“อาวุธเทพมีอะไรแปลกหรือ” อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองทุกคน เห็นเพียงแต่เหล่าเจ้าสำนักต่างมีสีหน้ากังวล เธอจึงถอนหายใจออกมา “อาวุธก็คืออาวุธ ไม่ว่าอาวุธอะไร ก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น อาวุธจะเก่งกาจแค่ไหนเพียงเพื่อให้พวกเราใช้สะดวก มันไม่อาจช่วยยกระดับพลังของพวกเรา อาวุธที่ไม่มีคนใช้ก็เป็นแค่ของตาย ทำไมต้องให้ความสำคัญกับของไม่สำคัญเช่นนี้”
อวิ๋นเจี่ยวเข้าใจความกังวลของเหล่าเจ้าสำนักสวีดี พวกเขาแค่เป็นกังวลว่าจะมีคนอิจฉาเล่อจวิน ฆ่าคนแย่งสมบัติเท่านั้น ถึงแม้ว่าเสวียนเหมินในตอนนี้มีแต่ความสันติ แต่จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงง่าย ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ต่อหน้าแรงดึงดูด คนจะกลายเป็นปีศาจหรือไม่
เพียงแต่เธอไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดถึงมีคนให้ความสำคัญกับเครื่องมือมากเช่นนี้ ใช่! อาวุธเทพไม่เลว หากมีอาวุธเช่นนี้อยู่ในมือ ตามหลักแล้วสามารถทำให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็เป็นเพียงหลักการเท่านั้น ไม่ว่าอาวุธจะแข็งแกร่งขนาดไหน สิ่งสำคัญคือต้องดูคนใช้คือใคร
“พวกท่านรู้สึกว่าอาวุธเทพดี นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้พวกท่านไม่เคยพบเห็น ก็เหมือนกับปกติพวกท่านจะใช้หม้อเหล็กหุงข้าว อยู่มาวันหนึ่งใช้หม้อหุงไฟ…เอ่อ หม้อข้ายพลัง แบบที่สามารถหุงต้มพัดเอง พวกท่านก็จะรู้สึกดี” เธออธิบาย “แต่อาหารจะอร่อยหรือไม่ สิ่งสำคัญคือฝีมือของพ่อครัว ไม่ใช่หม้อ”
เหมือนกับเตาหลอมยาของเธอ ตอนแรกเธอได้ปรับให้มันสามารถผัดผักหุงข้าวเอง แต่อาหารที่ทำออกมา ไม่เพียงอาจารย์ปู่ แม้แต่ชายแก่ยังรู้สึกว่าไม่อร่อย เธอก็ยังต้องทำเองจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่ขนมที่อาจารย์ปู่กินทุกวัน เขาก็ยังต้องลงมือนวดแป้งเอง!
“เครื่องมือก็คือเครื่องมือ มีก็สามารถเสริมกำลัง ไม่มี ก็ไม่เป็นอะไร!” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่าง ก่อนจะพูดต่อ “พวกเจ้าไม่ควรให้ความสำคัญกับอาวุธมากเกินไป แต่ควรให้ความสำคัญกับการฝึกฝน แค่กามรฝึกฝนของพวกเจ้าถึงขั้น เช่นนั้นไม่ว่าอะไรก็เป็นอาวุธของพวกเจ้าได้! จำไว้ว่าสิ่งที่พวกเจาฝึกฝนคือเต๋า ไม่ใช่อาวุธ!” ให้ความสำคัญกับการเรียน ไม่ใช่ปากกาที่ใช้เขียน!
ทุกคนต่างผงะไป ไม่เพียงแต่เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่าง แม้แต่เจ้าสำนักเองก็เช่นกัน
พวกเขาได้ยินคำนิยามเหล่านี้เป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก ทันนั้นพวกเขาก็หมดความสนใจต่ออาวุธภายใต้ยุทธภพนี้ไป
อาวุธล้วนเป็นสิ่งที่นักพรตหลอมออกมา สิ่งสำคัญไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นความสามารถ! อาวุธอะไรกันล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา สิ่งที่แท้จริงคือพลังของตนเอง
“โรงเรียนเสวียนเหมินของพวกเรามีสมบัติ แต่มันไม่ใช่อาวุธ มันคือความรู้ที่พวกเจ้าได้เรียนไปจากที่นี่จนทำให้พวกเจ้าบรรลุได้ สิ่งเหล่านี้ถึงจะเป็นเรื่องที่พวกเจ้าให้ความสำคัญ ส่วนอาวุธ…” อวิ๋นเจี่ยวเดินไปข้างชายแก่ ก่อนจะรับย่ามในมือของเขามา พลางเปิดพลางพูด “นี่เป็นป้ายรางวัลที่แสดงถึงคะแนนที่ดีของพวกเจ้าเท่านั้น”
นาทีถัดมา แสงสีขาวนับสิบหลั่งไหลออกมาจากย่ามในมือของเธอ อาวุธเทพมากมายปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
“อาวุธเทพมีมากมาย แค่เพียงพวกเจ้ามีคะแนนการเรียนที่ดีอย่างเล่อจวิน ทุกคนต่างมารับรางวัลกับข้าได้!”
เหล่าลูกศิษย์: “…”
เหล่าเจ้าสำนัก: “…”
เล่อจวิน: “…”
เงียบไปสามวินาที ก่อนที่สำนักเทียนซือจะมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้น
เหล่าลูกศิษย์ต่างทำหน้าตื่นเต้น มีความรู้สึกอยากกลับไปฝึกฝนขึ้นมาทันที ความกระตือรือร้นในการเรียนพุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน บางคนถึงขั้นหยิบตำราขึ้นมาอ่าน
ชายแก่ดึงอวิ๋นเจี่ยวทีหนึ่ง ก่อนจะเข้าใกล้อย่างเงียบๆ “เจ้าหนู พวกเรามี…อาวุธเทพมากมายขนาดนี้หรือ”
“กลัวอะไร” อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าไม่เปลี่ยน พูดเสียงเบา “การประลองใหญ่หนึ่งปีหนึ่งครั้ง สิ่งที่พวกเรามีอยู่ในมือเพียงพอสำหรับสิบปีแล้ว ตามการเรียนของพวกเขา ท่านว่าอีกหลายสิบปีจะมีลูกศิษย์ที่หลอมอาวุธเทพออกมากี่คน”
อืม พูดได้มีเหตุผล เพียงแต่…
“มะ…มอบให้เช่นนี้เลย” นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์อาทิ้งเอาไว้ล้างหนี้ ครั้งเดียวยังพอว่า มอบให้ทุกครั้งคงขาดทุนยับ
“หากต้องการหลอมอาวุธเทพ จะต้องมีการฝึกฝนก่อน ท่านว่าการบ้านจะน้อยหรือ”
ชายแก่นึกถึงการบ้านยันต์กองเท่าภูเขาที่อาจารย์อาเก็บขึ้นมา นึกย้อนไปถึงตอนที่สำนักมียันต์ม่วงเพียงใบเดียว แต่ตอนนี้ยันต์ม่วงในสำนักเพียงพอให้เขาโยนเล่น ทันใดนั้น เขาก็มีความรู้สึกว่า สำนักกำลังจะมีกองอาวุธเทพเกิดขึ้น
ชายแก่: “…”
เขาไปแล้ว ในฐานะสัตว์กลืนทอง เขาไม่ควรสงสัยความสามารถของเจ้าหนู
“สมกับที่เป็นอาจารย์อวิ๋น...” เหล่าเจ้าสำนักก็ตั้งสติได้ พวกเขาเดินขึ้นหน้าด้วยตาลุกวาว “จิตใจเต๋าแน่วแน่ ไม่ถูกสิ่งภายนอกปั่นป่วน ก่อนหน้านี้พวกข้าคับแคบเกินไป” เครื่องมือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น จะสำคัญไปกว่าการฝึกฝนได้อย่างไร
ถึงแม้ไม่ใช่ว่าเหล่าลูกศิษย์จะเข้าใจประเด็นนี้ อาวุธที่มอบให้เล่อจวินก็อาจก่อความอิจฉาแก่คนอื่น แต่ว่าอวิ๋นเจี่ยวให้คำสัญญาเอาไว้ ทุกคนจึงไม่มีความคิดจะแย่งชิง เพราะว่าอาวุธเทพจะเลือกนาย อีกทั้งยังยากต่อการลบกลิ่นของนายคนก่อน นอกจากนี้อาวุธที่ทุกคนใช้ก็แตกต่างกัน หากแย่งมาก็อาจใช้ไม่ชินมือ ส่วนการประลองมีจัดทุกปี อาวุธเทพสามารถเลือกได้ตามใจ พยายามฝึกฝนให้มากขึ้น อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ต้องไปแย่งชิง
เมื่อเห็นว่าเหล่าลูกศิษย์ข่มวิญญาณการเรียนไว้ไม่อยู่แล้ว เจ้าสำนักสวีจึงรีบดำเนินการรายการสุดท้าย เขาพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “อาจารย์อวิ๋น ครานี้เป็นรางวัลอันดับหนึ่ง”
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะเก็บอาวุธเทพลง พร้อมส่งย่ามคืนให้ชายแก่ พลางเปิดย่ามของตนเองพลางพูดกับถังเฉิน “มีค่อนข้างมาก เจ้ารอหน่อย!”
ทุกคนต่างเงียบ สายตาจับจ้องไปยังมือของเธอ ทันใดนั้นหยุดหายใจไปพร้อมกัน รางวัลของอันดับสองเป็นอาวุธเทพ เช่นนั้นรางวัลที่หนึ่งจะเป็นอะไร!
ดังนั้น นาทีถัดมาพวกเขาจึงเห็นมือของอวิ๋นเจี่ยวล้วงเข้าไปในย่าม ก่อนจะหยิบกระดาษสีขาวปึกหนาออกมา ด้านบนยังประทับไปด้วยช่องสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเล็ก ความรู้สึกคุ้นชินนั้นทำให้เหล่ลลูกศิษย์ต่างตกตะลึง เธอยื่นมันให้ถังเฉิน
จากนั้นเธอยังยื่นลงไปอีกครั้ง ก่อนจะหยิบออกมาทีละปึก จนกระทั่งมือทั้งสองข้างของถังเฉินแทบจะรับไว้ไม่ไหว เธอจึงหยุดลง
“แค่นี้” เธอตบไปยังสิ่งของที่ซ้อนทับสูงขึ้นไป ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าปรับข้อสอบทั้งหมดตั้งแต่ข้าเปิดห้องเรียนขึ้นมา อีกทั้งยังมีข้อสอบแบบใหม่ ตำราข้อสอบ เจ้าสามารถเรียกมาว่า ‘ห้าสาม’ เพียงแต่ข้อสอบมีจำนวนน้อย แต่ว่าทำถึงการประลองครั้งหน้าคงไม่มีปัญหา นี่คือรางวัลของข้า ไม่ใช่อาวุธ ไม่ใช่ยันต์หรือยา แต่เป็น…ความรู้!” ความรู้คือพลัง!
ถังเฉิน: “…”
เล่อจวิน: “…”
เหล่าลูกศิษย์: “…”
ท่านเป็นปีศาจหรือไง
( ̄△ ̄;)
เหล่าเจ้าสำนัก: “…”
สมกับเป็นอาจารย์อวิ๋น! ทำไมพวกเขานึกไม่ถึงรางวัลนี้กันนะ? ขาดทุน!
o( ̄ヘ ̄o#)