ตอนที่ 195 ตัวถ่วงกลุ่มในตำนาน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

หลิวเชียนฮ่วนควงคทาขนนก ก้าวเข้าไปในประตูสีน้ำเงินอย่างอาจหาญ

อันหลินมองร่างของหลิวเชียนฮ่วนด้วยความคาดหวัง นางอยู่ในระดับกึ่งแปลงจิตแล้ว หากเดินได้หกสิบกว่าก้าว เช่นนั้นเขาแค่เดินได้เยอะกว่าหงโต้วเพียงเล็กน้อย จะสามารถคว้าที่หนึ่งของการประลองได้

หลิวเชียนฮ่วนเข้าสู่หนทางแห่งความลุ่มหลง นางตะลึงกับทัศนียภาพอันงดงามของที่นี่ทันที “คุณพระ ดวงดาวเหล่านี้เป็นของจริงหรือ!”

ขณะที่พูด นางปล่อยลำแสงสุดท้ายใส่ท้องฟ้าไปทีหนึ่ง

พลังงานสีขาวพุ่งตรงไปหาท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาว ประดุจกระบี่คมที่ฉีกทึ้งรัตติกาล

*ตูม!*พลังงานระเบิด เกิดริ้วคลื่นไร้รูปร่างชั้นหนึ่งที่ทะเลดวงดาวบนท้องฟ้า แผ่กระจายปานลูกคลื่น

มุมปากของรองผู้อำนวยการอวี้หัวกระตุก ส่งกระแสจิตทันใดว่า “นักเรียนหลิวช่วยจริงจังกับการทดสอบด้วย อย่าทำลายของสาธารณะ!”

หลิวเชียนฮ่วนสะดุ้งตกใจกับเสียงที่โผล่มากะทันหัน จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาอย่างขี้เล่น เริ่มก้าวไปข้างหน้า

ยิ่งเดินบนทางเดินหินมากเท่าใด อุปสรรคก็ยิ่งมาก หนทางข้างหน้าตัวแทนจากแต่ละกลุ่มล้วนเดินด้วยสายตาที่เรียบเฉย ผู้ชมในจัตุรัสคิดว่าไม่มีอะไรน่าดู ต่างก็พูดคุยสัพเพเหระกันขึ้นมา

“นี่ พวกเจ้ารีบดูหน้าจอสิ เหมือนศิษย์พี่หลิวจะลำบากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ”

“นี่มันเหลวไหลไม่ใช่หรือ ยิ่งเดินจะยิ่งสบายหรือไง”

“ประเด็นคือตอนนี้นางเพิ่งเดินได้สิบกว่าก้าว คล้ายว่าจะเดินไม่ไหวแล้ว!”

“ไม่หรอกกระมัง…”

นักเรียนบางส่วนที่ไม่ได้สนใจหน้าจอผลึกหินพากันเบนสายตามองท้องนภาเหนือสังเวียนประลอง

บนเส้นทางแห่งความลุ่มหลง หลิวเชียนฮ่วนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าดูทุรนทุราย

“อ๊าก…เกมนี้ก็สนุกมาก เกมนั้นข้าก็จะเล่น ห้ามลบนะ ฮือๆ ๆ…”

ร่างอรชรของหลิวเชียนฮ่วนเดินโซเซไปข้างหน้า

“อะไรกัน…ไม่ได้ริบมือถือหรือ”

ดวงตาสีม่วงที่งดงามดั่งดวงดาราของนางสูญเสียสีสันทั้งหมดโดยพลัน สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุเป็นความเวิ้งว้างอันไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรให้เล่น

นางงงไปหมดแล้ว จากนั้นน้ำตาก็ทะลัก ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม

ห้านาทีต่อมา

หลิวเชียนฮ่วนกลับมาแล้ว ทุกอย่างเงียบสงัด

“ฮือ…อันหลิน แดนพิศวงแห่งนี้โหดร้ายเหลือเกิน! ข้างในไม่มีอะไรเลย อ้างว้างนัก ไม่สนุกเลย ปลอบข้าที…” นางใช้มือเรียวยาวของนางเช็ดน้ำตาพลางระบายความทุกข์กับอันหลิน

อันหลินยืนงงอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ

“หลิวเชียนฮ่วน สิบหกก้าว หนึ่งจุดหกคะแนน!” รองผู้อำนวยการอวี้หัวอดกลั้นต่ออารมณ์โทสะ ประกาศคะแนนของหลิวเชียนฮ่วนออกมา น่าขายหน้าจริงๆ!

เหล่าเบื้องบนของสำนักก็เบือนหน้าหนี ทนมองไม่ได้

นักเรียนหลายหมื่นชีวิตในจัตุรัสต่างก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

สิบหกก้าวหรือ น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ส่วนหวังเสวียนจ้านรู้สึกหายใจติดขัด ใบหน้าแดงก่ำ มีความรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างยากเย็นถูกสุนัขคาบไปกินแล้ว

“พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวถ่วงกลุ่มใช่ไหม” หลิวเชียนฮ่วนมองสองคนตรงหน้า พูดเสียงสะอึกสะอื้น

ตัวถ่วงของกลุ่มหรือ

อันหลินได้สติ เขากังวลมาตลอดว่าตนจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่มสรวงสวรรค์ เป็นคนที่ทำเรื่องอับอายขายหน้าบนเวที

เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว หลิวเชียนฮ่วนแย่งตำแหน่งของเขาไปแล้วนี่นา!

นางเป็นที่โหล่ของการประลองวรยุทธ์ ตอนนี้แม้แต่การประลองจิตใจนางก็รั้งท้ายเช่นกัน…

หลิวเชียนฮ่วนร่ำไห้เหมือนสาลี่ต้องหยาดน้ำฝน เช็ดน้ำตาไม่หยุด

หากจะบอกว่านางไม่รู้สึกผิดนั้นเป็นไปไม่ได้ นางก็อยากจะสร้างชื่อให้กับสาวน้อยนักเวทต่อหน้าผู้ชมหลายหมื่นชีวิต ต่อหน้าอิทธิพลทั้งสี่เหมือนกัน

แต่จนใจเมื่อพยายามแล้ว กลับเป็นผลลัพธ์ที่น่าอนาถใจเช่นนี้

“ศิษย์พี่หลิว ทำใจดีๆ ไว้ เราจะชนะได้แน่!”

อันหลินไม่ได้พูดคำว่า ‘ใช่แล้ว เจ้านี่แหละตัวถ่วงกลุ่ม’ ที่คิดในใจออกมา แต่พูดปลอบประโลมเสียงอ่อนโยนแทน

หลิวเชียนฮ่วนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่คุ้นเคย

นางเงยหน้าขึ้น พบว่าอันหลินกำลังมองตนอย่างให้กำลังใจ ไม่ขุ่นเคืองแม้แต่นิด จึงอดซาบซึ้งใจไม่ได้ “อันหลิน…เจ้าไม่โทษข้าหรือ”

อันหลินยื่นนิ้วออกไปแล้วดีดหน้าผากขาวผ่องของหญิงสาว

“โอ๊ย! เจ้าทำอะไรน่ะ” หลิวเชียนฮ่วนกุมหน้าผาก ใบหน้าเพริศพริ้งแดงเรื่อ มองอันหลินพลางบ่นเสียงขุ่น

“เดือดร้อนเพื่อน ยังหวังว่าเพื่อนจะไม่โทษตัวเองอีก เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้วกระมัง” อันหลินขำเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “แต่ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้าพลิกเกมเอง!”

พูดจบเขาก็ตรงไปยังประตูสีน้ำเงิน

หลิวเชียนฮ่วนเม้มปากอ่อนนุ่มเล็กน้อย จ้องแผ่นหลังที่ก้าวเข้าไปในประตูมิติอย่างเหม่อลอย

หวังเสวียนจ้านก็เงยหน้ามองอันหลิน จุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน

เขารู้ว่าอันหลินเป็นคนที่สร้างปาฏิหาริย์ได้ หากว่าระเบิดพลัง ไม่แน่อาจจะเปลี่ยนแปลงจุดจบได้ หากเป็นเช่นนี้ ความพยายามของเขาจึงจะไม่ถือว่าสูญเปล่า

นักเรียนในจัตุรัสก็รู้เรื่องนี้ดี ล้วนจับจ้องอันหลินด้วยความคาดหวัง

แม้แต่เหล่ายอดฝีมือของสี่อิทธิพลก็ใจจดใจจ่อขึ้นมาเหมือนกัน

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพลังที่เหนือธรรมชาติของอันหลิน ไม่อาจใช้ได้ตามใจชอบ

แต่หมัดปรมาณูอัสนีกลับพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นประจักษ์เป็นอย่างดีว่า ต่อให้อันหลินจะอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ แต่ก็ยังคว้าผลคะแนนที่เหนือความคาดหมายได้เช่นเดิม!

อันหลินเดินเข้าไปในประตูสีน้ำเงิน หลังโลกหมุนชั่วครู่แล้ว ก็ปรากฏตัวใต้ท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาว

รอบตัวเงียบสงบ แสงดาวสาดส่องในความมืดมิด ดวงดาราล้นเหลือรวมกันเป็นจักรวาล กะพริบสีสันดุจห้วงความฝัน

ผิวน้ำสะท้อนแสงดาว หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่งดงามตระการตา

อันหลินจมดิ่งอยู่ในผืนฟ้าที่ดวงดาวพร่างพราว นานโขกว่าจะได้สติกลับมา

ทิวทัศน์ที่งดงามแบบนี้…

เขาหยิบมือถือออกจากแหวนมิติ ยกขึ้นถ่ายภาพดวงดาวเหล่านี้ไปหลายใบ จากนั้นก็เซลฟี่อีกหลายใบ

กล้องคู่ยี่สิบล้านพิกเซล ส่องความงามในตัวคุณ!

หวังเสวียนจ้าน “…”

ผู้ชมที่ดูหน้าจอผลึกหิน “…”

หลิวเชียนฮ่วนร้องโอ๊ะ ตบหัวตัวเองเบาๆ นึกเสียใจเล็กน้อยที่ตนลืมถ่ายรูปไปเสียสนิท

เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว อันหลินก็เก็บมือถือใส่แหวนมิติ ก้าวไปข้างหน้าอย่างพออกพอใจ

เพิ่งเริ่มต้นน่าจะเดินได้ค่อนข้างง่าย เขาจึงไม่วิตกกังวลมากนัก

บนทางเดินหิน เพิ่งก้าวเท้าออกไปได้แค่ก้าวเดียว จู่ๆ ฟ้าดินก็เริ่มสั่นสะเทือน วิสัยทัศน์แปรเปลี่ยน

ความน่ากลัวมหาศาลเริ่มจู่โจมไปทั่วร่าง

อันหลินหวาดหวั่นพรั่นพรึง ไม่เข้าใจว่านี่เป็นภาพลวงตาอะไรกันแน่

แค่ก้าวแรกก็สุดยอดขนาดนี้แล้ว ข้างหลังจะทำอย่างไร!

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดอันล้นหลามก็กัดกินร่างกายของเขา ราวกับจะฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ

ไม่อาจบรรยายได้ว่ามันเป็นความเจ็บปวดแบบไหน มันเหนือกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย จิตและวิญญาณแล้ว

อ๊าก! เขาอยากจะแผดร้องดังๆ แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออกเลย

มีเสียงจู่โจมสมองของเขา

“ทุ่มเทสุดความสามารถ ช่วงชิงพลังของฟ้าดิน…”

ร่างของอันหลินถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ พูดให้ถูกก็คือ การมีอยู่ของเขาถูกทำลายย่อยยับ…

ในจัตุรัสฟ้าคราม ทุกคนจ้องอันหลินภายในหน้าจออึ้งๆ

“ทำไมศิษย์พี่อันหลินไม่ขยับล่ะ”

“หรือจะถูกพันธนาการแล้ว”

“พูดเป็นเล่นไป เพิ่งก้าวเดียว เลือกสักคนในจัตุรัสส่งๆ ก็ไม่มีปัญหา ถ้าเทพอันถูกพันธนาการ ข้ากินขี้ตรงนี้เลย!”

“แล้วทำไมเขาถึงหยุดอยู่ตรงนั้นล่ะ”

“…”

ไม่มีใครรู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร พวกเขาเพียงแค่จดจ้องบุคคลบนหน้าจอเงียบๆ ด้วยอาการงุนงง

ห้านาทีต่อมา

แสงสว่างวาบ อันหลินกลับมายังสังเวียนประลองอีกครั้ง

เขาหลุดออกจากภาพลวงตา ทรุดตัวล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง หายใจหอบหนัก สมองขาวโพลน เห็นได้ชัดว่าผ่านการต่อสู้กับความคิด ยังสงบสติอารมณ์ไม่ได้

เงียบ ทุกอย่างเงียบสงัด

ผู้ชมหลายหมื่นชีวิตรักษาความเงียบโดยมิได้นัดหมาย ที่นี่เงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก

ใช่แล้ว พวกเขาตะลึงงันกันหมดแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน หรือยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่าของแต่ละอิทธิพล ต่างก็เหม่อมองชายหนุ่มที่หายใจหอบคนนั้น

ทุกคน “…”

หลิวเชียนฮ่วน “…”

ประโยคที่น่าฟังอย่าง ‘ข้าจะพาเจ้าพลิกเกม’ ยังดังก้องอยู่ในหัว

แต่ทว่า ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว

หากนางเป็นพวกขี้โกงในเกม เช่นนั้นอันหลินก็คือพวกใช้โปรแกรมโกง…

“อันหลิน หนึ่งก้าว ศูนย์จุดหนึ่งคะแนน!”

เซียนพสุธาอวี้หัวประกาศผลคะแนนด้วยสีหน้าโมโห เสียงดังก้องไปทั่วจัตุรัส มันไม่ใช่แค่เรื่องอับอายขายหน้าแล้ว นี่…นี่มันปาขี้ใส่หน้าชัดๆ!

เมื่อหวังเสวียนจ้านได้ยินผลคะแนนก็หน้ามืด เกือบจะเป็นลมเสียแล้ว

เขาพยายามคว้าที่หนึ่งขนาดนี้เพื่ออะไรกัน

เพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมกลุ่มกดดันมากเกินไป คว้าอันดับหนึ่งมาได้อย่างง่ายดาย

ผลปรากฏว่า เขาคว้าอันดับหนึ่งของการประลอง แต่เพื่อนร่วมกลุ่มกลับได้หนึ่งจุดหกคะแนนคนหนึ่ง อีกคนได้ศูนย์จุดหนึ่งคะแนน…

ชายชาตรีอย่างหวังเสวียนจ้าน บัดนี้น้ำตาคลอหน่วย ริมฝีปากสั่นระริก นานกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “ตัว…ตัวถ่วงกลุ่ม!”