“เสี่ยวเชี่ยนเมื่อกี้เธอโทรหาผู้ปกครองของเด็กผู้หญิงคนนั้นเหรอ อาการเป็นไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หลิวไม่อ้อมค้อม
“อาจารย์คงไม่ได้…ฟังรายการหนูทุกวันใช่ไหมคะ?” เสี่ยวเชี่ยนตกใจนิดหน่อย นี่มันตั้งกี่โมงแล้ว ถ้าอาจารย์ไม่ได้นั่งเฝ้าวิทยุอยู่แล้วจะรู้ได้ไง?
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง! เร็วๆ!” ศาสตราจารย์หลิวเป็นผู้เชี่ยวชาญฟังดูย่อมรู้ว่าเรื่องนี้แปลกๆ ไม่มีเวลามาสนใจภาพลักษณ์เย็นชาของตัวเอง และก็ไม่สนใจที่การโทรมาครั้งนี้จะทำให้ความแตกว่าเธอฟังรายการของศิษย์รักทุกวัน รีบถามทันที!
“อาการไม่ดีเท่าไรค่ะ เรื่องเป็นอย่างนี้นะคะ…” เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาหนึ่งนาทีอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างคร่าวๆ
ศาสตราจารย์หลิวแค่ฟังดูก็รู้ว่าเกิดเรื่อง คิ้วหมวดเข้าหากัน
“หนูกำลังจะโทรถามอาจารย์อยู่พอดี—-” เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันจะพูดจบศาสตราจารย์หลิวก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยวฉันจะโทรหาคนรู้จักดูว่ามีโรงพยาบาลไหนรับคนไข้ฉุกเฉินอาการแบบนี้ไป เธอเปิดเครื่องไว้นะ เดี๋ยวฉันไปกับเธอ”
สมกับเป็นศิษย์อาจารย์ เข้าขากันได้ดี
เสี่ยวเชี่ยนวางสาย มองดวงดาวที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าอย่างเงียบๆ มีดาวตกพาดผ่าน เธอกำลังนึกถึงเด็กผู้หญิงที่ชื่อเวยเวยคนนั้น
ฟังจากน้ำเสียงน่าจะอายุพอๆกับเสี่ยวเหวย ชื่อก็คล้ายกันด้วย
โรคย้ำคิดย้ำทำของเธออาการดีขึ้นเยอะมากแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาเธอเจอเรื่องแบบนี้มักจะลังเลว่าจะเข้าไปยุ่งดีหรือไม่ ไปยุ่งเรื่องชาวบ้านทีไรมักจะขัดกับภาพลักษณ์คนเลวที่เธอสร้างไว้ พอมันขัดกันโรคย้ำคิดย้ำทำของเธอก็จะกำเริบ
แต่ตอนนี้ไม่แล้ว
เธอเริ่มหาวิธีที่จะอยู่กับโรคย้ำคิดย้ำทำอย่างสันติได้ ก็เหมือนกับที่อวี๋หมิงหลางพูด เธอเป็นผู้หญิงร้ายที่จิตใจดี
เสี่ยวเชี่ยนพอใจกับนิยามที่เขาตั้งให้เธอมาก
เมื่อก่อนเธอเลือกใช้วิธีที่สุดโต่งเพื่อแก้แค้นให้กับลูกสาว เธอทำได้แค่บอกกับตัวเองว่าเธอเป็นคนเลวถึงได้ทำเรื่องแบบนั้น เวลาที่เธออยากใช้หัวใจของคนเป็นหมอรักษาคนอื่นก็จะรู้สึกเหมือนกำลังล้างสมองตัวเอง รู้สึกว่าความทุกข์ทำให้โรคย้ำคิดย้ำทำกำเริบ
อวี๋หมิงหลางผู้ชายที่เหมือนหมาฮัสกี้ได้นำพาพลังบวกมาให้เธอ ใช้ความบ้าของเขามาทำให้เธอค้นพบจุดสมดุลของตัวเอง
ในที่สุดเธอก็ไม่ต้องลังเลว่าตัวเองเป็นคนดีหรือคนเลวอีกต่อไป
ในด้านการงานต้องเป็นหมอที่ดี แต่ในด้านการใช้ชีวิตเธอไม่ปฏิเสธที่จะเป็นคนเลว
การช่วยเวยเวยที่เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงกับการที่เธอใช้แผนเก็บคนอย่างหลุ่ยเสี่ยวฉาไม่ได้ขัดแย้งกันเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างที่รออาจารย์โทรมาเสี่ยวเชี่ยนหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมา ขึ้นหน้าใหม่แล้วเขียนลงไปว่า ‘หัวใจเป็นหวัด โรคซึมเศร้า อันตราการเกิดโรค 11% อัตราการฆ่าตัวตายของผู้ป่วย—’
เสี่ยวเชี่ยนชะงัก แล้วเขียนตัวเลขอย่างจนใจ
15% หรืออาจจะมากกว่านั้น
หลายคนคิดว่านี่เป็นโรค ‘ยอดนิยม’ บางคนอารมณ์ย่ำแย่ก็คิดว่าตัวเองป่วย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีคนโทรมาร้องไห้คร่ำครวญบอกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าคนนั้น อันที่จริงคนพวกนี้ไม่ได้เข้าใจหรอกว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่แท้จริงทุกข์แค่ไหน
สภาพอารมณ์เป็นแค่อาการซึมเศร้าอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่โรคซึมเศร้า ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างโดยแก่นแท้
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่อาการระดับกลางไปถึงหนักเหมือนเวยเวยจะไม่ยอมบอกคนอื่นว่าตัวเองโศกเศร้า ถึงขนาดที่ปิดบังความรู้สึกตัวเองด้วยซ้ำ แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร พยายามใช้ชีวิตให้เข้ากับสังคม แต่เรื่องที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ป่วยเหล่านี้จะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการทำให้สำเร็จ
นานวันเข้าก็จะรู้สึกว่าโลกเคลื่อนไหวช้าลง นอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร หมดความสนใจในทุกสิ่ง มองไม่เห็นช่องทางแห่งความสุข พวกเขาเริ่มเกลียดตัวเอง ความเอาใจใส่ของครอบครัวก็จะกลายเป็นเหตุผลที่พวกเขาเกลียดตัวเอง ทำไมถึงเข้ากับคนอื่นไม่ได้ล่ะ?
การนอนลงยังเป็นทุกข์มากกว่าการยืน ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะนอนตลอดไป ไม่อยากลืมตาขึ้นมาอีก…
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า อาจารย์ก็โทรมาพอดี
“อยู่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลกลาง เด็กคนนั้นชื่อเย่เสี่ยวเวย”
เย่เสี่ยวเวย?
เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ เป็นอะไรกับเย่เสียวอวี่?
ไม่มีเวลาให้เธอคิดมาก เสี่ยวเชี่ยนรีบขับรถไปทันที แทบจะถึงเวลาใกล้เคียงกับศาสตราจารย์หลิว
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยกัน
“ฉันถามเพื่อนที่ทำงานในโรงพยาบาลแล้วนะ เด็กคนนี้กินยานอนหลับเข้าไปจำนวนมาก ถ้ามาช้ากว่านี้ก็คงยื้อชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
ศาสตราจารย์หลิวมองสีหน้าเคร่งเครียดของเสี่ยวเชี่ยน กลัวเสี่ยวเชี่ยนจะเสียใจจึงตบมือเธอเบาๆ “เธอทำดีแล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่ได้เธอจัดการเด็กคนนี้คงไม่รอด”
สำหรับหมอคนหนึ่ง สิ่งที่ทนไม่ได้มากที่สุดก็คือคนไข้ตายไปต่อหน้าต่อตา
หากหมอไร้ซึ่งจิตใจเมตตาก็ยากที่จะช่วยคนจากความทุกข์ที่เจ็บป่วย โดยเฉพาะจิตแพทย์ ความเมตตาเป็นสิ่งจำเป็นมากในการรักษาโรคใจของผู้ป่วย
ตอนแรกศาสตราจารย์หลิวกลัวว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเกิดความรู้สึกแบบนั้น เสี่ยวเชี่ยนมักจะแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองเป็นคนเยือกเย็นมากเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่ได้เห็นผลงานเสี่ยวเชี่ยนรักษาคนไข้ เธอก็เลิกวิตกกังวลในเรื่องนั้น
เสี่ยวเชี่ยนสามารถสลัดความเหนื่อยล้าทิ้งแล้วมาหาคนแปลกหน้าตอนกลางคืนดึกดื่นแบบนี้ได้ เพียงเพราะผู้ป่วยคนนี้โทรไปหาแค่ครั้งเดียว เพียงเพราะเสี่ยวเชี่ยนฟังออกว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อเวยเวยคนนี้โทรเข้ามาในรายการด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น ดังนั้นเสี่ยวเชี่ยนถึงได้มาที่นี่
ซึ่งทำให้ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกได้รับการปลอบโยน เธอแน่ใจว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนที่เธอเคยเห็นไม่ใช่คนแบบนี้ ฝีมือในการรักษาผู้ป่วยของเด็กคนนี้ไม่เคยทำให้เธอต้องเป็นห่วง สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนต้องพัฒนาก็คือจิตใจที่มีเมตตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์กับอวี๋หมิงหลางไปได้สวยเลยทำให้เสี่ยวเชี่ยนแสดงมุมนี้ออกมา หรือเป็นเพราะมีจิตใจเมตตามาตลอดอยู่แล้ว เพียงต่อถูกกดเอาไว้ในใจ
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนทำให้ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกวางใจ
ว่าที่ซุปเปอร์หมอกำลังค่อยๆเติบโตขึ้น สำหรับอาจารย์คนหนึ่งที่ได้เป็นพยานในการเติบโตครั้งนี้รู้สึกภูมิใจเป็นที่สุด
เสี่ยวเชี่ยนเห็นผู้ปกครองของเย่เสี่ยวเวยอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
มีผู้ชายพุงพลุ้ยวัยกลางคนที่สีหน้าดูร้อนใจ ผู้หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินพลางแคะเล็บสีแดงสดของตัวเองเล่นด้วยความเบื่อหน่าย ผู้หญิงคนนี้หน้าตาคุ้นๆ เสี่ยวเชี่ยนนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน แต่สิ่งที่ดูออกก็คือความไม่ใส่ใจในเรื่องนี้
ถึงขนาดที่ว่าตอนที่ผู้หญิงคนนี้เงยหน้ามองห้องฉุกเฉิน ในสายตาไม่มีความเห็นใจเหมือนที่คนปกติควรมี เห็นแต่ความเย็นชา
เสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาหน่อยๆ
ต่อให้เป็นหมาแมวข้างถนนที่เราบังเอิญไปเจอเข้าคนก็ยังเกิดความสงสาร แล้วนับประสาอะไรกับคนเป็นที่กำลังถูกล้างท้องเพื่อช่วยชีวิต สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าเธออยากให้คนที่อยู่ในนั้นตาย
แม้แต่ศาสตราจารย์หลิวก็ยังดูออกว่าผู้หญิงคนนี้ดูรำคาญมากกว่า
จิตแพทย์เป็นคนที่มีความสามารถในการสังเกตสีหน้าและแววตามากกว่าคนปกติ เพราะต้องอ่านใจคนจากรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้ สีหน้าแสดงความรำคาญของผู้หญิงคนนี้ล้วนอยู่ในสายตาของจิตแพทย์ทั้งสองคน
แต่ภายในเวลาไม่กี่วินาที ตอนที่ผู้ชายคนนั้นหันมา ผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับคนที่มีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนสีหน้า เธอรีบเอามือลงแล้วทำสีหน้าวิตกกังวล ยืนขึ้นถามผู้ชายคนนั้น
“เหล่าเย่ เสี่ยวเวยเวยคงไม่เป็นไรใช่ไหม เข้าไปตั้งนานแล้วฉันเป็นห่วงจังเลย”