ตอนที่ 228 หลบไม่ทัน

แม่สาวเข็มเงิน

ฝูฉูน้ำตานองหน้า นางมองเจียงหยุนชานอย่างอึ้ง ๆ

แม้เจียงหยุนชานจะเหินห่างและสุภาพกับนางตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น แต่ฝูฉูเชื่อว่าในใจของเจียงหยุนชานยังมีนางอยู่ ไม่อย่างนั้นตอนที่ต้องรีบหนี ทำไมเขาถึงไม่หยิบสิ่งของจำเป็นที่อยู่ใกล้มือ แต่เลือกที่จะหยิบผ้ากันเปื้อนที่นางให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านไปด้วยแทนล่ะ ?

นางบากหน้ามาคุกเข่าอย่างต่ำต้อยเพื่อขอร้องพวกเขาขนาดนี้ ทำไมพวกเขายังไร้ความปราณีได้อีก ?!

เจียงป่าวชิงเห็นสีหน้าโศกเศร้าของฝูฉูมีความผิดปกติไปเล็กน้อยจึงมายืนบังตรงหน้าเจียงหยุนชานด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมพยุงฝูฉูขึ้นมาด้วย “พี่ฝูฉูมีอะไรก็คุยกันดี ๆ เถอะ สิ่งที่พวกเราสามารถช่วยได้ พี่ไม่ต้องคุกเข่าให้พวกเรา พวกเราก็ช่วย แต่ถ้าหากว่าเราช่วยไม่ได้ ต่อให้พี่คุกเข่าจนทะลุแผ่นหินนี้ เกรงว่าเราก็คงจะจนปัญญาจริง ๆ”

ทว่าฝูฉูกลับปัดมือของเจียงป่าวชิงออกแล้วพูดไปสะอื้นไห้ไป “แม่นางเจียง ตอนนี้ท่านชายให้ความสำคัญกับเจ้าที่สุด จะมีสิ่งที่เจ้าจนปัญญาอีกได้ยังไง ?”

เจียงป่าวชิงเห็นว่าฝูฉูพูดจานอกเรื่องแล้ว จึงส่งเสียงหัวเราะเยาะและไม่ไว้หน้าฝูฉูอีก นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “นี่พี่ฝูฉู บอกตามตรงว่าข้าไม่กล้าสวมหมวกสูงของพี่หรอกนะ น้องสาวพี่กระทำผิดอะไร ข้าพอจะเดาได้แล้วล่ะ”

สีหน้าฝูฉูเปลี่ยนไปทันที

เจียงป่าวชิงหัวเราะเสียงเยียบเย็นแล้วพูดต่อไปอย่างไม่แยแส “เรื่องที่ว่าที่อยู่บ้านท่านชายของพี่ถูกเปิดเผยไปเมื่อครั้งที่แล้วเป็นฝีมือน้องสาวพี่ล่ะสิ ?”

ฝูฉูคิดไม่ถึงว่าเจียงป่าวชิงจะสามารถเดาได้อย่างแม่นยำแบบนี้ นางหน้าแดงก่ำ ปากก็พูดไปทั้งน้ำตา “น้องสาวข้าอายุยังน้อย นางไม่รู้เรื่องอะไร มันก็แค่ข่าวคราวรั่วไหลในตอนที่นางคุยกับเพื่อนเท่านั้นเอง”

“ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างนั้นรึ ?” เจียงป่าวชิงไม่อยากฟังคำแก้ตัวแทนน้องสาวของฝูฉู “เหอะ! นางก็ไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ นั่นแหละ โตจนป่านนี้แล้วยังหนีออกจากบ้านหลายครั้งหลายหน สร้างปัญหาให้ผู้อื่นตั้งมากมาย ถามจริงเถอะ นี่นางไม่รู้อะไรเลยหรือยังไงว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันทำให้คนอื่นลำบาก ? แล้วครั้งนี้ยิ่งน่าสนใจมากกว่าครั้งไหน ๆ นางไม่รู้จักว่าอะไรคือการระมัดระวังแบบนั้นล่ะสิ ? รู้ไหมว่าการไม่รู้อะไรของน้องสาวพี่มันทำให้คนกี่คนต้องตาย ? ทำไมพี่ถึงยังมีหน้ามาขอร้องให้พวกข้าช่วยอยู่อีก ?”

ฝูฉูถูกซักถามอย่างยาวเหยียดจนหน้าขาวซีดพูดไม่ออก ทำได้เพียงก้มหน้าอย่างลำบากใจแล้วกัดฟันพูดต่อ “แม่นางเจียง ที่เจ้าด่ามานั้นถูกต้องทั้งหมด… แต่น้องสาวข้าไม่ได้เจตนาจริง ๆ”

เจียงป่าวชิงขัดจังหวะฝูฉู “พี่มาพูดอย่างนี้กับข้าทำไม ? พี่ไปบอกพวกองครักษ์ที่ถูกฆ่านู่นสิ ไปบอกท่านชายของพี่นู่น มาบอกคนนอกอย่างข้า มีแต่จะทำให้ข้ารังเกียจก็เท่านั้น ข้าจะบอกอะไรให้ มันเป็นเพราะพวกพี่ปล่อยนางครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจนางจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าระดับความพอดี ทำให้นางไม่รู้ผลกรรมของการกระทำความผิด นี่แหละ ถึงเวลาที่นางจะต้องรับผลที่ตามมาแล้ว”

ฝูฉูนั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

เจียงป่าวชิงชำเลืองมองฝูฉูอย่างเย็นชา “เอาล่ะพี่ฝูฉู ข้าแนะนำให้พี่อย่ากังวลเรื่องน้องสาวของพี่เลย หากว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว เรื่องในครั้งนี้พี่เองก็เป็นพี่สาวของนาง แทนที่จะเตือนนางหน่อยก็ไม่ทำ พี่คิดว่าพี่จะหนีความรับผิดชอบไปได้อย่างนั้นรึ ?”

หัวใจของฝูฉูกระโดดขึ้นมาถึงคอหอยทันที นี่เจียงป่าวชิงหมายความว่าอย่างไร ?

เจียงป่าวชิงไม่ยอมพูด นางทำเพียงดึงเจียงหยุนชานแล้วพูดขึ้น “พี่หยุนชานเจ้าคะ ที่นี่มีคนเกะกะขวางทาง เราไปนั่งพักกันตรงนั้นดีกว่าเจ้าค่ะ”

เจียงหยุนชานมองฝูฉูที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้นด้วยความลังเลแต่เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเดินออกไปพร้อมกับเจียงป่าวชิง

ฝูฉูได้แต่นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนั้น

……

เจียงป่าวชิงไม่ได้ถามกงจี้เกี่ยวกับการลงโทษ แต่ได้ยินว่ากงจี้ให้ทางเลือกกับเซยู่เสียผู้เป็นน้องสาวของฝูฉูสองทาง ทางแรกคือจบชีวิตตัวเองเพื่อยอมรับผิด อีกทางคือให้เซยู่เสียแต่งงานกับองครักษ์ที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างในเหตุการณ์ซุ่มโจมตีครั้งนั้น

ได้ยินว่าเซยู่เสียร้องไห้อย่างหนักและเลือกทางเลือกที่สอง

ส่วนฝูฉู ได้ยินว่านางถูกกงจี้ส่งกลับเมืองหลวงเพื่อไปทำความสะอาดบ้าน

และแน่นอนว่าเมื่อฝูฉูไป คนที่เคยชงชาให้ไป๋จีก็เปลี่ยนเป็นองครักษ์ตัวน้อยหน้าตาหล่อเหลานามว่าเจิ้งหนาน ได้ยินมาว่าเขาเพิ่งมาถึง ดูเหมือนเขาจะยังเด็ก ทั้งบริสุทธิ์และดูเหนียมอายมาก เขาเป็นน้องชายขององครักษ์ที่เสียชีวิตในหน้าที่ก่อนหน้านี้

เจิ้งหนานอายุมากกว่าเจียงหยุนชานเล็กน้อย ตอนที่เจียงป่าวชิงมาเยี่ยมไป๋จี นางเห็นเจิ้งหนานยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ บางทีเขาก็คอยเติมชาและยกผลไม้มาให้บ้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

เจียงป่าวชิงฟังไป๋จีพูดถึงเรื่องราวในชีวิตของเจิ้งหนาน เดิมทีเจิ้งหนานมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งนามว่าเจิ้งเป่ย เจิ้งเป่ยกับเจิ้งหนานเป็นพี่น้องเด็กกำพร้าที่กงจี้ช่วยไว้ และพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ตอนที่เจิ้งเป่ยออกไปทำธุระให้กงจี้เมื่อปีที่แล้ว เขากลับถูกลอบฆ่า กงจี้จึงส่งคนไปล้างแค้นให้เจิ้งเป่ย ตั้งแต่ตอนนั้น เจิ้งหนานก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ตัวเองได้เข้าร่วมกลุ่มองครักษ์ของกงจี้

ปีนี้ ในที่สุดเขาก็มาทำตามที่เขาอยากแล้ว

เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินว่าเจิ้งหนานสูญเสียพี่ชายและต้องอยู่ตัวคนเดียวจึงรู้สึกสงสารเขามาก บางครั้งที่เจียงป่าวชิงนำอาหารบำรุงร่างกายมาให้ไป๋จี นางก็จะให้เจิ้งหนานด้วยเช่นกัน

ทว่าไป ๆ มา ๆ เจิ้งหนานเริ่มหลบหลีกหนีหน้าเจียงป่าวชิงซะอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่นางไม่ใช่พวกจอมตื๊อหรือเป็นคนที่ไม่ยอมลดละอะไรเช่นนั้นอยู่แล้ว

นางเอาลูกชิ้นผักมาให้ไป๋จีหนึ่งชุด แม้จะบอกว่าเป็นลูกชิ้นผัก แต่น้ำต้มของมันกลับตุ๋นจากแม่ไก่แก่ซึ่งมีกลิ่นหอมฉุย เดิมทีเจียงป่าวชิงเองก็จะให้เจิ้งหนานหนึ่งชุดด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเจิ้งหนานเห็นนาง เขาทำหน้าตกใจราวกับหนูที่เห็นแมว จากนั้นเขาก็ก้มตัวเขย่งเท้ารีบออกไปทางประตูทันที

เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปเลยทีเดียว

นั่นทำให้ไป๋จีหัวเราะด้วยท่าทางที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อยู่บนเตียง เขาหัวเราะจนสะเทือนไปถึงบาดแผลทำให้ตัวเขาแข็งทื่อทันที

เจียงป่าวชิงรีบเข้าไปประคองไป๋จีอย่างรวดเร็ว ไปจียังคงตัวแข็งทื่อด้วยความเจ็บแต่ก็ทำสัญญาณมือปฏิเสธไปด้วย เขาเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแอว่า “แม่นางเจียง อย่าแตะต้องตัวข้า…”

เจียงป่าวชิงงุนงง “นี่มันอะไรกัน คนหนึ่งพอเห็นข้าก็วิ่งหนีไป อีกคนก็ไม่ให้ข้าช่วยประคอง นี่ข้าไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นขนาดนั้นเลยรึ ?”

ไป๋จีกระแอมไอเล็กน้อย เขาหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าหน้าแดงเพราะกลั้นขำหรืออะไรกันแน่

เจียงป่าวชิงชายตามองเขา ไป๋จีจึงรีบทำความสะอาดลำคอทันที “อะแฮ่ม! จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็โทษแม่นางเจียงไม่ได้”

“เดี๋ยวนะ” เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว “เดิมทีพวกเจ้าคิดจะโทษข้าหรอกรึ ?”

“เราจะกล้าได้ยังไง” ไป๋จีรีบขอให้เจียงป่าวชิงยกโทษให้ แต่เขายังคงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เมื่อสองวันก่อนเจิ้งหนานถูกนายท่านเรียกหา นายท่านเตือนเขาว่าถ้ายังสนิทสนมกับแม่นางอีก เขาจะย้ายเจิ้งหนานไปเฝ้าประตูใหญ่ เจิ้งหนานจึงมีท่าทีตกใจอย่างที่เห็น”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เจียงป่าวชิงทั้งโมโหทั้งรู้สึกขำ นางไม่คิดว่ากงจี้จะเป็นคนขี้หึงคนหนึ่ง

“อืม รู้แล้ว ๆ” เจียงป่าวชิงพยักหน้า ทว่าเมื่อเห็นท่าทางอยากหลบหลีกไปให้ไกลของไป๋จี นางก็รู้สึกโมโหขึ้นมานิด ๆ และเดินเข้าไปหาอย่างมุ่งร้ายทำให้ไป๋จีตกใจจนโบกมือไปมาอย่างต่อเนื่อง

เขาพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “อ๊ะ! ไม่นะแม่นางเจียง ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าไม่พอใจใช่ไหม ? แม่นางเข้ามาใกล้ข้าขนาดนี้ หรือว่าแม่นางจงใจคิดร้ายกับข้า ? ข้าไม่อยากไปเฝ้าประตูใหญ่นะ”

เจียงป่าวชิงหัวเราะคิกคักก่อนจะลุกขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ ๆ ข้าแค่แกล้งเล่นเท่านั้นแหละ ลูกชิ้นผักนี้ข้าเอามาให้เจ้ากับเจิ้งหนานคนละถ้วย วางไว้ตรงนี้นะ ข้ากลับก่อนล่ะ อีกประเดี๋ยวพอเจิ้งหนานกลับมา เจ้าก็อย่าลืมให้เขากินตอนที่มันยังร้อนก็แล้วกัน”

ไป๋จีพยักหน้าอย่างโล่งอก