เจ้าเป็นลูกศิษย์สำนักเทียนซือ ชื่ออะไร ปกติฝึกฝนอะไร”
“เรียนอาจารย์” ลูกศิษย์นั้นตอบ “ข้าชื่อเล่อจวิน เป็นลูกศิษย์ของสำนักเทียนซือ อีกทั้งเป็นลูกศิษย์ห้องสอง เคยศึกษาคาถาห้าธาตุกับอาจารย์มาก่อน”
“เจ้าคือเล่อจวิน!” ไป๋อวี้ผงะไปเล็กน้อย ชื่อนี้เขาคุ้นหูอย่างมาก เพราะว่าลูกศิษย์ที่สามารถสอบผ่านได้มีจำนวนน้อย เล่อจวินเป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ปกติเขาอยู่แต่ในชิงหยาง ไม่ได้ฝึกฝนก็เข้าสอน หรือไม่ก็ถูกอาจารย์ปู่ทุบ ไม่เหมือนอวิ๋นเจี่ยวที่มาหารือเรื่องต่างๆ ในสำนักเทียนซือบ่อยครั้ง พบปะลูกศิษย์เป็นครั้งคราว ทำให้ส่วนใหญ่เขาจะรู้แค่ชื่อ แต่ไม่เคยพบหน้า
“ใช่ อาจารย์!” เล่อจวินเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน ก่อนจะพูดต่อ “ขอบคุณอาจารย์ไป๋ที่ถ่ายทอดคาถาห้าธาตุให้ข้า ข้าฝึกไปถึงขั้นที่ห้าแล้ว”
“อืม ไม่เลว!” ไป๋อวี้พยักหน้า ทันใดนั้นมีความภาคภูมิใจในฐานะอาจารย์ขึ้นมาทันที ยิ่งมองอีกฝ่ายยิ่งพึงพอใจ “เจ้าฝึกคาถาห้าธาตุ เช่นนั้นเจ้าใช้ดาบใช่หรือไม่”
“เรียนอาจารย์ ข้าใช้ดาบ” คาถาห้าธาตุแตกต่างจากคาถาเสวียนซินของไป๋อวี้ ถึงแม้จะเป็นคาถาเหมือนกัน แต่มันก็เป็นคาถาสำหรับดาบ ดังนั้นกระบวนท่าบางอย่างต้องใช้ดาบร่วมด้วย
“เช่นนี้…” ไป๋อวี้ครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจ “ข้ามีดาบที่เหมาะกับเจ้าอยู่ ถือว่าเป็นรางวัลในการประลองครั้งนี้แล้วกัน” พูดจบก็หยิบดาบสีขาวด้ามหนึ่งออกมาจากย่ามด้านข้าง
ดาบนั้นไม่เหมือนอาวุธธรรมดา ด้ามและตัวดาบเป็นหนึ่งเดียวกัน อีกทั้งยังส่องประกายแสงสีขาวจางๆ เพียงแค่มองก็รู้สึกถึงพลังบนดาบนั้น
นี่คือ…
“อาวุธเทพ!”
เล่อจวินยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร เจ้าสำนักด้านข้างกลับอุทานออกมา พลังสีขาวบนตัวดาบนั้นเข้มข้นเสียยิ่งกว่าพลังลมปราณ หากไม่ใช่พลังเทพจะเป็นอะไร อาวุธที่มีพลังเทพก็คงจะมีเพียงอาวุธเทพแล้ว
ทันทีที่เขาพูดจบ ไม่เพียงเล่อจวิน แม้แต่ลูกศิษย์ที่มาเข้าร่วมงานต่างตกตะลึง
อาวุธเทพ! อาวุธเทพ! โลกนี้มีอาวุธเทพ! อีกทั้งอาจารย์ไป๋ยังมอบให้เป็นรางวัลสำหรับการประลองครั้งนี้ สำนักชิงหยางเป็นสำนักเทวดาอะไรกัน ทำไมอาจารย์ไป๋หยิบออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้!
“นี่…” เล่อจวินตกตะลึง มองดาบตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้ง เขาไม่กล้าขึ้นไปรับ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ทันใดนั้นเขามีความรู้สึกไม่รู้จะรับมืออย่างไร เขารีบก้าวถอยหลัง “ศิษย์ไม่บังอาจ!”
“สหายไป๋!” เจ้าสำนักสวีเองก็เดินขึ้นหน้าห้าม “นี่เป็นแค่การประลองเท่านั้น ไม่ต้องให้รางวัลใหญ่เช่นนี้ บนโลกไม่เคยมีการปรากฏของอาวุธ หากท่านมอบให้ลูกศิษย์ธรรมดา จะเป็นการไม่รอบคอบ”
“ใช่แล้ว สหายไป๋” อาจารย์ของเล่อจวิน ท่านอาวุโสเฉินเต้าหย่วนพูดขึ้น “อาวุธเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ถึงแม้ลูกศิษย์ข้าจะมีความสามารถ แต่ก็เร็วเกินไปที่จะใช้ดาบเทพ ท่านเปลี่ยนเป็นดาบธรรมดาก็พอ”
ไป๋อวี้ผงะ ไม่ใช่ ดาบธรรมดาเขาก็ไม่มี! ในย่ามของเขายังมีอาวุธที่หลอก…เอ่อ ได้มาจากอาจารย์อาเท่านั้น ดาบเช่นนี้ ในคลังของสำนักยังมีอีกหลายสิบด้าม!
“สหายไป๋ ไม่เหมาะสม เก็บกลับเถอะ!” ทั้งสองคนยังคงห้าม คิดจะให้ไป๋อวี้เก็บกลับไป
ไป๋อวี้ไม่มีวิธี จึงหันไปหาอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู…” ความคิดมอบรางวัลเป็นอาวุธนี้มาจากอวิ๋นเจี่ยว
อวิ๋นเจี่ยวเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นหน้า ยัดดาบใส่มือของเล่อจวิน “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม! ชายแก่ให้เจ้าแล้ว มันก็เป็นของเจ้า”
“ไม่ใช่ อาจารย์อวิ๋น นี่เป็นอาวุธเทพ!” เจ้าสำนักสวีพูดขึ้น นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าให้หรือไม่ แต่มันคืออาวุธเทพ! บนโลกมนุษย์ไม่เคยปรากฏอาวุธเทพมาก่อน ซึ่งหมายความว่าดาบนี้เป็นสมบัติล้ำค่า อีกทั้งยังมีน้อยด้วย
สหายไป๋มอบให้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เล่อจวินสามารถครอบครองได้หรือไม่คืออีกเรื่อง ดาบนี้ไม่รู้ว่าจะนำมาซึ่งโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้