หลังจากออกจากหมู่บ้านเสี่ยวเหอ ม่านรัตติกาลก็โรยลงมา

สิ่งที่เหลือความคาดหมายคือ เยี่ยเฟิงมาหา

เขาเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่ แม้นเนื้อผ้าจะไม่ดี ทว่ากลับถักทออย่างประณีต

“ข้าซักเสื้อของเจ้าแล้ว แต่มีจุดขาด ขอโทษด้วย เสื้อของเจ้าราคาเท่าใด ข้าจะชดใช้คืนให้”

อาจเป็นเพราะมุมปากบวมขึ้น ใบหน้ายังมีร่องรอยของการนัวเนียและรอยฝ่ามือ เยี่ยเฟิงจึงใช้ผ้าสีเทาดำบดบัง จึงเผยแค่ใบหน้าครึ่งซีก

สิ่งที่เผยสู่ภายนอกมีเพียงดวงตาทั้งคู่ของเขาเท่านั้น

เขาไม่ค่อยมีชีวิตชีวามากนัก ดวงตายังมีเส้นเลือดผุดขึ้นด้วย เพราะเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่ มองภายนอกแล้วจึงไม่เห็นรอยแผลมากมาย

เซี่ยวอวี่เซวียนโบกมืออย่างจนปัญญา “ก็แค่เสื้อตัวหนึ่ง ขาดก็ขาดสิ โยนทิ้งก็สิ้นเรื่อง อาการเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”

“ดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณ”

ดวงตาเยี่ยเฟิงเป็นประกาย ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาพวกเขา

ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนกลับยกยิ้ม เหินเดินมาตรงหน้าเยี่ยเฟิงอย่างขี้คร้าน จากนั้นก็ชี้เสื้อผ้าที่ทับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วหัวเราะกล่าว

“เยี่ยเฟิง เจ้ารู้ไหมว่าเสื้อตัวนี้ใช้เนื้อผ้ากระไร?”

เยี่ยเฟิงชะงักงัน

เซี่ยวอวี่เซวียนก็ชะงักเช่นกัน

ไม่เข้าใจในสิ่งที่นางกล่าว

“นี่มันผ้าไหมหลิวหยุนจิ่น คาดว่าเจ้าคงรู้ว่าผ้าไหมหยุนจิ่นราคาแพงขนาดไหน ลือกันว่าผ้าหนึ่งนิ้วเทียบกับทองคำได้เลย ซึ่งไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด ถึงแม้เจ้าจะเย็บซ่อมผ้าที่ขาดแล้ว แต่ถึงกระนั้นมันก็เคยขาดแล้ว เจ้าว่าใช่หรือไม่ เสี่ยวเซวียนเซวียน”

“หา…….”

อะไรกัน?

ก็แค่ผ้าไหมหลิวหยุนจิ่น เขามีปัญญาซื้อไหว

ขาดหรือไม่ สำคัญรึ?

เซี่ยวอวี้เซวียนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก

เยี่ยเฟิงกล่าวเสียงเคร่งขรึม “เท่าไหร่ ข้าจะชดใช้”

“เสื้อผ้าไหมหลิวหยุนจิ่นของเซี่ยวอวี่เซวียนเป็นผลงานทอผ้าของช่างเย็บที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง ในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ไม่ใช่สิ ในรัฐเยี่ยมีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ดังนั้นเสื้อตัวนี้อย่างน้อย ๆ ก็ราคาหนึ่งพันตำลึง”

“หนึ่งพันตำลึง” เยี่ยเฟิงเงยหน้าด้วยความตะลึงตะไล จากใบหน้าซีดขาวยิ่งซีดขึ้นหลายส่วน

“ใช่ หนึ่งพันตำลึง ค่ายารักษาเจ้าเมื่อคืนถือว่าข้ามอบให้เจ้าแล้วกัน”

กู้ชูหน่วนยื่นมือ ถึงแม้ไม่ได้พูดออกมา ทว่าท่าทีเรียกเงินนั้นชัดแจ้งมาก

เซี่ยวอวี้เซวียนลากนางไปหลายก้าว กดเสียงต่ำแล้วเอ่ยว่า “แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าเยี่ยเฟิงไม่มีเงินหนึ่งพันตำลึง”

กู้ชูหน่วนจงใจยกเสียงดังขึ้น “ไม่มีเงิน? ไม่ได้ หนึ่งพันตำลึงไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เยี่ยเฟิง เจ้าคิดจะคืนอย่างไร?”

ได้ยินดังนั้น ถึงเยี่ยเฟิงกับเซี่ยวอวี่เซวียนจะโง่เพียงใดก็เข้าใจความหมายทันที

นางจะเอาเงินหนึ่งพันตำลึงให้จงได้

เสียงเยี่ยเฟิงแหบแห้ง แหบจนไม่มีเสียง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผ่านอะไรมาบ้าง

เขากล่าวเสียงเครียด “ยามนี้ข้าไม่มีเงินหนึ่งพันตำลึง ให้เวลาข้าหน่อยได้หรือไม่?”

“ไม่ใช่ว่าจะให้เวลาเจ้าไม่ได้ แต่ก่อนที่เจ้าจะชดใช้หนี้สิน เจ้าควรให้ดอกเบี้ยหรือไม่?”

“ดอกเบี้ย?”

“อย่างเช่น ช่วยข้าทำงาน โดยการกวาดห้อง ซักเสื้อผ้าเป็นต้น”

กู้ชูหน่วนเอียงหน้ามองเขา นัยน์ตาสะท้อนความมั่นใจอย่างยิ่งยวด

นางเชื่อว่าเยี่ยเฟิงจะยอมตอบตกลง

เงินหนึ่งพันตำลึงไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เลย บัดนี้ เขาอัตคัดขัดสนจนไม่มีเงินแม้แต่หนึ่งตำลึง

“ในเมื่อตกลงกันแล้วก็ตามข้ามา มาอยู่ที่นี่นานแล้ว กลางคืนข้ายังไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลย ไปที่จวนเจ๋ออ๋องเถอะ ข้าจำได้ว่าเขาพนันจวนแล้วแพ้ให้แก่ข้า ผ่านมาหลายวันแล้ว ข้ายังไม่เคยไปตรวจดูเลย”

ไม่รอให้พวกเขาตอบ กู้ชูหน่วนก็ลากเยี่ยเฟิงไปยังจวนเจ๋ออ๋อง

เซี่ยวอวี้เซวียนตะลึงตาค้าง

ไม่จูงเขา แต่จูงเยี่ยเฟิงไป

ผ้าไหมหลิวหยุนจิ่นเป็นของเขา ถึงเยี่ยเฟิงจะติดค้างก็ควรติดเขามิใช่หรือ

“นี่ ๆ แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้ารอข้าด้วย”