หลังจากจัดการเรื่องของหยวนยู่แล้ว ถังหยินก็กลับไปที่เต็นท์ใหญ่ก่อนจะหันมองไปที่เปิงเฮาฉูและถามว่า “แม่ทัพเปิง เจ้าคิดอย่างไรกับซ่งเวิน ?”

เปิงเฮาฉูพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กองทหารข้าศึกมีการป้องกันอย่างดี ทั้งยังถนัดในการตั้งค่ายที่ง่ายต่อการรุกและรับ”

ถังหยินนั้นคุ้นชินกับการใช้กำลังพล 2-3 พันนายต่อสู้กับกองกำลังขนาดเล็ก แต่เมื่อเป็นศึกที่ต้องใช้กำลังคนหลักแสน ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าเขาควรทำอย่างไร ดังนั้นหลังจากฟังการวิเคราะห์ของเปิงเฮาฉูแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วก่อนมองไปรอบ ๆ และถามว่า “ใครมีแผนการที่ดีในการเอาชนะศัตรูบ้าง ?”

แล้วก็เป็นชิวเจิ้นที่กล่าวว่า “นายท่าน ทัพของซ่งเวินจำเป็นต้องถูกทำลายโดยเร็ว เพราะหากเราล่าช้าออกไป อีกฝ่ายก็จะร่วมมือกับกองทัพหนิง ทำให้หลังจากนั้นการที่จะจัดการกับซ่งเวินยากขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก”

ถังหยินเข้าใจตรรกะนี้ แต่ปัญหาสำคัญในตอนนี้คือวิธีเอาชนะศัตรู

แม่ทัพทุกคนลดศีรษะลง ด้วยกำลังไตร่ตรอง หากแต่พวกเขาก็เงียบกันนานเกินไป ทำให้ถังหยินนึกโมโห ‘ทำไมพวกเขาถึงเงียบในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กัน ?’

ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “เนื่องจากพวกเจ้าไม่มีแผนการที่ดี งั้นข้าก็ขอเสนอให้พวกเราลักลอบเข้าไปในค่ายศัตรูเพื่อหาโอกาสฆ่าซ่งเวิน !

เมื่อได้ยินแบบนี้ทุกคนก็ส่ายหัว ก่อนเป็นเปิงเฮาฉูที่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ท่านถัง ฝั่งนั่นมีแม่ทัพและทหารองครักษ์มากมายที่เก่งกาจอยู่ข้าง ๆ ทำให้แม้แต่ท่านหยวนยู่ก็ไม่สามารถ….” เขายังพูดไม่จบประโยค หากแต่ความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าถ้าหากหยวนยู่ไม่สามารถเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ งั้นแล้วก็คงไม่ต้องพูดถึงถังหยิน !

ชายหนุ่มเคยใช้ร่างเงาลอบสังหารซ่งเทียนมาก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายคงเตรียมหาทางรับมือมาแล้ว ไม่อาจใช้แผนเดิมซ้ำได้อีก… “ถ้าไม่ใช่แผนนี้ งั้นแล้วเจ้าก็บอกข้ามาว่ามีแผนไหนที่ดีกว่า !”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เปิงเฮาฉูก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ถ้าศัตรูรั้งเราเอาไว้ เราก็จะล่อเสือออกจากถ้ำของมัน แต่ถ้าศัตรูไม่ขยับ เราก็จะตัดเสบียงอาหารของพวกมันแล้วเข้าปิดล้อมจนกว่าคนพวกนั้นจะอดตายหรืออ่อนแรง ! หากแต่การทำเช่นนั้นก็เสี่ยงกับการโดนกำลังทหารจากแคว้น 4 แสนนายเข้าล้อมด้านหลัง จนกลายเป็นว่าทัพซ่งเวินอยู่หน้า ทัพหนิงอยู่หลัง ปิดทางหนีของพวกเราจนสิ้น !”

“นั่นก็ถูก !” ถังหยินพยักหน้า ก่อนจะตอบพึมพำกลับไป “ถ้าเราคิดโจมตีซ่งเวิน งั้นแล้วก็ต้องคิดหาวิธีถ่วงเวลาพวกกองทัพหนิงเอาไว้” ในขณะที่เขาพูด ดวงตาของชายหนุ่มก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนหยุดลงที่ร่างของแม่ทัพนายหนึ่งและหันกลับมามองดูแผนที่

จากนั้นก็เป็นเหลียงฉีที่หันมองซ้ายขวาของตน ซึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครกำลังพูดอยู่ เขาก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ามีความคิดบางอย่าง ที่น่าจะพอถ่วงเวลากองทัพหนิงเอาไว้ได้ !”

“หื๊ม ?” จิตใจของถังหยินสั่นคลอน เขาหันกลับไปมองเหลียงฉีทันทีและถามว่า “ยังไงกัน ?”

“ตามข่าวกรองของเรา กองทัพหนิงเพิ่งเข้ามาในจิงกวน ดังนั้นหากพวกมันต้องการจะไปสมทบพบกับกลุ่มของซ่งเวิน งั้นแล้วคนพวกนั้นก็จะต้องผ่านเมืองจินฮั๋ว ถ้าไม่เช่นนั้นพวกมันก็จะต้องใช้ทางอ้อมซึ่งจะทำให้ล่าช้าเป็นเวลานาน”

“และเพื่อถ่วงเวลา งั้นแล้วท่านก็จำต้องทำการส่งกองทัพไปยึดเมืองจินฮั๋วก่อน ซึ่งด้วยวิธีนี้ มันก็จะทำให้ความเร็วของกองทัพหนิงลดลงอย่างมาก จนนายท่านสามารถต่อสู้กับซ่งเวินได้อย่างง่ายดาย ! ” เหลียงฉีกล่าว

เปิงเฮาฉูครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วจึงส่ายหัวก่อนพูดว่า “มันอาจจะไม่ง่ายแบบนั้น ! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกหนิงไม่บุกเข้ามาหลังจากยึดเมืองจินฮั๋ว แต่เลือกที่จะเข้าล้อมและโจมตีแทน ? ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราจะไม่ต้องติดอยู่ในเมืองงั้นหรือ ? ”

เหลียงฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างแผ่วเบากลับไปว่า “การเสียสละส่วนน้อยเพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่ใหญ่กว่าถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ถูกที่ควร และถ้าพวกหนิงเลือกที่จะเข้าล้อมจริง ๆ งั้นแล้วทางเลือกเดียวของเราก็คือการยื้อให้ได้นานที่สุด เพื่อรอจนกว่ากองกำลังหลังของเรากำจัดซ่งเวินแล้วย้อนกลับมาช่วย ”

เปิงเฮาฉูส่ายหัวปฏิเสธอย่างสุดตัว ด้วยหากกองทัพของหนิงเอ๋อเข้าโจมตีเมือง คนพวกนั้นก็จะไม่ยอมถอยง่าย ๆ แน่ และหากต้องรอจนกว่ากองทัพของซ่งเวินถูกทำลาย งั้นมันจะต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน แล้วพวกเราจะต้านไหวงั้นหรือ ? เขาพูดแผ่วเบา “ครั้งนี้มันเสี่ยงเกินไป !”

เมื่อฟังการสนทนาของพวกเขา ถังหยินก็แตะที่หน้าผากของตนในขณะที่ครุ่นคิดว่าแผนของเหลียงฉีนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งก็เป็นอย่างที่เปิงเฮาฉูว่า นี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป เขาจะส่งไปได้ซักกี่คนเชียว ?

แม้แต่ถังหยินผู้ชอบเสี่ยงก็รู้สึกหนักใจในเวลานี้ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไร ก่อนที่จะมีคนตะโกนว่า “ท่านแม่ทัพถัง ข้าคิดว่าแผนการของแม่ทัพเหลียงเป็นไปได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ยินดีที่จะนำพี่น้อง 2 หมื่นนายไปหยุดพวกหนิงเอง !”

ถังหยินและคนรอบข้างพากันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบเข้ากับหยวนยู่ที่เพิ่งเดินเข้ามา

เมื่อมองไปที่หยวนยู่ ถังหยินก็เงียบลง

ทำให้หยวนยู่ที่ดูกระวนกระวายพูดอย่างร้อนรน “ท่านต้องมอบกองกำลัง 2 หมื่นนายแก่ข้า เพราะมีแต่ข้าเท่านั้นที่จะสามารถป้องกันเมืองจินฮั๋วได้ !”

ถังหยินดูกังวลไม่น้อย แต่เมื่อเห็นหยวนยู่ที่ก้มศีรษะลง เขาก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะก่อนพูดว่า “แผนนี้ถ้าจัดการอย่างถูกต้อง โอกาสสำเร็จจะมีมากถึง 90% หากแต่เจ้าต้องมีคนร่วมมือด้วย !”

“ใครเล่า ?” หยวนยู่ถาม

“ข้าไง !” ถังหยินชี้ไปที่ตัวเองและตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ห๊ะ ??” ทุกคนต่างตกใจกับคำพูดที่ไม่ได้ตั้งตัว ด้วยไม่มีใครคาดคิดว่าถังหยินจะเอาตัวเองไปเสี่ยง ซึ่งคนแรกที่ไม่เห็นด้วยอย่างแรงเลยก็คือชิวเจิ้น หากแต่เด็กหนุ่มก็เข้าใจความคิดของถังหยินเป็นอย่างดี ทั้งยังรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับเขา ดังนั้นจึงต้องหาเหตุผลอื่นที่จะหยุดอีกฝ่าย

ชิวเจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ “นายท่านขอรับ ท่านเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ทั้งยังเป็นตัวแทนที่ทำให้ทั้งกองทัพมีขวัญกำลังใจ จนช่วยเพิ่มโอกาสในการกำจัดซ่งเวิน ! ก่อนที่จะไปทำการสนับสนุนที่เมืองจินฮั๋วต่อ”

“แต่ถ้าท่านเลือกที่จะไปจินฮั๋ว งั้นแล้วจิตวิญญาณการต่อสู้ของกองทัพหลักก็จะอ่อนแอลง จนทำให้ระยะเวลาการต่อสู้ขยายออกไป ซึ่งอาจทำให้พวกเราเสียเปรียบได้”

หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

อย่างไรก็ตาม หยวนยู่ชอบที่จะได้ต่อสู้ร่วมกับถังหยิน ดังนั้นเขาจึงหวังว่าจะได้ร่วมเดินทางไปกับชายหนุ่ม ทำให้เมื่อเห็นคนอื่น ๆ ไม่สนับสนุนความคิดดังกล่าว เขาก็พลันบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ “ข้าคิดว่านายท่านควรไปด้วย และถ้าพวกเจ้าไม่พูดซะอย่าง งั้นแล้วคนพวกนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่านายท่านอยู่ไหน ?”

หยวนยู่เป็นชายผู้กล้าหาญและดุดันในการต่อสู้ เขาจึงนับเป็นหนึ่งในส่วนที่ขาดไปไม่ได้ในกองทัพ ซึ่งถังหยินก็เข้าข้างหยวนยู่และผ่อนปรนเขาเสมอ ทำให้ตระกูลฉางกวงทรงอำนาจ ด้วยทั้ง 4 พี่น้องต่างก็ดำรงตำแหน่งที่สำคัญกันทุกคน

หลังจากได้ยินที่หยวนยู่พูด เขาก็หัวเราะออกมาดัง ๆ ก่อนมองไปที่ผู้คนและพูดว่า “พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ หยวนหยูได้พูดทุกอย่างที่ข้าอยากจะพูดไปแล้ว ส่วนพวกเจ้าเล่า มีความคิดเห็นอะไรอีกบ้าง ?”

ดูเหมือนว่าถังหยินตั้งใจที่จะไปที่เมืองจินฮั๋ว ทำให้ทุกคนต่างมองหน้ากันและไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนเป็นชิวเจิ้นที่ขมวดคิ้วและถาม “นายท่านมีแผนจะนำทหารไปด้วยกี่นายขอรับ ?”

ถังหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวว่า “ก็คงแค่ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น เพื่อไม่ให้กองทัพหลักเสียเปรียบซ่งเวินมากเกินไป”

เนื่องจากเขาไม่สามารถหยุดมันได้ เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่ทำตามคำแนะนำของถังหยิน ชิวเจิ้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าจำนวน 5 หมื่นนายน่าจะเหมาะสม ซึ่งคนจำนวนนี้ต้องไม่ใช่พวกธรรมดา พวกเราจะต้องคัดยอดฝีมือมาจากทั่วทั้งกองทัพ !”

“ไม่จำเป็น” ถังหยินปฏิเสธ “เอาแค่พี่น้อง 5 หมื่นคนจากกองทัพใต้บังคับบัญชาของข้าโดยตรงก็พอแล้ว”

“นายท่านขอรับ ?”

ถังหยินขัดจังหวะชิวเจิ้นและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การปกป้องเป็นการแข่งขันของพลังใจมากกว่าความเก่งกาจ และกองทัพของข้าก็อยู่เคียงข้างข้ามาตลอด ทำให้ข้าคุ้นเคยกับพวกเขามากกว่า”

“นายท่าน !” ในฐานะแม่ทัพผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรง กู่เยว่ก็ได้เดินออกมาโค้งคำนับก่อนกล่าวว่า “ข้าจะติดตามท่านไปด้วย !”

ถังหยินพึมพำกับตัวเองสักครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ไม่จำเป็น เจ้าอยู่ที่นี่คอยสั่งการพวกคนที่เหลือ”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและไม่ยอมให้ใครปฏิเสธ ทำให้กู่เยว่ได้แต่กัดริมฝีปากของเขาและถอยกลับไป

ชิวเจินถามอีกครั้ง “แล้ว… ในช่วงเวลาที่นายท่านไม่อยู่ ใครจะคอยควบคุมกองทัพล่ะขอรับ ?”

ถังหยินหัวเราะและพูดว่า “แน่นอนว่าเป็นเจ้าไง อย่างไรก็ตามเจ้าก็ต้องคุยกับแม่ทัพเสี่ยว แม่ทัพเหลียงแล้วก็แม่ทัพเปิงเกี่ยวกับแผนการเสียก่อน ซึ่งถ้าทั้ง 3 คนเห็นด้วย งั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงเป็นพิเศษหรอก”

เห็นได้ชัดว่าชิวเจิ้นรู้ว่าตนเก่งอะไรและไม่เก่งอะไร ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงยอมรับคำอย่างว่าง่าย “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้เข้าใจแล้ว”

“ดีมาก !” ถังหยินพยักหน้าจากนั้นก็ยืดเอวของเขาและพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พรุ่งนี้เช้ากองทัพของเราจะเข้าล้อมค่ายของซ่งเวิน ในเวลาเดียวกันหยวนยู่และข้าจะนำกำลังจำนวน 5 หมื่นนายตรงไปยังเมืองจินฮั๋ว เจ้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ทั้งยังต้องส่งสายลับของเราออกไปเพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองจินฮั๋วมาให้ข้าในทันที !”

“รับทราบขอรับ นายท่าน !!” ทุกคนก้มหน้ารับคำสั่ง