ก่วนอวี้ไปถึงเมืองไห่หลังจากรู้ข่าวเจ็ดชั่วโมง ตอนที่เขาไปถึงปราสาทโบราณของหนานกงเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แสงอาทิตย์ตกดินสาดส่องไปยังปราสาทที่ถล่มลงมา ให้ความรู้สึกหดหู่ใจ
มู่เฉิงซีและทุกคน เมื่อเข้าไปถึงปราสาท ก็ใช้มือขนย้ายซากปรักหักพัง ตามตำแหน่งห้องนอนของหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง แต่เพราะวัสดุที่ใช้ในการสร้างปราสาทโดยมากล้วนเป็นก้อนหิน ลำพังกำลังคนยากที่จะเคลื่อนย้าย ดังนั้นพวกเขาจึงทำช้ามาก
แต่เพราะร้อนใจที่จะช่วยคนที่ติดอยู่ ทุกคนจึงไม่หยุดพักแม้แต่น้อย แม้แต่ไซ่หย่าเซวียนและเวินอี๋ก็เอาแต่ย้ายซากปรักหักพังไม่หยุด ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ หลังจากขนย้ายมาตลอดทั้งวันทำให้เหนื่อยมาก
ยิ่งเวลาผ่านไป ทุกคนก็ยิ่งหมดหวัง ด้วยความเร็วนี้ รอให้พวกเขานำซากปรักหักพังออกไป คนที่อยู่ด้านล่างต่อให้ไม่ตายเพราะของตกลงมาทับ ก็คงตายเพราะขาดอากาศหายใจ
การมาของก่วนอวี้ เป็นแสงสว่างของทุกคน
ก่วนอวี้ติดตามรับใช้หนานกงเยี่ยตั้งแต่เด็ก ทำงานได้รอบคอบและเป็นระเบียบ ตอนที่เผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายก็ไม่เคยกระวนกระวาย เขาเตรียมการช่วยเหลือมาเป็นอย่างดี ก่วนอวี้นำเครื่องบินส่วนตัวลำใหญ่ของหนานกงเยี่ยออกมาใช้ พร้อมกับพาบอดี้การ์ดนับร้อยคนมาช่วยเหลือ รวมถึงนำเครื่องมือขุดต่างๆ มามากมาย ทั้งยังมีน้ำและอาหารจำนวนมาก
พวกบอดี้การ์ดของครอบครัวหนานกง ทำงานได้ดีเยี่ยม หลังจากลงมาจากเครื่องบินก็ขนย้ายเครื่องมือทุกอย่าง และเริ่มขุดซากปรักหักพัง ทางด้านมู่เฉิงซีและคนอื่นๆ ขึ้นไปพักกินอาหารบนเครื่องบิน
นั่งอยู่ในเครื่องบิน เวินอี๋เริ่มร้องไห้ไม่หยุด เธอกินข้าวไม่ลง ตอนที่ขนซากปรักหักพังพวกนั้น เธอไม่ได้ร้องไห้ เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ช่วยคน ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรแล้ว น้ำตาของเธอราวกับแม่น้ำ ไหลลงมาไม่หยุด
มู่เฉิงซีมองดูด้วยความปวดใจ โอบกอดเธอเอาไว้พร้อมพูดปลอบโยนเสียงเบา “อย่าร้องไห้เลยนะครับ กินข้าวดีไหมครับ”
ยิ่งมีคนปลอบ เวินอี๋ก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม “ฉันกินไม่ลงค่ะ ฉันเป็นห่วงพี่รั่วปิง” เธอเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกนี้ของตน พวกเธออยู่ห่างไกลกันได้ ไม่ติดต่อหากันได้ แต่ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัย
มู่เฉิงซีปลอบด้วยความอดทน “คุณเชื่อผมนะ พวกเขาต้องไม่เป็นอะไร พวกเขาเป็นคนที่มีฝีมือ ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นต้องช่วยเหลือตนเองได้ พวกเราเพียงแค่ต้องพยายามขุดซากปรักหักพังออกมา อีกไม่นานก็ช่วยพวกเขาออกมาได้แล้ว”
ราวกับพบแสงสว่าง แววตาเวินอี๋เปล่งประกายแวววับ “จริงด้วย พวกเขาเป็นคนมีฝีมือ ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนค่ะ!”
มู่เฉิงซียิ้มปลอบ “ครับ กินอะไรสักหน่อยนะ”
“ค่ะ ฉันจะกิน ฉันจะกินให้อิ่มแล้วไปช่วยขุดต่อ” เวินอี๋แย่งตะเกียบในมือมู่เฉิงซี จากนั้นเริ่มกินคำโต ถ้าจะบอกว่ากิน สู้บอกว่ายัดเข้าปากดีกว่า เธอร้อนใจมาก
มู่เฉิงซีมองดูเวินอี๋เงียบๆ อยู่หลายวินาที แล้วเงยหน้าขึ้นมองถังเฮ่าและอวี้ไป่หัน ทั้งสามมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร พวกเขารู้ดี หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงมีโอกาสรอดน้อย แผ่นดินไหวในครั้งนี้รุนแรงแค่ไหน พวกเขารู้ดี ปราสาทหนานกงสร้างด้วยก้อนหินเป็นหลัก ไม่ว่าจะถูกก้อนหินก้อนไหนหล่นทับ มีโอกาสตายสูง ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไม่ถูกก้อนหินหล่นทับ ทว่าถูกฝังอยู่ภายใต้ก้อนหิน ในพื้นที่คับแคบ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว โอกาสรอดก็น้อยมากเหมือนกัน
แต่ว่า คำพูดพวกนี้ เขาไม่อาจบอกกับเวินอี๋ได้
แม้จะรู้ว่าโอกาสรอดน้อย แต่พวกเขายืนกรานที่จะขุดให้ถึงที่สุด มีชีวิตก็ต้องเจอคน ตายก็ต้องมีศพ ดังนั้น หลังจากรีบกินข้าวจนเสร็จ พวกเขาทั้งสามก็เข้าร่วมการขุด มู่เฉิงซีพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นาน กว่าเวินอี๋จะยอมพักผ่อนบนเครื่องบิน ทางด้านไซ่หย่าเซวียนเองก็พักอยู่บนเครื่องบินเช่นเดียวกัน
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง พวกเขาติดตั้งไฟบนซากปรักหักพัง การขุดนั้นทำด้วยความยากลำบาก อีกทั้งท้องฟ้ายังไม่เป็นใจ ตอนที่ขุดไปถึงกลางดึก กลับมีฝนตกหนัก ทำให้การขุดยิ่งยากลำบากมากกว่าเดิม แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ก่วนอวี้ก็ไม่หยุดขุดแต่อย่างใด พวกบอดี้การ์ดเองก็ไม่กล้าชักช้า สวมเสื้อกันฝนแล้วขุดกันต่อ บอดี้การ์ดพวกนี้ ล้วนเป็นยอดฝีมือของตระกูลหนานกง ทำงานให้กับตระกูลหนานกงมานานหลายปี ตระกูลหนานกงคอยเลี้ยงปากท้องแน่นอนว่าต้องทำงานรับใช้ตระกูลหนานกง ไม่มีใครไม่ยินดี
*****
ในที่คับแคบท่ามกลางความมืด เวลาผ่านไปช้ากว่าครั้งไหนๆ ทุกนาทีที่ผ่านไปราวกับหนึ่งศตวรรษ โลกมืดมนจนน่ากลัว เงียบจนน่าหวาดผวา เพราะมีอากาศหายใจน้อยเต็มที เหลิ่งรั่วปิงยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกอ่อนเพลีย ซบอยู่ในอ้อมกอดหนานกงเยี่ย เริ่มง่วงนอน หนานกงเยี่ยเองก็ค่อยๆ หมดแรง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย เขามีแรงมากกว่าเหลิ่งรั่วปิงมาก
“ฉันเหนื่อยจังเลยค่ะ คุณหนานกง ฉันขอนอนสักเดี๋ยวนะคะ” เสียงของเหลิ่งรั่วปิงเบาราวกับปุยเมฆ ที่เพียงลมพัดก็กระจายตัว
หนานกงเยี่ยจัดท่านั่งด้วยความกังวล ตบหน้าเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ “ห้ามนอนนะครับ รั่วปิง คุณต้องเชื่อฟังผมนะ ห้ามนอน หืม?”
ถ้าไม่นอนก็ยังอดทนต่อไปได้ แต่ถ้าหลับไปแล้ว อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ เธอรู้หลักเหตุผลข้อนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงกัดริมฝีปากล่างของตนเอง พยายามให้ตนเองตื่นตัว “ค่ะ ไม่นอน ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยเล่านิทานให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ”
หนานกงเยี่ยโล่งอกเล็กน้อย “ครับ คุณอยากฟังนิทานเรื่องอะไรครับ”
“เรื่องเกี่ยวกับคุณ”
“ครับ เพื่อให้อนาคตข้างหน้าคุณดูแลตระกูลหนานกงอย่างราบรื่น เป็นคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง ผมเล่าเรื่องเก่าๆ ของตระกูลหนานกงให้คุณฟัง หืม?” หนานกงเยี่ยพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
“ได้ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเองก็พยายามหัวเราะ “รอให้ฉันได้เป็นคุณผู้หญิงของคุณ ฉันจะทำให้ตระกูลของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะ นัยน์ตาของเขาซ่อนอยู่ในความมืด เสียใจกับเรื่องในอดีตที่หวนคิดถึง “ตอนที่ผมอายุสามขวบ แม่ของผมท่านจากผมไป แม่ตายเพราะโรคซึมเศร้าที่เป็นมานาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อไม่ได้รักแม่ ที่พ่อแต่งงานกับแม่ก็เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลก็เท่านั้น”
“พ่อของผมหมั้นกับคุณหนูใหญ่ของบริษัทเซียวซื่อตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลหมั้นเด็กทั้งสองตั้งแต่เล็ก เดิมทีคิดว่าเป็นกิ่งทองใบหยก เป็นคู่ที่สมบูรณ์พูนสุข ทว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง พ่อของผมท่านรักคุณหนูใหญ่เซียวมาก ตั้งแต่เล็กท่านรอที่จะแต่งงานกับเธอ แต่คุณหนูใหญ่เซียวกลับไม่ได้รักพ่อของผม ตอนที่เธออายุยี่สิบปี เธอทรยศต่อสัญญาแต่งงานของทั้งสองตระกูล หนีไปกับผู้ชายที่คบตอนอยู่มหาวิทยาลัย ซึ่งผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงผู้ชายจนๆ ไม่มีอะไร”
“เรื่องนี้ ส่งผลกระทบต่อพ่อของผมอย่างมาก ท่านระดมอำนาจทั้งหมดของตระกูลหนานกงเพื่อตามหาเธอ ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มแต่กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพื่อให้ตระกูลหนานกงหายโกรธ ตระกูลเซียวจึงยกคุณหนูรองให้กับตระกูลหนานกง คุณหนูรองคนนี้ก็คือแม่ของผมเอง ความเป็นจริงท่านเป็นเพียงลูกที่เก็บมาเลี้ยงของตระกูลเซียว ไม่ได้เป็นคุณหนูที่แท้จริงของตระกูลเซียว พ่อของผมจึงไม่อยากแต่งงานกับแม่เท่าไร แต่เพราะคุณปู่ไม่อยากให้ทั้งสองตระกูลต้องมีปัญหากัน จึงจบเรื่องนี้ โดยสั่งให้พ่อแต่งงานกับแม่ของผม”
“เพราะรักมากพ่อของผมท่านจึงร้ายมาก หลังจากแต่งงานท่านทำไม่ดีกับแม่มาก ทั้งยังเกลียดตระกูลเซียวเข้ากระดูก หลังจากที่ปู่ผมตายแล้วยกอำนาจให้พ่อดูแลตระกูลหนานกง ท่านก็เริ่มแก้แค้นตระกูลหนานกงด้วยความบ้าคลั่ง จนทำให้บริษัทเซียวซื่อถึงขั้นล้มละลาย พ่อของผมถึงจะไม่หาเรื่องแม่อีก แต่ก็เย็นชากับแม่มาโดยตลอด”
“ความเป็นจริง แม่ของผมท่านรักพ่อของผมมาก แม่รักพ่อมานานหลายปี ดังนั้นตอนที่คนของตระกูลเซียวเสนอให้ท่านแต่งงานกับตระกูลหนานกงแทนคุณหนูใหญ่ แม่จึงรับปากโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เดิมทีคิดว่าจะใช้ความรักของแม่หลอมละลายพ่อของผมได้ ทว่าสุดท้ายกลับไร้ประโยชน์เหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ตอนที่ผมอายุสามขวบ แม่ของผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และจากไปในที่สุด จนกระทั่งแม่ตาย พ่อของผมถึงจะรู้สึกละอายเล็กน้อย เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด ท่านจึงให้ผมเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกง ทั้งที่ความเป็นจริงท่านก็มีลูกนอกสมรส”
“เพราะไม่ได้รักแม่ของผม ความรู้สึกของพ่อที่มีต่อผมจึงเฉยชามาก หลังจากที่แม่จากไป ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้เย็นชากับผมแล้ว แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านก็เลี้ยงผมเพื่อเป็นผู้สืบทอดตระกูลหนานกง ในทุกวันผมต้องอ่านหนังสือกองโตเท่าภูเขา เรียนพิเศษวิชาต่างๆ ผมมีสิ่งที่ต้องเรียนมากมายไม่จบสิ้น มีสิ่งที่ต้องฝึกฝนมากมาย ความเป็นจริงชีวิตในวัยเด็กของผมมืดมนมาก”
“และอาจจะเป็นเพราะความโดดเดี่ยวนี้ ทำให้ผมรักและผูกพันกับก่วนอวี้และหลานซีที่เติบโตมากับผมตั้งแต่เล็ก ผมเห็นพวกเขาเป็นญาติคนหนึ่งของผม”
หลังจากพูดจบ หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิงแน่น “เมื่อก่อน เป็นความผิดของผมเอง เพราะหลานซี จึงทำให้คุณต้องเสียใจ หลังจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วนะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงพยายามขับไล่ความเหนื่อยออกไป ฟังด้วยความตั้งใจ เธอนึกถึงคำพูดของอวี้หลานซี เธอเคยบอกว่าหนานกงเยี่ยโดดเดี่ยวมาก เขาต้องการคนรัก ดูท่าจะเป็นจริงตามนั้น เมื่อก่อนเธอไม่รู้สึกอะไรเท่าไร แต่ตอนนี้หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเขา เธอรู้สึกปวดใจมาก สงสารหนานกงเยี่ยจับใจ
“คุณหนานกงเยี่ย หลังจากนี้ฉันจะรักคุณให้มากๆ นะคะ” ผู้หญิงทุกคน ล้วนมีความเป็นแม่ในตัวเอง ต่อให้เหลิ่งรั่วปิงจะไร้เยื่อใยแค่ไหน แต่เธอก็มีความเป็นแม่ ตอนนี้เธออยากจะรักหนานกงเยี่ยเหมือนลูกตัวเอง
มุมปากของหนานกงเยี่ยยกขึ้นอย่างมีความสุข “คุณเป็นคนพูดเองนะครับ ห้ามกลับคำ”
“ค่ะ คำไหนคำนั้น”
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงยังคงหลับไป ไม่ว่าหนานกงเยี่ยจะร้องเรียกและตบหน้าเธออย่างไร เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ มีเพียงลมหายใจรวยรินนั้น ที่ทำให้รู้ว่าเธอยังมีชีวิต
หนานกงเยี่ยกอดเธอแน่น เสียงของเขาสะอื้นเล็กน้อย “ในเมื่อคุณง่วงมากขนาดนี้ เช่นนั้นก็นอนหลับเถอะครับ ไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ”
เขายกข้อมือขึ้นเล็กน้อย กัดไปที่เส้นเลือดของตนเอง จากนั้นยื่นไปตรงริมฝีปากของเหลิ่งรั่วปิง เลือดที่อบอุ่น ไหลเข้าไปในปากของเธอ เหลิ่งรั่วปิงที่กำลังนอนหลับราวกับทารกน้อยที่หิวโซมานาน ในที่สุดก็มีนมให้ดื่มกิน เธอดูดเลือดของเขาด้วยความหิวโหย
ขาดอากาศ ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร พวกเขาติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังมานานสิบกว่าชั่วโมงแล้ว เขาได้แต่ใช้เลือดของตนเองเพื่อรักษาชีวิตเธอเอาไว้
*****
ฝนตกหนักตลอดทั้งคืน เช้าวันที่สองท้องฟ้าแจ่มใส ฝนหยุดตกแล้ว พระอาทิตย์ยังคงขึ้นจากทิศตะวันออก ยังคงส่องสว่างให้กับสรรพสิ่งบนโลก
ถึงแม้จะไม่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ช่วย ทั้งยังมีฝนตกหนักคอยเป็นอุปสรรค การขุดนั้นยากลำบากมาก แต่เพราะร้อนใจที่จะช่วยชีวิตคน ทุกคนจึงทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นการขุดจึงประสบผลสำเร็จมาก เพียงแค่คืนเดียว ได้จัดการซากปรักหักพังไปกว่าครึ่งแล้ว ช่วยคนงานออกมาได้หลายคน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวังก็คือ ยังคงไม่เจอหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง
ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น คนที่อยู่บนซากปรักหักพังเหนื่อยจนแทบหมดแรง เนื้อตัวของทุกคนเปื้อนไปด้วยดินโคลน
คนเป็นเหล็ก ข้าวคือเหล็กกล้า ไม่ว่าก่วนอวี้จะร้อนใจอยากจะช่วยคนแค่ไหน แต่ก็ต้องให้พวกบอดี้การ์ดกินข้าวกันก่อน
ด้วยเหตุนี้ การขุดจึงหยุดลงชั่วคราว
หลังจากพวกบอดี้การ์ดกินข้าวเสร็จกำลังจะเริ่มงานต่อนั้น ทีมกู้ภัยทีมใหม่ขึ้นมาบนหุบเขา เป็นทีมกู้ภัยจากประเทศซีหลิงที่นานาชาติส่งมา