ตอนที่ 229 สาวน้อยในชุดสีเหลืองสด

แม่สาวเข็มเงิน

อากาศเริ่มเย็นแล้ว ช่วงนี้เจียงป่าวชิงทำผ้าคลุมเล็ก ๆ กับเสื้อผ้าสำหรับเด็กทารกหลายชุด นางไม่อยากรบกวนคนของกงจี้จึงออกจากบ้านไปที่ท่ารถเพื่อจ้างคนให้นำเสื้อผ้าพวกนี้ไปส่งให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านตัวน้อย

เจียงป่าวชิงจึงถือโอกาสเลี้ยวไปดูเกิ่งจื่อเจียงด้วยเลย ตอนนี้บาดแผลที่ได้รับจากการโดนตีห้าสิบไม้กระดานของเกิ่งจื่อเจียงใกล้หายดีแล้ว เขากำลังตรวจดูอาการให้ผู้ป่วยอย่างฮึกเหิม ส่วนเจียงป่าวชิงนั่งอยู่ด้านหลัง บางครั้งก็ช่วยชี้แนะเกี่ยวกับทักษะการตรวจตราอาการของเกิ่งจื่อเจียง นางให้คำแนะนำดี ๆ มากมายจนเกิ่งจื่อเจียงมองว่าเจียงป่าวชิงเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตควรค่าแก่การบูชา

ตอนที่กลับมาจากบ้านเกิ่งจื่อเจียง อากาศก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฝนเม็ดใหญ่เทลงมา เจ้าฝนนี่ก็เหลือเกิน บทจะตกก็ตกไม่มีสัญญาณเตือนอะไรบ้างเลย เจียงป่าวชิงกางร่มและรีบเดินกลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว แต่นางกลับเห็นจากที่ไกล ๆ ว่ามีคนกำลังยืนถือร่มอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เมื่อดูจากรูปร่างแล้วนั่นคงเป็นกงจี้

หรือว่าเขาออกมารอรับนาง ?

‘จริง ๆ เลย ขายังยืนไม่คล่องแคล่วดีแท้ ๆ ก็ยังจะมายืนรอ แล้วนั่นไม่กลัวหนาวเลยรึไง’ เจียงป่าวชิงพึมพำในใจ ถึงแม้รู้สึกหวานชื่นเล็กน้อย แต่นางยอมรับว่าเป็นห่วงกงจี้จริง ๆ จึงวิ่งไปทางนั้นและพลั้งไปเหยียบบ่อโคลนอย่างไม่ระวัง ทำให้โคลนกระเด็นใส่เสื้อผ้าไปมากกว่าครึ่ง

เจียงป่าวชิงไม่สนใจ นางยังคงวิ่งไปทางบ้านอย่างเร่งรีบ ทว่าตอนที่ยังเหลืออีกประมาณยี่สิบก้าว มีรถม้าเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันเกือบกระแทกเจียงป่าวชิงจนล้มลง ซ้ำร้ายยังซัดเอาน้ำกระเด็นใส่ตัวเจียงป่าวชิงด้วย

ตอนนี้นางเปียกชื้นไปทั้งตัวแล้ว

‘ไอ้คนที่อยู่บนรถม้านั่นจะรีบไปเกิดใหม่รึยังไง’ เจียงป่าวชิงบ่นในใจ ทันใดนั้นนางก็เห็นรถม้าคันนั้นไปจอดอยู่ตรงจุดที่ห่างจากนางไม่ไกลนัก ซึ่งตรงกับหน้าบ้านพอดิบพอดี

เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะนางไม่คิดว่ารถม้าที่เหมือนกับรีบไปเกิดใหม่คันนั้นจะเป็นแขกผู้มาเยือนที่นี่ แต่ทว่าอึดใจต่อมา นางเบิกตากว้างขึ้น

เมื่อม่านรถเลิกออก สาวน้อยในชุดสีเหลืองสดกระโดดลงจากรถม้าท่ามกลางสายฝน เจียงป่าวชิงยังได้ยินสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังสาวน้อยคนนั้นร้องขึ้นอย่างตกใจด้วย “ว้าย! คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูใช้ร่มด้วยสิเจ้าคะ”

แต่สาวน้อยโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกกงจี้ราวกับผีเสื้อโหยหาดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น

ร่มที่อยู่ในมือเจียงป่าวชิงร่วงหล่นลงบนพื้นทันที ขณะเดียวกันฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดเลย

เจียงป่าวชิงเปียกฝนไปทั้งตัว

นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง น้ำฝนจึงเย็นเป็นธรรมดา แต่เจียงป่าวชิงดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงมัน นางปล่อยให้น้ำฝนเย็นยะเยือกนั้นไหลผ่านร่างของตัวเอง

ผ่านไปสักครู่ นางถึงดึงสติกลับมาได้พลางหัวเราะเยาะตัวเองแล้วก้มเก็บร่มกระดาษน้ำมันที่โดนฝนซัดไปไกล

‘นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่ ? …ข้าควรตื่นจากฝันหวานในช่วงนี้ได้แล้ว’

เจียงป่าวชิงถือร่มมือเดียว มืออีกข้างก็เช็ดหน้าตัวเอง นางไม่สามารถแยกแยะได้แล้วว่าความเปียกบนใบหน้าในตอนนี้คือน้ำตาหรือน้ำฝนกันแน่

สาวน้อยในชุดสีเหลืองยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้ากงจี้ ไม่รู้ว่านางกำลังพูดอะไรกับเขา

กงจี้ก้มหน้ามองนาง ถึงแม้ว่าอารมณ์บนใบหน้าของเขาจะมีความหงุดหงิดแฝงปนอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็มีท่าทีจำยอมด้วยเช่นกัน แล้วเขายังเอียงร่มไปตรงศีรษะของสาวน้อยในชุดสีเหลืองนั่นอีกด้วย

เหมือนสาวน้อยจะทำเสียงไม่พอใจ นางผลักด้ามจับร่มไปทางกงจี้ ดูจากท่าทางนี้ เจียงป่าวชิงคิดว่าทั้งสองคนดูมีความชอบพอกันเป็นอย่างยิ่ง

เจียงป่าวชิงยอมรับว่าตัวเองใจเย็น ทว่าเมื่อเห็นกงจี้เป็นเช่นนี้ ในหัวใจของนางเหมือนถูกคนเอามีดมากรีดแทง นี่มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก!

เจียงป่าวชิงหลับตา ไม่รู้ว่าน้ำฝนไหลเข้ามาในปากนางตอนไหน ตอนนี้นางรู้สึกขมขื่นมากจริง ๆ

ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากนางซึ่งดูเป็นธรรมชาติมาก เพียงแต่ดวงตาที่เดิมทีเคยใสราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง บัดนี้กลับมืดหม่นลงเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงเดินถือร่มไปตรงหน้าบ้าน ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ สาวใช้ที่มาด้วยกันกับสาวน้อยในชุดสีเหลืองสดก็ส่งเสียงอุทานแล้วโบกมือไล่เธอ “อ๊ะ! เจ้าขอทานนี่มาจากไหน ไป ๆ ๆ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมายืนอยู่ได้ ไปไกล ๆ เลยไป๊!”

กงจี้มองมาทางนี้ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปทันที

“ทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้ ?” กงจี้รีบก้าวยาว ๆ มาหาเจียงป่าวชิง เขายื่นมือมาเพื่อต้องการพยุงนาง

ทว่าเจียงป่าวชิงกลับก้าวถอยหลังและหลบหลีกมือกงจี้ก่อนจะพูดยิ้ม ๆ ว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่หกล้มอย่างไม่ระวังเท่านั้นเอง”

เจียงป่าวชิงในขณะนี้หมดสภาพจริง ๆ นางเหยียบบ่อโคลนและถูกน้ำโคลนตรงล้อรถม้ากระเด็นใส่ ตอนนี้นางจึงไม่ต่างอะไรกับลิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งถูกล้วงออกมาจากบ่อโคลน

กงจี้ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจียงป่าวชิงก็พูดขึ้นก่อน “เจ้ามีแขก งั้นข้าขอกลับบ้านก่อน คิดว่าพี่ชายข้าคงเป็นห่วงข้าอยู่” พูดเสร็จ นางไม่รอให้กงจี้ตอบสนองใด ๆ นางลดร่มลงเพื่อบังสีหน้าขมขื่นของตัวเองไว้ จากนั้นก็เอียงตัวเดินอ้อมไปด้านข้างกงจี้และรีบเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้ ขาของกงจี้เริ่มมีอาการเจ็บนิด ๆ แล้ว แต่เขาเหมือนจะไม่รู้สึกถึงมัน เขามองแผ่นหลังของเจียงป่าวชิงที่จากไปอย่างเร่งรีบด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดมุ่น

สาวน้อยในชุดสีเหลืองสดรีบรับร่มมาจากสาวใช้ทันที นางปรกร่มตามกงจี้มา น้ำเสียงของนางอ่อนช้อยน่ารักและผสมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “พี่ ข้าได้ยินท่านย่าบอกว่าขาของพี่อาการทุเลาลงแล้ว แต่ยังคงต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ ฝนตกหนักขนาดนี้ ถ้าความชื้นเข้ากระดูกจะทำยังไงล่ะเจ้าคะ ? พี่ไม่อยากถนอมร่างกายตัวเองแต่ก็ต้องนึกถึงข้า หรือไม่ก็นึกถึงท่านย่าบ้างสิ นางเป็นห่วงพี่มาหลายปี ทำไมพี่ถึงปล่อยให้คนแก่อย่างนางต้องเป็นกังวลแบบนี้อยู่เรื่อยเลยล่ะ ?”

กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ ตอนนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว เขาเพ่งมองสาวน้อยในชุดสีเหลืองสด “พอแล้ว เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ”

สาวน้อยไม่คิดว่าการตักเตือนของตัวเองจะได้ผล ดวงตานางเป็นประกายขณะที่นางรีบตอบรับอย่างมีความสุข

หลังจากที่พี่ชายของนางเดินไม่ได้ นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปมาก ทั้งอารมณ์ร้าย ทั้งเหี้ยมโหดและปล่อยตัวเองให้ดูโทรมไปหมด น้อยครั้งมากที่เขาจะฟังคำพูดของคนอื่น ด้วยเหตุนี้ท่านย่าจึงไปอาศัยอยู่เงียบ ๆ คนเดียวเพื่อหนีไปจากสังคมภายใต้ความหมดหวัง ทว่าตอนนี้พี่ชายฟังคำพูดของนางแล้ว หรือว่า…?

สาวน้อยเขินจนแก้มแดง

……

เจียงหยุนชานรออยู่ในบ้านแต่ใจของเขากลับไม่นิ่ง เดิมทีเขาอยากกางร่มออกไปหาน้องสาวด้วยตัวเอง แต่เมื่อสักครู่กงจี้กลับส่งคนมาบอกต่อข้อความว่าร่างกายของเขาอ่อนแอและสั่งให้เขาไม่ต้องออกไป เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องป่วยและทำให้เจียงป่าวชิงเป็นห่วง

แต่ตอนนี้ฝนยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ และเขายังไม่เห็นน้องสาวกลับมาก็ยิ่งนั่งไม่ติด ถึงกับต้องเดินไปมาด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา

ตอนที่เจียงป่าวชิงผลักประตูเข้ามา เจียงหยุนชานกำลังหยิบร่ม ตั้งใจจะออกไปรับนางพอดี เมื่อเขาเห็นนางก็โล่งใจ แต่ทว่าสภาพนาง…

เจียงป่าวชิงอยู่ในสภาพเปื้อนโคลนตมเดินตัวเปียกเข้ามาจากด้านนอก

เจียงหยุนชานตกใจหน้าถอดสีทันที “ป่าวชิง นี่เจ้าไปโดนอะไรมา ?”

เจียงป่าวชิงเผยรอยยิ้มไม่สนใจออกมาให้เห็น “พี่ไม่ต้องตกใจหรอก ข้าไม่เป็นไร แค่ล้มลงไปในบ่อโคลนเมื่อตอนกลับมาก็เท่านั้น”

จากนั้นเจียงป่าวชิงก็ไล่ให้เจียงหยุนชานออกไปข้างนอก “เอาล่ะพี่ พี่กลับไปที่ห้องของพี่ก่อนเถอะ ข้าจะไปอาบน้ำ เสื้อผ้าแนบเนื้อแบบนี้อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว”

เจียงหยุนชานถูกเจียงป่าวชิงผลักออกไปข้างนอก เขาทั้งรู้สึกโมโหทั้งรู้สึกขำ “กลับมาก็เริ่มไล่เลย ก็ได้ ๆ เจ้าไปอาบน้ำเถอะ ข้าจะไปต้มน้ำขิงที่ห้องครัว ประเดี๋ยวเจ้าก็ดื่มสักหน่อยจะได้เหงื่อออก เจ้าไปเถอะ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า นางไม่ได้พูดอะไรมาก พูดเพียงว่า “พี่เองก็อย่าลืมดื่มด้วยล่ะ”

เจียงหยุนชานรีบไปที่ห้องครัวทันที เมื่อเจียงป่าวชิงปิดประตู รอยยิ้มบนใบหน้านางก็จางลงเล็กน้อย ตอนที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงหลังฉากกั้นห้อง นางก็มองดูเสื้อผ้าที่เปื้อนไปด้วยโคลนตมนั้น เสื้อผ้านี้เป็นเสื้อผ้าที่กงจี้จัดเตรียมไว้ให้นาง นางหัวเราะเยาะตัวเองแล้วโยนเสื้อผ้าชุดนี้ข้ามฉากกั้นห้องไปทั้งอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้นางยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมย้ายเข้ามาอยู่วันแรกก็มีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่แล้ว และยังพอดีกับรูปร่างของนางอีกด้วย ตอนนี้นางรู้แล้ว ดูเหมือนว่ารูปร่างของนางกับรูปร่างของสาวน้อยในชุดสีเหลืองสดคนนั้นจะต่างกันไม่มากนัก คิด ๆ ดูแล้วเสื้อผ้านี้คงจัดเตรียมไว้ให้สาวน้อยในชุดสีเหลืองสดคนนั้นมากกว่า

แววตาของเจียงป่าวชิงหมองหม่นลงขณะที่รื้อหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวนางเองออกมาใส่ ส่วนเสื้อผ้าสองสามชุดที่กงจี้ให้คนนำมาใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า นางเอาออกมาวางไว้ด้านข้างโดยคิดว่าจะไม่ใส่มันอีก