เพราะเป็นทีมกู้ภัยจากต่างประเทศ คนที่มาจึงไม่มากเท่าไร ประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น ถึงแม้จำนวนคนจะไม่มาก แต่ทีมกู้ภัยทำงานด้วยความเชี่ยวชาญ คนหนึ่งทำงานได้เทียบเท่าสามคน
หนึ่งในทีมกู้ภัยที่ทำงานได้ดีเยี่ยมก็คือ ชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลา แข็งแรงพละกำลังดี เขาสวมชุดทีมกู้ภัยนานาชาติ สวมหมวกนิรภัย และแมสสีดำ การทำงานของเขาราวกับเทพภูเขา ไม่ว่าจะไปทางไหนซากปรักหักพังก็ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เขาไม่ใช่หนึ่งคนเทียบเท่าสามคน แต่คือหนึ่งคนเทียบเท่าสิบคน ถึงแม้เขาจะสวมชุดทีมกู้ภัยธรรมดา ทว่าสง่าราศีความเป็นราชาของเขา ทำให้เพียงแค่มองเข้าไปในกลุ่มคนก็เห็นเขาโดดเด่นขึ้นมา ออร่าของเขากลบทุกคนไปจนหมด
เขา คือซือคงอวี้!
ใต้ซากปรักหักพังคือผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เป็นคนที่สำคัญเท่ากับชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ตั้งใจทำงานเท่าเขา
เขาเป็นถึงเจ้าวิหารซีหลิง ปลอมตัวเข้ามาในพื้นที่ภัยพิบัติต่างประเทศ เพื่อตามหาผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด คุณจะกล้าบอกว่าเขาไม่ใช่คนที่ทุ่มเทกับความรักอีกหรือ!
ตอนที่หนานกงเยี่ยสาดแสงส่องสว่างจากซากปรักหักพัง หนึ่งในบอดี้การ์ดของตระกูลหนานกงร้องตะโกนด้วยความดีใจ “ดูสิ นั่นเหมือนเสื้อคุณชายเยี่ยมาก!”
นัยน์ตาของทุกคน เปล่งประกายแสงแวววับโดยไม่ได้นัดหมาย วิ่งไปตรงหน้าบอดี้การ์ดคนนั้น มองเข้าไปในหลุมแคบๆ ที่ถูกขุดออกมา อาศัยแสงริบหรี่ของไฟฉาย เห็นเสื้อของคนที่อยู่ด้านในอย่างชัดเจน นั่นเป็นเสื้อของหนานกงเยี่ยจริงๆ
ซือคงอวี้วิ่งไปด้วยความดีใจ อยากจะร้องตะโกน ทว่ากลับถูกหมาป่าสีเทาห้ามเอาไว้ “เจ้าวิหารครับ ต้องใจเย็นนะครับ เจ้าวิหารห้ามพูดส่งเสียงเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย”
สุดท้ายซือคงอวี้พยายามทำใจให้เย็นลง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ดวงตาทั้งคู่มองไปยังหลุมนั้น มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ หัวใจของเขากระดอนขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว เพียงแค่อ้าปากก็พร้อมจะกระเด็นออกมา
ก่วนอวี้คลานอยู่บนปากหลุม “คุณชายเยี่ย คุณชายเยี่ย!” ทุกเสียงที่ร้องตะโกนออกไป เคล้าไปด้วยความสั่นเทา
หนานกงเยี่ยในตอนนี้ อิดโรยมากแล้ว เขาเองก็เริ่มสะลึมสะลือ แต่ปณิธานอันแรงกล้าทำให้เขามีสติอยู่น้อยนิด เพราะเขาเป็นลูกผู้ชาย ขอเพียงแค่ยังมีลมหายใจ ก็ควรที่จะปกป้องผู้หญิงในอ้อมกอด
เมื่อได้ยินเสียงร้องของก่วนอวี้ หนานกงเยี่ยราวกับเห็นแสงสว่างบนขอบฟ้า หลังจากผ่านค่ำคืนที่ยาวนาน พยายามลืมตาขึ้น ริมฝีปากแห้งเหือดส่งเสียงอิดโรย “ก่วนอวี้!”
เมื่อได้ยินเสียงของหนานกงเยี่ย ก่วนอวี้ดีใจมาก “คุณชายเยี่ย คุณชายได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่เป็นอะไร แต่รั่วปิงหมดสติเพราะขาดอากาศหายใจมานาน นายรีบหาวิธีช่วยเธอออกไป” ใบหน้าที่ซีดขาวของหนานกงเยี่ย เผยรอยยิ้มบางเบา ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขายังคงมีลมหายใจ พวกเขาผ่านความเป็นความตายที่ทุกข์ทรมานไปด้วยกัน
“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ” ก่วนอวี้รีบร้องเรียกหมอทันที พร้อมบอกให้บอดี้การ์ดรีบเคลียร์พื้นที่เอาของที่อยู่รอบหลุมนี้ออกไปให้หมด
หมอปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ใช้ขดลวดส่งกลูโคสเข้ามาในหลุม “คุณชายเยี่ยครับ คุณและคุณเหลิ่งดื่มน้ำกลูโคสเล็กน้อยเพื่อเพิ่มแรงกันหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งดื่มเยอะ”
หนานกงเยี่ยคลำไปมา จนในที่สุดก็คว้าน้ำกลูโคสได้ เขาเอาหลอดดูดวางไว้ตรงริมฝีปากของเหลิ่งรั่วปิง ให้เธอดื่มเล็กน้อย จากนั้นตนก็ดื่มเล็กน้อย แล้วคลำหาถุงออกซิเจนที่หมอยื่นให้ นำถุงออกซิเจนครอบจมูกเหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้ ในที่สุดหัวใจของเขาก็รู้สึกปลอดภัย
เมื่อได้ยินว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่เป็นอะไร ซือคงอวี้โล่งใจมาก มองดูพวกบอดี้การ์ดขนย้ายซากปรักหักพังด้วยความยากลำบาก เขาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วย บอดี้การ์ดที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำงานได้ดีเท่าเขา ดังนั้น ประสิทธิภาพในการขนย้ายของซือคงอวี้จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ ใช้เวลาไม่นานก็จัดการซากปรักหักพังจนกว้างพอที่จะนำคนออกมา
ตอนที่กระดานเคลื่อนย้ายยื่นลงมา หนานกงเยี่ยใช้ผ้าปิดตาเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้สายตาเสีย หลังจากอยู่ในความมืดมานานแล้วกระทบโดนแสงกะทันหัน จากนั้นวางตัวเธอลงบนกระดานเคลื่อนย้าย หลังจากเหลิ่งรั่วปิงถูกช่วยออกไป เขาก็สวมผ้าปิดตา นั่งลงบนกระดานเคลื่อนย้ายอีกแผ่น
เหลิ่งรั่วปิงออกมาจากซากปรักหักพัง หมอทั้งหมดไม่มีใครกล้าชักช้า รีบเข้าไปตรวจร่างกายเธอทันที จากนั้นก็ให้น้ำเกลืออย่างรวดเร็ว เวินอี๋วิ่งไปด้านหน้า คอยอยู่เคียงข้างเธอ ไม่กล้าถอยห่างแม้แต่วินาทีเดียว
ซือคงอวี้ร้อนใจอยากจะเดินไปหา แทบอยากจะสวมกอดเธอเอาไว้ ทว่าหมาปาสีเทารีบคว้าแขนของซือคงอวี้อย่างรวดเร็ว “เจ้าวิหารครับ ใจเย็นก่อนครับ ถ้าตัวตนของเจ้าวิหารถูกเปิดเผย ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายแน่ๆ ครับ” เจ้าวิหารของประเทศซีหลิง ลักลอบเข้ามาในประเทศต้าย่า เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับด้านการเมือง อาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศขึ้นก็ไม่แน่
ซือคงอวี้ทำได้เพียงชะงักฝีเท้าด้วยความจนปัญญา มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเสียงข้อต่อกระดูกดังขึ้น คนที่อยากเจอ คนที่ต้องการตัวอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับแตะต้องเธอไม่ได้ ไม่อาจพาเธอกลับไปได้ อยู่ใกล้กับเธอแค่เอื้อม แต่ราวกับอยู่แสนไกลสุดขอบฟ้า
บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ็บปวดมากไปกว่านี้แล้ว!
ตอนที่หนานกงเยี่ยถูกยกออกมา หมอและพยาบาลรีบกรูเข้าไปหา เพื่อตรวจอาการของเขา ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะยังมีสติ แต่สีหน้าของเขาดูอิดโรยกว่าเหลิ่งรั่วปิงมาก ตรงกันข้ามกับเหลิ่งรั่วปิงที่แม้จะหมดสติไป แต่สีหน้าของเธอยังคงแดงระเรื่อ ทว่าหนานกงเยี่ย ถึงแม้จะมีสติแต่สีหน้าของเขากลับซีดขาว ริมฝีปากแห้งกรอบ ข้อมือของเขามีบาดแผล เปื้อนไปด้วยเลือด ริมฝีปากของเหลิ่งรั่วปิงเองก็มีคราบเลือด ไม่ว่าใครก็ดูออก ว่าเขาทำอะไรกับผู้หญิงของตนเอง
ทุกคนต่างประทับใจ คุณชายหนานกงของเมืองหลง วันนี้จะเป็นคนที่ทุ่มเทให้ความรัก เพื่อผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อเหลิ่งรั่วปิง เขาเคยทำเรื่องบ้าคลั่งมามากมาย แม้แต่ชีวิตของเธอตนเองก็ให้เธอได้
หนานกงเยี่ยยืนกรานที่จะนั่ง ไม่ยอมล้มตัวลงนอน เขาเกลียดความรู้สึกตอนที่ตนเองล้มลงด้วยความอ่อนแอ เวลานี้เกรงว่าจะเป็นสภาพที่น่าเวทนาที่สุดของเขาตลอดยี่สิบแปดปีที่ผ่านมา แม้เขาจะน่าเวทนา แต่ตัวของเขายังคงแผ่ซ่านไปด้วยความน่าเกรงขาม มีออร่าของราชาแต่กำเนิด ถึงแม้ตอนนี้เขาจะอ่อนแอราวกับลูกเจี๊ยบ แต่เขายังคงสูงศักดิ์ไม่อาจดูหมิ่น เขาสง่าผ่าเผยและยังคงมองโลกด้วยความทะนง ยังจะพูดได้อีกหรือว่าเขาไม่ใช่คนที่หยิ่งยโส!
“เธอเป็นยังไงบ้าง” เสียงอ่อนเพลียของหนานกงเยี่ยดังขึ้นที่ข้างหูของหมอ
หมอรีบตอบอย่างนอบน้อม “คุณเหลิ่งหมดสติ เพราะขาดอากาศหายใจและไม่ได้กินอะไรครับ เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ท้ายทอยได้รับบาดเจ็บ ต้องกลับไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล มองจากภายนอก คุณเหลิ่งไม่ได้บาดเจ็บสาหัสครับ”
หนานกงเยี่ยโล่งอก ริมฝีปากแห้งแตกพูดด้วยความอิดโรย “ก่วนอวี้ รีบส่งตัวเหลิ่งรั่วปิงไปรักษาที่เมืองหลง”
“ครับ” ก่วนอวี้รีบเตรียมเครื่องบินให้พร้อม จากนั้นยกเหลิ่งรั่วปิงขึ้นไปบนเครื่อง
เวลานี้ เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง ลงจอดตรงบริเวณซากปรักหักพัง คนที่มาคือไซ่ตี้จวิ้นและฉู่เทียนรุ่ย
“พี่เที่ยนรุ่ย!” เมื่อเห็นฉู่เทียนรุ่ย ไซ่หย่าเซวียนดีใจมาก กำลังจะวิ่งไปหา ทว่าอวี้ไป่หันกลับคว้ามือเธอเอาไว้แน่น “คุณทำอะไรคะคุณอวี้ไป่หัน คุณไม่เห็นพี่ชายของฉันและพี่เทียนรุ่ยมาหรือไง”
อวี้ไป่หันกัดฟันแน่น ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือไซ่หย่าเซวียน เขาไม่มีเหตุผลในการรั้งเธอเอาไว้
เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการ ไซ่หย่าเซวียนวิ่งไปหาฉู่เทียนรุ่ยอย่างไม่ลังเล กอดเขาเอาไว้ “พี่เทียนรุ่ย พี่มารับฉันหรอคะ”
ในที่สุดก็ได้เจอคนที่อยากเจอ เห็นเธอปลอดภัย ฉู่เทียนรุ่ยวางใจลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขากอดไซ่หย่าเซวียน “อื้ม พี่มารับเรา” มือใหญ่ลูบผมของเธอ “เมื่อก่อนพี่ไม่ดีเอง หลังจากนี้พี่จะไม่ทำแบบนั้นกับเราแล้วนะครับ”
“พี่เทียนรุ่ย!” ไซ่หย่าเซวียนดีใจจนร้องไห้โฮ ราวกับบ่อน้ำตาแตก นี่เป็นครั้งแรก ที่ฉู่เทียนรุ่ยอ่อนโยนกับเธอแบบนี้ ทั้งยังกอดเธออีกด้วย เธอรู้สึกว่าโลกทั้งใบมากล้นด้วยความสุขขึ้นมาทันที
มองดูทั้งสองโอบกอดกัน อวี้ไป่หันกัดฟันแน่น มือทั้งสองกำหมัดอย่างห้ามใจไม่ไม่ได้ นัยน์ตาของเขามีแต่ความอาฆาต นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขาอยากจะแย่งผู้หญิงคนหนึ่งมากมายขนาดนี้ แต่ที่นี่เวลานี้ เขาไม่ควรทำ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คืออดทน!
สำหรับไซ่ตี้จวิ้น คนที่สำคัญที่สุดคือน้องสาวและผู้หญิงที่เขารัก เมื่อน้องสาวไม่เป็นอะไร สายตาของเขาจึงจับจ้องไปที่เหลิ่งรั่วปิง มองดูเธอนอนบนกระดานเคลื่อนย้ายด้วยความอิดโรย เขารีบวิ่งไปหา “หนิงซยา!”
หนานกงเยี่ยเกลียดไซ่ตี้จวิ้นเป็นทุนเดิม เขากล้าแย่งผู้หญิงกับตน สมควรตาย! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เหลิ่งรั่วปิง ด้วยนิสัยของหนานกงเยี่ย ไซ่ตี้จวิ้นคงจะตายเป็นหมื่นครั้งแล้ว ความโมโหที่อยู่ภายในใจของหนานกงเยี่ยราวกับไฟที่ลุกลามขึ้นมากะทันหันท่ามกลางความมืด ไม่อาจขวางเอาไว้ได้ สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความโมโห ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากลางเม้มกัดแน่น ความเย็นยะเยือกที่อธิบายได้ว่าตอนนี้เขาโมโหมากแค่ไหน
ก่วนอวี้ติดตามหนานกงเยี่ยมาตั้งแต่เด็ก จึงรับรู้อารมณ์ของหนานกงเยี่ยอย่างรวดเร็ว ตอนที่หนานกงเยี่ยขมวดคิ้ว เขาคว้าปืนออกมา เล็งไปที่ไซ่ตี้จวิ้น “ประธานไซ่ ช้าก่อน!”
ไซ่ตี้จวิ้นหยุดเดิน ความโมโหที่อยู่ในใจจุดประกายขึ้นมาทันที ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงก็ยังเป็นคู่หมั้นของเขา เธอบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน เขาไม่รู้แม้แต่น้อย เดิมทีก็หงุดหงิดเพราะความเป็นห่วงอยู่แล้ว ตอนนี้กลับถูกก่วนอวี้ขวางเอาไว้ จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ไซ่ตี้จวิ้นจึงเผชิญหน้ากับปลายกระบอกปืนของก่วนอวี้ด้วยความโมโห “ทำไม ตระกูลหนานกงรังแกกันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันมาดูอาการคู่หมั้นของฉันไม่ได้หรือไง” ไซ่ตี้จวิ้นไม่รู้ว่าตัวตนของเหลิ่งรั่วปิงเปิดเผยแล้ว เขานึกว่าเธอยังเป็นฉู่หนิงซยา
หนานกงเยี่ยยกมุมปาก พูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ไซ่ตี้จวิ้น เธอเป็นใครนายรู้ดีแก่ใจ ต้องให้ฉันใช้ลูกปืนบอกนายใช่ไหมว่าเธอเป็นผู้หญิงของใคร!”
สิ้นเสียงของหนานกงเยี่ย บอดี้การ์ดนับสิบคน คว้าปืนออกมา แล้วเล็งไปที่ไซ่ตี้จวิ้น บอดี้การ์ดของตระกูลหนานกงล้วนเป็นยอดฝีมือ ตอนที่ทุกคนเล็งไปที่ไซ่ตี้จวิ้น คล้ายกับทหารรักษาการณ์ในราชวัง
การมาในครั้งนี้ ไซ่ตี้จวิ้นพาบอดี้การ์ดมาด้วย เขาพามาประมาณยี่สิบกว่าคน ไม่ว่าหนานกงเยี่ยจะมีอำนาจแค่ไหน แต่ในฐานะบอดี้การ์ดของตระกูลไซ่ คนแรกที่ต้องปกป้องก็คือเจ้านายของตน ดังนั้นตอนที่ไซ่ตี้จวิ้นถูกบอดี้การ์ดนับสิบของตระกูลหนานกงข่มขู่ บอดี้การ์ดตระกูลไซ่ก็คว้าปืนออกมา แล้วเล็งไปที่บอดี้การ์ดตระกูลหนานกง
มาเมืองไห่ในครั้งนี้ ก่วนอวี้นำบอดี้การ์ดมากว่าร้อยคน เดิมทีคิดว่าไซ่ตี้จวิ้นไม่กล้าทำอะไร ดังนั้นจึงมีเพียงแค่บอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่อยู่รอบตัวหนานกงเยี่ยเท่านั้นที่คว้าปืนออกมา ตอนนี้เมื่อเห็นบอดี้การ์ดตระกูลไซ่กล้าคว้าปืนออกมา บอดี้การ์ดคนอื่นๆ ของตระกูลหนานกงจึงคว้าปืนออกมาด้วย พวกเขาปิดล้อมไซ่ตี้จวิ้นและบอดี้การ์ดของเขา