จากพื้นที่ช่วยเหลือแผ่นดินไหวในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นดินปืนขึ้นมากะทันหัน บอดี้การ์ดนับร้อยคนของตระกูลหนานกง หันปลายกระบอกปืนไปที่บอดี้การ์ดของตระกูลไซ่นับยี่สิบคน สถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดมาก เกิดการยิงต่อสู้ได้ตลอดเวลา
ครั้งนี้ ไซ่ตี้จวิ้นไม่คิดจะยอมแพ้ เขาจะพาเหลิ่งรั่วปิงกลับไป ตอนที่รู้ว่าเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองไห่ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะพาเหลิ่งรั่วปิงกลับประเทศเอ้าตู อยู่หรือตายเป็นเพียงแค่เส้นบางๆ เขาอยู่เคียงข้างเธอจึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หลังจากเผชิญหน้ากันนานกว่าสิบวินาที หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “ไซ่ตี้จวิ้น ดูท่านายคงอยากจะตายที่นี่แล้วจริงๆ?”
ไซ่ตี้จวิ้นไร้ซึ่งความหวาดกลัว “ไม่ว่านายจะนึกว่าเธอเป็นใคร แต่ตอนนี้เธอเป็นคู่หมั้นของฉัน ฉันพาเธอกลับประเทศเอ้าตูเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
หนานกงเยี่ยยังคงหัวเราะเยือกเย็น เสียงของเขาหนาวเย็นราวกับน้ำแข็งบนขั้วโลกเหนือ จนสะท้านแก้วหูของทุกคน “ถ้าอย่างนั้นนายก็ลองชิมรสชาติลูกปืนของตระกูลหนานกงเยี่ยหน่อยแล้วกันว่ามันเป็นยังไง!”
บอดี้การ์ดของทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด สงครามกำลังจะเกิดขึ้น
คำพูดระหว่างหนานกงเยี่ยและไซ่ตี้จวิ้น ดังก้องอยู่ในหูของซือคงอวี้ทุกถ้อยคำ เขาอยากฆ่าหนานกงเยี่ย และอยากฆ่าไซ่ตี้จวิ้น คนหนึ่งบอกว่าเหลิ่งรั่วปิงเป็นผู้หญิงของเขา ส่วนอีกคนบอกว่าเธอเป็นคู่หมั้น คำพูดเหล่านี้บดขยี้ความรู้สึกของเขา เจตนาฆ่าที่รุนแรงกระตุ้นเส้นเลือดตรงหน้าผากของเขาจนนูนปูดขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา ตอนนี้มีดบินที่อยู่ตรงเอวของเขาคงจะบินออกแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!” ไซ่หย่าเซวียนรีบร้องตะโกนด้วยความกังวล หยุดการต่อสู้ของบอดี้การ์ดทั้งสองฝ่ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอวิ่งไปหาไซ่ตี้จวิ้น คล้องแขนเขาเอาไว้ “พี่คะ เหลิ่งรั่วปิงกับคุณหนานกงคืนดีกันแล้ว พี่อย่าดึงดันต่อไปเลยค่ะ”
“!!!” ไซ่ตี้จวิ้นหันควับไปมองน้องสาวของตนเอง อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เธอพูดว่าอะไรนะ”
เหลิ่งรั่งปิงเคยรับปากกับเขา เธอไม่มีวันกลับไปคบกับหนานกงเยี่ย ตอนนี้พวกเขาคืนดีกันแล้วมันหมายความว่าอย่างไร
ไซ่หย่าเซวียนมองลึกเข้าในตาของไซ่ตี้จวิ้นด้วยความจริงจัง “พี่คะ เหลิ่งรั่วปิงให้อภัยคุณหนานกงแล้ว พวกเขาคืนดีกันแล้วค่ะ พี่ยอมปล่อยมาจากเธอเถอะ เธอไม่ใช่ของพี่”
ไซ่ตี้จวิ้นกำหมัดทั้งสองข้างแน่น ก้มหน้าลงช้าๆ หลังจากเงียบอยู่นานครู่หนึ่ง เขาหัวเราะเยาะตัวเอง ตนช่างเหมือนตัวตลกจริงๆ อ้อนวอนร้องขอหัวใจที่ไม่เคยเฉียดมาใกล้ตน ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เขาเปลี่ยนใจไปมาก สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม ว่างเปล่า
ตอนนั้นเขาไม่ควรปล่อยเธอกลับมาเมืองหลง!
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ไซ่ตี้จวิ้นยกมือขึ้นเบาๆ บอดี้การ์ดของเขาลดปืนลง
“หนานกงเยี่ย ฉันยอมรับว่าฉันเอาแต่เพ้อฝันอยากได้ของที่ไม่ใช่ของๆ ตนเอง” เวลานี้ไซ่ตี้จวิ้นเงียบผิดปกติ เสียงของเขาเคร่งขรึม “เมื่อไหร่ที่นายทำไม่ดีกับเธอ หรือเกิดช่องว่างระหว่างพวกนายอีกครั้ง ฉันจะตามจีบเธอ”
หนานกงเยี่ยหัวเราะเย็นยะเยือก มุมปากกระตุกขึ้นด้วยความเย้ยหยัน “หึ ชาติหน้านายก็ไม่มีโอกาสนี้หรอก!”
หนานกงเยี่ยพูดจบ โน้มตัวพิงกับเก้าอี้เบาๆ เขาเหนื่อยมากแล้วจริงๆ
เมื่อก่วนอวี้เห็นแบบนั้น จึงผายมือบอกให้บอดี้การ์ดลดปืน จากนั้นพาหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงขึ้นไปบนเครื่องบิน
ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังจะถูกยกขึ้นไปบนเครื่องบิน นัยน์ตาซือคงอวี้เปล่งแสงเย็นเยียบ จ้องมองไปทางหนานกงเยี่ย เขารักเหลิ่งรั่วปิงมากแค่ไหน ก็เกลียดหนานกงเยี่ยมากเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ ตอนนี้เขาคงยิงธนูนับหมื่นดอกไปที่ตัวหนานกงเยี่ยแล้ว
ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะปิดตาเอาไว้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงพลังอาฆาตที่รุนแรง ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองซือคงอวี้
ก่วนอวี้หลักแหลมมาก รู้ทันทีว่าหนานกงเยี่ยสัมผัสได้ถึงพลังอะไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันไปมองซือคงอวี้ ตัวของก่วนอวี้หนาวสั่นขึ้นมาทันที คนตรงหน้าทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวมาก เขาสวมชุดทีมกู้ภัยธรรมดาทั่วไป สวมหมวกนิรภัย ใส่แมสสีดำปิดหน้าเอาไว้ ทั้งตัวของเขาเผยให้เห็นแค่ดวงตาคู่สวยเท่านั้น ทว่าแววตาของเขากลับเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งพันปี
พลังสังหารที่แข็งแกร่ง แววตาคมเฉียบที่เย็นยะเยือก ทำให้คนกลัวเข้ากระดูก เพียงแค่มองก็ทำให้คนปะติดปะต่อคิดถึงเลือดขึ้นมาทันที
ก่วนอวี้หันเข็มนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย นั่นเป็นกล้องถ่ายรูปขนาดเล็ก เขาถ่ายรูปซือคงอวี้เก็บเอาไว้ จากนั้นพูดกระซิบบางอย่างข้างหูหนานกงเยี่ย หนานกงเยี่ยพยักหน้า ขยับริมฝีปากบางเล็กน้อย “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น กลับไปเมืองหลงก่อน”
“ครับ” ก่วนอวี้พยักหน้ารับคำสั่ง สั่งให้พวกบอดี้การ์ดยกเหลิ่งรั่วปิงและหนานกงเยี่ยขึ้นไปบนเครื่องบิน
มองดูเหลิ่งรั่วปิงที่ถูกยกขึ้นไปบนเครื่องบิน ซือคงอวี้ก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว อยากจะชิงตัวเธอลงมาจากบนเครื่องบินเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่สติที่มีอยู่เตือนเขาว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ซือคงอวี้ทำได้เพียงกำหมัดแน่น จนข้อกระดูกซีดขาว เกิดเสียงดังขึ้น
หมาป่าสีเทายืนอยู่ด้านหลังด้วยความตึงเครียด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมา ถ้าหากซือคงอวี้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ โชคดี หลังจากผ่านการต่อสู้ทางความคิดอย่างดุเดือด ความโมโหของซือคงอวี้ก็ลดลง
มู่เฉิงซีและถังเฮ่าเดินขึ้นไปบนเครื่องบิน มีเพียงอวี้ไป่หันเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม มองดูไซ่หย่าเซวียนด้วยสายตาเหม่อลอย เขาอยากพาเธอไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีเหตุผลที่จะพาเธอไป
ไซ่หย่าเซวียนมองดูอวี้ไป่หัน รู้สึกละอายเล็กน้อย “คุณอวี้ไป่หัน ขอบคุณที่คอยดูแลฉันนะคะ ฉันจะกลับไปกับพี่ชายค่ะ” ไม่ว่าอย่างไรหัวใจของเธอก็อยู่ที่ฉู่เทียนรุ่ย ไม่เคยไปจากเขามาก่อน เธอตกหลุมรักเขามานานกว่าสิบปี ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ
อวี้ไป่หันยิ้มแห้งพร้อมกับพยักหน้า พูดเย้ยหยันตนเองสั้นๆ หนึ่งคำ “ครับ” มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ คนที่มองโลกเป็นเพียงแค่เกมมาโดยตลอด ตอนนี้ปวดใจมากแค่ไหน หัวใจของเขาเจ็บปวดเพราะผู้หญิงอายุยี่สิบสองคนนี้
ก่วนอวี้ที่เดิมทีขึ้นไปบนเครื่องบินแล้ว เดินลงมาจากบนเครื่องอีกครั้ง ด้านหลังมีบอดี้การ์ดหลายคนติดตามมาด้วย
“ด็อกเตอร์ฉู่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ก่วนอวี้ยิ้มแล้วยืนอยู่ตรงหน้าฉู่เทียนรุ่ย ถึงแม้เขาจะยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาเบาบางมาก ความเคารพที่แสดงออกมานั้นเขาพยายามรักษาเอาไว้ เบื้องหลังความเคารพคือความหยิ่งทะนงและความแข็งแกร่ง คล้ายกับราชันแห่งดาบที่สะพายดาบมังกรไว้ด้านหลัง ทว่ากลับพูดนอบน้อมกับคนธรรมดาทั่วไป
ฉู่เทียนรุ่ยเดาออกแล้วว่าก่วนอวี้คิดจะทำอะไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อย “เลขาก่วน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ก่วนอวี้หรี่ตาลง “คุณชายเยี่ยของผมอยากเชิญด็อกเตอร์ไปเมืองหลงครับ ไม่ทราบด็อกเตอร์ฉู่จะให้เกียรติไปไหมครับ”
ก่วนอวี้พูดด้วยความเกรงใจ สีหน้าของเขายังคงรักษาความเคารพนับถือเอาไว้ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ถ้าหากฉู่เทียนรุ่ยกล้าปฏิเสธ เช่นนั้นบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังก่วนอวี้ก็พร้อมจับตัวเขาไปทันที
ไม่มีใครปฏิเสธหนานกงเยี่ยได้ คำเชิญของเขาคือคำสั่ง แน่นอนว่าฉู่เทียนรุ่ยมองออก ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้มบางเบา “ได้รับคำเชิญจากคุณชายเยี่ย ถือเป็นเกียรติมากครับ”
ก่วนอวี้เบี่ยงตัวเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้น “เชิญครับ”
ฉู่เทียนรุ่ยไม่ได้คิดอะไรมาก ก้าวเดินไปยังเครื่องบินของตระกูลหนานกง ไซ่หย่าเซวียนวิ่งตามา “พี่เทียนรุ่ย ฉันไปด้วยค่ะ”
เมื่อเห็นไซ่หย่าเซวียนตามฉู่เทียนรุ่ยขึ้นเครื่อง อวี้ไปหันยิ้มเศร้า ถึงแม้ตนจะไม่ใช่เหตุผลที่เธออยู่ที่นี่ต่อ แต่อย่างน้อยยังได้เห็นเธอตลอดเวลา ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
ซือคงอวี้ยืนอยู่ตรงซากปรักหักพังเงียบๆ สายตาของเขาจับจ้องไปยังบนท้องฟ้าที่เหลิ่งรั่วปิงจากไป นัยน์ตาของเขาเปี่ยมด้วยความคับแค้นใจ
“เจ้าวิหารครับ เรารีบกลับซีหลิงกันเถอะครับ?” หมาป่าสีเทาพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความระมัดระวัง
ซือคงอวี้เงียบอยู่นาน พยายามอดกลั้นความโมโหของตน พูดออกมาเบาๆ “อืม”
บนโลกใบนี้ มีคนสองคนที่เขาจะต้องฆ่าให้ได้ หนึ่งคือหนานกงเยี่ย สองคือไซ่ตี้จวิ้น ตอนนี้ตนแรกฆ่าไม่ได้ ปล่อยเขาเอาไว้ก่อน แต่ไซ่ตี้จวิ้น เขาแทบอยากจะฆ่าให้ตายตั้งแต่ตอนนี้!
*****
ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงตื่นขึ้นมา คือเช้าตรู่วันที่สอง เนื่องจากได้รับน้ำเกลือ และได้รับการดูแลอย่างดี สีหน้าของเธอจึงกลับมามีเลือดฝาดอย่างรวดเร็ว หนานกงเยี่ยคอยดูแลเธอตลอดเวลา นอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีห้องเดียวกับเธอ
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เมื่อเห็นเธอลืมตา หนานกงเยี่ยยิ้มด้วยความอ่อนโยน
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เหยียดตัวขึ้นนั่ง หนานกงเยี่ยรีบเอาหมอนมาหนุนหลังเธอเอาไว้ “รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงส่ายหน้าเบาๆ กะพริบตาหลายครั้ง “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนคะ” เพราะผ้าห่มนุ่มๆ ที่ห่มเอาไว้ ทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในซากปรักหักพังแล้ว พวกตนได้รับการช่วยเหลือแล้ว
หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมกับลูกจบผมของเธอ “อยู่ในโรงพยาบาลเอกชนหนานกงครับ”
“อ้อ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า “แล้วทำไมถึงไม่เปิดไฟคะ”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้ว ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขามองดูแสงแดดนอกหน้าต่าง จากนั้นหันกลับมามองแววตาว่างเปล่าของเหลิ่งรั่วปิง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก่อตัวขึ้นในใจ หนานกงเยี่ยหวาดกลัวจนหัวใจสั่นเทา
“ฉันพูดกับคุณ หนานกงเยี่ย ทำไมไม่เปิดไฟคะ มืดขนาดนี้คุณไม่รู้สึกอึดอัดเหรอ”
“…” หนานกงเยี่ยยื่นมือซ้ายออกไปด้วยความสั่นเทา โบกมือไปมาตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง แต่ดูเหมือนเธอจะมองไม่เห็นอะไรเลย
“คุณตอบคำถามฉันสิ!” เหลิ่งรั่วปิงเริ่มเป็นกังวล
หนานกงเยี่ยปรับอารมณ์ของตนเองอยู่นาน เอ่ยพูดเสียงเบา “รั่วปิง คุณฟังผมนะครับ พวกเราติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังเป็นเวลานานกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ ดังนั้นร่างกายของคุณจะยังไม่ฟื้นตัว การที่มองไม่เห็นชั่วคราวถือเป็นเรื่องปกติ เดี๋ยวผมให้คุณหมอเข้ามาดูอาการให้คุณนะครับ หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว นั่งตัวตรง “ตอนนี้เป็นเวลาไหนคะ”
“ตอนเช้าตรู่ครับ” เสียงของหนานกงเยี่ยตึงเครียดมาก
เหลิ่งรั่วปิงรับรู้ได้ทันที เธอสูญเสียการมองเห็น!
แต่ว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอ เหลิ่งรั่วปิงผ่านความเป็นความตายมามากมาย ไม่มีวันล้มเพราะเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ เธอไม่ร้องไห้และไม่โวยวาย เงียบมาก หลังจากคิดพิจารณาเงียบๆ ครู่หนึ่ง เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “คุณหนานกงเยี่ย คุณช่วยตามหมอมาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“ครับ” เห็นเธอใจเย็นแบบนี้ หนานกงเยี่ยก็โล่งอก เธอเป็นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอด เธอยังคงนิ่งสงบในตอนที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากลำบาก สิ่งนี้ทำให้เขาปลื้มใจ และทำให้เขาปวดใจ
ในไม่ช้าคุณหมอก็เดินเข้ามาตรวจอาการเหลิ่งรั่วปิงด้วยความตั้งใจ ร่วมกับผลซีทีแสกนสมองก่อนหน้านี้ จึงได้ข้อสรุปว่า ‘ท้ายทอยได้รับการกระทบกระเทือน มีเลือดกดทับเส้นประสาท ทำให้สูญเสียการมองเห็น’
เหลิ่งรั่วปิงนิ่งสงบ “มีวิธีในการรักษาไหมครับ”
หมอ “ด้วยการแพทย์ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษาสองวิธี หนึ่งคือการใช้ยาเพื่อบำรุงเส้นประสาทและละลายลิ่มเลือด วิธีนี้ปลอดภัยที่สุด แต่การรักษานั้นต้องใช้เวลานาน อีกทั้งผลการรักษายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ ส่วนอีกหนึ่งวิธีคือการผ่าตัด แต่วิธีนี้มีความเสี่ยงสูง หากเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อยจนถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต”