บทที่ 198

“ท่านแม่ทัพหยวน ! รีบถอยไปกับข้าเถอะ !” เปิงเฮาฉูดึงแขนรั้งหยวนยู่เอาไว้

ทว่าหยวนยู่กลับเอาแต่ยืนนิ่ง มองกลับไปที่ขบวนแถวจัตุรัสของศัตรู ก่อนกัดฟันแน่นและกล่าวออกมาอย่างเจ็บใจ “ข้าจะถอยได้ยังไง ข้ายังไม่ได้ตัดหัวผู้บัญชาการของศัตรูด้วยซ้ำ !” ว่าแล้วก็สะบัดแขนเปิงเฮาฉูออกไป

เปิงเฮาฉูถอนหายใจและกล่าวอย่างเป็นกังวล “ข้าปล่อยท่านเข้าไปสู้ไม่ได้ ตอนนี้กำลังของศัตรูมีมากเกินไปและอยู่ในสถานะพร้อมทำศึก ต่อให้นำกองทัพของเราทั้งหมดเข้าสู้ก็คงยากนักที่จะเอาชนะ !”

หยวนยู่สบถอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ?”

ถึงจะได้ยินเช่นนั้น หากแต่เปิงเฮาฉูก็ยังคงรั้งหยวนยู่ไว้อีกครั้ง ก่อนใช้มืออีกข้างชี้ไปทางด้านหลังและเอ่ยว่า “หรือว่าท่านแม่ทัพหยวนยู่ตั้งใจจะให้พี่น้องของเราตายกันหมดเลยงั้นเหรอ ?”

หัวใจของหยวนยู่หล่นวูบเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนมองไปยังทิศทางที่เปิงเฮาฉูชี้ ที่เผยให้เห็นถึงกองทัพศัตรูที่กำลังถอยกลับไปที่ค่าย ทิ้งไว้เพียงพื้นดินที่เต็มไปด้วยซากศพของทหารกองทัพเทียนหยวนทั้ง 3 พันนายและศพทหารฝั่งศัตรูปนเปกันไป

หลังจากที่เห็นแบบนั้น ก็ทำให้หยวนยู่ถึงกับนิ่งงันไป เปิดโอกาสให้เปิงเฮาฉูคว้าตัวดึงอีกฝ่ายถอยกลับก่อนพูดว่า “อย่าชักช้าไปกว่านี้เลย ถ้าศัตรูเข้ามาถึง ต่อให้อยากหนีก็หนีไม่ทันแล้วนะ !” ไม่ว่าเปล่า เขาทำการดึงหยวนยู่ไว้ข้างตัวและสั่งให้ถอนกำลังทหารออกจากค่ายแห่งนี้และกลับไปยังมณฑลกวนหนานทันที

ถ้าเป็นสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เปิงเฮาฉูคงสามารถกลับไปได้ง่าย ๆ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ด้วยขบวนแถวจัตุรัสของซ่งเวินเข้าประชิดกองทัพเทียนหยวนเข้ามาทุกที พร้อม ๆ กันกับลูกศรขนเหยี่ยวที่ยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทหารของกองทัพเทียนหยวนร้องออกมาอย่างน่าสังเวชเป็นระยะๆ

เมื่อหยวนยู่เห็นว่าศัตรูไม่มีท่าทีจะยอมแพ้ และเหมือนจะตั้งใจไล่ตามไปจนถึงมณฑลกวนหนาน เขาก็พลันกัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจก่อนจะหันไปพูดกับเปิงเฮาฉู “แม่ทัพเปิง เจ้านำทหารไปก่อน ข้าจะรั้งพวกมันไว้ !”

หลังพูดจบ เขาก็ไม่สนใจว่าเปิงเฮาฉูจะเห็นด้วยหรือไม่ รีบหันหลังวิ่งกลับไปทันที กลายเป็นภาพที่หยวนยู่กำลังยืนเด่นอยู่บนถนน พร้อมกับร้องตะโกนสุดเสียงไปทางกองทัพฝ่ายตรงข้ามว่า “ถ้าพวกเจ้าต้องการจะเข้าไปยังกวนหนาน ก็ต้องผ่านศพข้าไปก่อน !”

ทหารของซ่งเวินยังคงหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของหยวนยู่ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาขวาง ทั้งขบวนรบก็พากันหยุดเคลื่อนไหวในทันที ด้วยทุกคนรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จนพาลให้หัวใจเต้นระรัว และหากไม่มีคำสั่งของซ่งเวิน พวกเขาก็คงหยุดการติดตามนี้ไปแล้ว แต่ทว่าก็เป็นแม่ทัพนายหนึ่งที่ร้องสั่งออกมาว่า “เดินหน้าต่อไป ! ทัพหลังยิงธนู !”

ภายใต้คำสั่งนั้น พวกทหารก็ค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้งในขณะที่ยิงลูกศรออกไปด้วย ซึ่งก็ใช่ว่าหยวนยู่จะยอมยืนเฉยให้ถูกยิงง่าย ๆ เขาจับดาบในมือปัดป่ายไปมา ใช้มันขัดขวางลูกศรที่พุ่งเข้าใส่ ทั้งสองฝั่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว

โดนโจมตีฝ่ายเดียวแบบนี้ มีหรือที่หยวนยู่จะยอม ? เขาปล่อยคลื่นปราณอันแหลมคมโต้ตอบกลับไป จนรอบข้างอาบไปด้วยเลือดเนื้อของศัตรู จากนั้นก็กวัดแกว่งดาบในมือ พุ่งตรงเข้าไปในใจกลางของพวกมัน !

เปิงเฮาฉูไม่อาจปล่อยให้แม่ทัพของตนต่อสู้กับศัตรูเพียงผู้เดียวในขณะที่ตนนั้นถอยหนีไปได้ ดังนั้นหลังจากที่บอกทางหนีให้กับพวกทหารแล้ว เขาก็พลันกลับไปช่วยหยวนยู่ต่อ

ในขณะที่ทหารกองทัพเทียนหยวนกำลังล่าถอย กองทัพของซ่งเวินก็ยังคงติดตามมาไม่ห่าง

ทำให้ทั้ง 2 ฝั่งต่อสู้กันตลอดเส้นทางไปกวนหนาน จนกระทั่งซ่งเวินได้ตัดสินใจที่จะหยุดฆ่าล้างศัตรู และสั่งให้กองทัพทั้งหมดถอยกลับไปที่ค่าย

คำสั่งนี้ทำให้พวกทหารของเขาถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่ในที่สุดก็เป็นอิสระจากการไล่ล่านี้เสียที ด้วยมันคงเป็นการดีกว่าที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับหยวนยู่ผู้โหดเหี้ยมผู้นั้น

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรบในครั้งนี้ยังพอนับได้ว่าไม่หนักหนาเท่าไหร่ ฝ่ายกองทัพเทียนหยวนนั้นเสียทหารไปมากกว่า 5 พันนาย ส่วนทางกองทัพของซ่งเวินเอง เขาก็สูญเสียทหารไปกว่า 5 พันนายด้วยเช่นกัน เพียงแค่ว่าทหารส่วนใหญ่ที่ตายไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพราะฝีมือของหยวนยู่ !

ลึก ๆ แล้วหยวนยู่อยากจะฆ่าซ่งเวินให้ตาย แต่ก็ทำไม่ได้ เช่นเดียวกับซ่งเวินที่วางแผนจะฆ่าศัตรู หากทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ต้องปล่อยอีกฝ่ายให้ถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัย ทำให้ทั้งคู่ต่างล้มเหลวในเป้าหมายของตน

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในครั้งนี้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญให้กับทางฝั่งกองทัพเทียนหยวนไม่น้อย ทำให้พวกเขารู้ว่าซ่งเวินไม่ใช่คนขี้ขลาดอย่างที่คิด หากแต่เป็นหนุ่มรูปงามที่เก่งในด้านยุทธวิธีและกลยุทธ์ทางทหารเป็นอย่างมาก และแม้แต่เหลียงซิง อู่หยู หรือจี้หยางที่เคยพบหน้าอีกฝ่ายมาหลายปีก็ยังไม่ทราบในเรื่องนี้

เพราะหยวนยู่ไม่ได้ตัดสินใจที่จะซุ่มโจมตีกองทัพของซ่งเวินโดยตรง แต่เลือกที่จะลักลอบเข้าไปในพื้นที่อีกฝ่ายแทน ผลคือพวกเขาสูญเสียทหารไปกว่า 5 พันนาย และต้องกลับเมืองมาในสภาพซังกะตาย

ตอนนี้กองทัพเทียนหยวนได้ถอยออกมาจากค่ายในป่าทั้งหมด และมาตั้งค่ายอย่างเปิดเผยที่เมืองชางซุยแล้ว

เมื่อหยวนยู่และเปิงเฮาฉูมาถึงค่ายทหารหลัก พวกเขาก็เร่งรีบไปเข้าพบถังหยินเพื่อรายงานสถานการณ์ทันที

ทว่าชายหนุ่มนั้นทราบเรื่องทั้งหมดก่อนแล้ว และในขณะนี้เขาก็กำลังพูดคุยกับชิวเจิ้นข้างในเต็นท์ เรื่องที่ว่าจะจัดการต่อไปยังไงดี

เมื่อมองจากสถานการณ์การสู้รบโดยรวม ก็ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าซ่งเวินนั้นรับมือได้ยากกว่าที่คาดไว้ และสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือจำนวนทหารของฝ่ายตรงที่ถึงจะน้อยแต่ก็ดูจะเก่งกาจพวกนั้น

และในขณะที่ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น ทหารนายหนึ่งก็ได้เปิดเต็นท์ให้หยวนยู่และเปิงเฮาฉูเข้ามาข้างใน

แม้ว่าจะผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงมาก แต่ด้วยมีเกราะปราณช่วยป้อง จึงทำให้เสื้อผ้าของหยวนยู่นั้นยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะมีคราบเลือดติดอยู่บ้าง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม หากแต่ท่าทีของหยวนยู่นั้นก็ดูจะไม่ดีเท่าเสียไหร่ ซึ่งมันก็เป็นเพราะเขาใช้พลังปราณมากเกินไปจนสร้างภาระให้กับร่างกายนั่นเอง

“นายท่าน ! ข้ามาเพื่อรายงาน !” ทั้งสองคนคุกเข่าข้างหนึ่งและกล่าวทำความเคารพขณะที่โค้งคำนับ

ถังหยินอยู่ในท่าเดิม ก่อนกวาดสายตาไปมาระหว่างคน 2 คน และด้วยรอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก จึงทำให้ยากที่จะเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากที่ยืนจ้องมองพวกเขาอยู่นาน ถังหยินก็ถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

หยวนยู่และเปิงเฮาฉูมองหน้ากันอย่างสับสน พวกเขาไม่เข้าใจถึงคำถามที่จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาของถังหยินว่ามันหมายถึงอะไร

“ขอรับ ?”

“ข้าขอถามอีกครั้ง ผลลัพธ์จากการประมาทของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ?”

สีหน้าของถังหยินดูน่ากลัวขึ้น ทั้ง ๆ ที่มุมปากของเขายังคงปรากฏรอยยิ้มเดิมไว้อยู่ “แค่คิดแผนขึ้นมาได้ ก็นึกว่าเป็นแผนที่ดีแล้วหรือ พาทหารกว่า 5 พันนายไปตายในถิ่นศัตรู แล้วยังจะมีหน้ามารายงานผลอีกหรือ !”

ร่างกายของทั้งคู่สั่นเทา หยวนยู่เลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองแล้วกล่าวตอบ “นายท่าน แผนการรบในครั้งนี้เป็นแผนการของข้าเอง ไม่ใช่ความผิดของแม่ทัพเปิงแต่อย่างใด”

ถังหยินก้าวเดินมาตรงหน้าหยวนยู่โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบ ก่อนจะชี้ไปยังอีกฝ่ายที่คุกเข่าและพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้ากำลังพูดกับเจ้า ! ไม่ได้กล่าวถึงผู้ใดอื่นเลย !”

ถังหยินมักเก็บอารมณ์ไว้ ไม่แสดงออกทางสีหน้า มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาจะแสดงออกว่ามีความสุขหรือโกรธ และไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหน เขาก็มักจะมองปัญหาเป็นเรื่องเล็กน้อยได้เสมอ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ และต้นเหตุทั้งสองก็เป็นคนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตน งั้นแล้วมันก็นับเป็นความผิดของเขาด้วยเช่นกัน

“ตั้งแต่เจ้าขึ้นเป็นแม่ทัพ เจ้าก็ไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกแล้ว ไอ้การเอาทหารไปแค่ 3 พันนายเพื่อท้าทายกับค่ายของศัตรูแบบนี้ เจ้าได้คิดบ้างไหมผลจะเป็นยังไง ฝ่ายเราจะต้องเสียหายไปมากขนาดไหน แล้วหากเจ้าตายอยู่ภายในค่ายของศัตรูขึ้นมาเล่า !?”

ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ แต่ชายหนุ่มก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านั้น แม้ในใจจะอยากฟาดหน้าหยวนยู่จัง ๆ สักครั้งให้ได้สติก็ตาม

โชคดีแค่ไหนแล้วที่หยวนยู่รอดมาได้ ถ้าเกิดเขาตายอย่างไร้ความหมายในค่ายของศัตรูไป มันจะเท่ากับกองทัพเทียนหยวนขาดแขนไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว

หยวนยู่ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา ด้วยใบหน้าของเขาในขณะนี้แดงระเรื่อจากการถูกถังหยินตำหนิไปชุดใหญ่ แต่แม้จะเจ็บใจแต่เขาก็ไม่คิดจะโต้เถียงอะไรทั้งนั้น เพราะทุกคำที่ถังหยินพูดออกมามันแฝงไปด้วยความห่วงใยที่เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน !

ถังหยินมองไปยังหยวนยู่ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรแล้วหันไปทางทหารด้านซ้ายและขวา “ตามกฎแล้วผู้ที่ไม่ทำตามกฎทหารจะต้องโดนลงโทษเช่นไร ?”

หัวใจของทุกคนหล่นวูบ ถ้าพวกเขาไม่ทำตามคำสั่ง แน่นอนว่าโทษก็คือการประหาร แต่เขาจะสั่งประหารแม่ทัพใหญ่อย่างหยวนยู่ง่าย ๆ เช่นนั้นเลยหรือ ?

ทุกคนมองไปยังถังหยินที่ดูโกรธเกรี้ยวจนขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครกล้าตอบกลับ

ถังหยินเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่แต่ละคน “อะไรกัน ? พวกเจ้าไม่รู้กันเลยหรือไง ?”

ชายหนุ่มย่อมไม่คิดจะฆ่าหยวนยู่อยู่แล้ว หากแต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปเฉย ๆ เช่นกัน ดังนั้นถังหยินจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เราจะปฏิบัติตามกฎทหาร ! ใครก็ได้ลากหยวนยู่ออกไปแล้วทำโทษเขาสัก 30 ไม้ !!!”

“พรืด-!”

พอได้ยินกันแบบนั้นทุกคนแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษหยวนยู่ให้หนักอยู่แล้วจะถามหากฎทหารไปทำไมกัน บรรยากาศชวนให้น่าขนลุกขนาดนั้นแต่กลับโดนลงโทษเพียง 30 ไม้เท่านั้น ดูเหมือนว่าในตอนท้ายแล้วนี่จะเป็นเพียงแค่เรื่องตลก ! ทำให้ทุกคนมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วหัวเราะออกมา

เมื่อคำสั่งออกไปแล้ว ทหารยามข้างนอกก็ได้เดินเข้าไปในเต็นท์ทีละคน พวกเขามองหยวนยู่ที่คุกเข่าอยู่อย่างกระอักกระอ่วนก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำ “ต้องขออภัยด้วย ท่านแม่ทัพ !” ว่าแล้วก็ลากแขนนำตัวหยวนยู่ออกไป

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ถังหยินก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขารีบเดินไปที่ทางเข้าเต็นท์และพูดกับทหารยามที่กำลังเดินออกไปว่า “30 ไม้อาจจะมากไปก็ได้”

ทหารยามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะฟื้นคืนสติและพยักหน้า “รับทราบแล้วขอรับ !”

ช่วงเวลานี้คือช่วงที่ทั้ง 2 กองทัพจะต้องต่อสู้กันไม่เร็วก็ช้า ทำให้ถังหยินกังวลว่าหยวนยู่จะบาดเจ็บจนไม่สามารถออกรบในศึกครั้งต่อไป

ปกติเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องกฎเกณฑ์หรือระเบียบวินัยมากนัก ทำให้พอถึงเวลาต้องใช้จริง ๆ มันก็กลายเป็นเหมือนคำสั่งเด็กเล่น ซึ่งนี่ก็เป็นคำวิจารณ์ที่ถังหยินมักจะได้รับมาตลอด…