ตอนที่ 181 ประหลาดใจ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนตัวสาวใช้อยู่นั้น ทางด้านสะใภ้ใหญ่สือกลับนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าหนักหนา

หงหรุ่ยยกถ้วยข้าวหมากใส่ไข่ลวกเข้ามา พลางเกลี้ยกล่อมสะใภ้ใหญ่สือเสียงเบาว่า “เกอร์เอ๋อร์เพิ่งจะอายุได้เก้าเดือน หากว่าท่านหักโหมร่างกายเช่นนี้ ประเดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวนะเจ้าคะ! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านผู้นำตระกูลกับฮูหยินผู้เฒ่าต่างคาดหวังให้ท่านแตกกิ่งก้านสาขาให้แก่ตระกูลเฉิงอีก ท่านจำต้องรักษาสุขภาพร่างกายเอาไว้ให้ดีนะเจ้าคะ!”

สะใภ้ใหญ่สือยกยิ้มอย่างขมขื่น

นางมองร่างที่อวบอิ่มและขาวหมดจดในคันฉ่อง ร่างนั้นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงชาดแต่ดวงหน้ากลับร่วงโรยเล็กน้อยไปแล้วหลายส่วน พลางกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งมา จะไม่ทำก็ไม่ได้!” กล่าวพลางเหลียวตัวมา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง จึงกดเสียงลงแล้วกระซิบว่า “ตามความเห็นของข้า ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะล่วงเกินจวนหลักจริงๆ แต่ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าก็มีเหตุผล หากไม่รีบลงมือหักแขนข้างหนึ่งของจวนหลักยามที่นายท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ เมื่อเฉิงเจียซ่านประสบความสำเร็จ และมีจวนหลักคอยหนุนหลังเขาอย่างสุดกำลัง ไหนเลยนายท่านของพวกเรายังจะมีที่ยืนอยู่ในตระกูลเฉิงได้อีก ถ้าหากนายท่านของพวกเราอยากจะมีที่ยืนอยู่ในตระกูลเฉิง ก็เป็นได้เพียงไม้ประดับที่ช่วยทำให้เฉิงเจียซ่านโดดเด่นขึ้นมาเท่านั้น เจ้าลองคิดดู นายท่านเป็นผู้ที่หยิ่งยโสมากคนหนึ่ง เจ้าให้เขาไปช่วยเหลือเฉิงเจียซ่าน เช่นนั้นฆ่าเขาเสียยังจะดีกว่าให้เขาได้รับความอับอายนี้!…

…ถึงเวลานั้นหนทางที่พาดรออยู่เบื้องหน้านายท่านของพวกเรา ตลอดชีวิตที่เหลือก็คงจะมีแค่เส้นทางเดียวที่มีแต่ความสิ้นหวังและไร้ความสุขเพราะไม่ประสบความสำเร็จ…

…ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ไม่รู้ว่าฮูหญิงผู้เฒ่าผ่านโลกมาแล้วมากมายเพียงใด หากเชื่อฟังคำสั่งของนาง ไม่แน่ว่าอาจจะเดินออกจากเส้นทางนี้ได้ก็เป็นได้…

…นอกจากนี้ยังมีท่านผู้นำตระกูลหนุนอยู่เบื้องหลัง หากว่าไม่ได้การแล้วจริงๆ ท่านผู้นำตระกูลออกหน้ามากล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ก่อเรื่องเหลวไหล’ เสีย เรื่องทุกอย่างก็เป็นอันจบ ตอนนี้ข้าเพียงกลัวว่า…” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย นางก็หยุดชะงักขึ้นมาในทันใด

หงหรุ่ยเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “ท่านกลัวอะไรหรือเจ้าคะ”

เจิ้งซื่อกลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นความผิดพลาดเหล่านี้จะถูกตีตราอยู่บนหลังของตนเองทั้งหมด

แม้นางกับเฉิงสือจะเป็นสามีภรรยาที่ร่วมผูกผมกัน แต่ถ้าหากให้เฉิงสือเป็นบุตรอกตัญญูที่คัดค้านบิดามารดาเพื่อนางล่ะก็ นางก็ยังไม่แน่ใจสักเท่าใด

โชคดีที่นางยังมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนหนึ่งยังครอบครองสถานะเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอกอีกด้วย หากว่าชื่อเสียงของนางเสื่อมเสียลงไป ชื่อเสียงและอนาคตของบุตรชายทั้งสองคนก็พลอยแปดเปื้อนไปด้วย นางเพียงคาดหวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเห็นแก่สถานะของบุตรชายทั้งสองคนเมื่อถึงเวลานั้นจะลบล้างข้อครหาของนางได้…ต่อให้ไม่ลบล้างข้อครหาให้ อย่างน้อยก็ปกป้องนางได้

แต่นางไม่อาจกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้หงหรุ่ยฟัง

สะใภ้ใหญ่สือหยุดชะงัก แล้วกล่าวว่า “ข้ากลัวจะล่วงเกินจวนหลัก และทำให้เกิดความบาดหมางกับพวกเรา”

หงหรุ่ยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวว่า “แต่ท่านก็ไม่อาจไม่ฟังคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าได้นะเจ้าคะ!”

“ใช่!” สะใภ้ใหญ่สือกล่าวอย่างทอดถอนใจ “น่าเสียดายที่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเราถึงได้เคียดแค้นจวนหลักหนัก ไม่อย่างนั้นจะได้ชดใช้ค่าเสียหายคืนให้ เพื่อบุตรชายทั้งสองคนแล้ว ข้ายอมจำนนทุกอย่าง”

เหตุผลที่จวนสามไม่มีทางสลัดชื่อนายวาณิชหลุดออกไปได้มาโดยตลอดนั้น ก็เนื่องจากมีจวนหลักและจวนรองร่วมมือกันกดขี่เอาไว้

หากว่าจวนหลักใช้อุบายเดิมซ้ำอีกครั้ง เช่นนั้นก็คงยุ่งยากเสียแล้ว

เพียงแต่ว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความแค้นที่สั่งสมมานานหลายปี นางอยากจะสืบสาวราวเรื่องก็สืบไม่ถึงสาเหตุที่เป็นต้นตอได้เลย อาจจะต้องรอให้ท่านผู้นำตระกูลสิ้นชีพไปเสียก่อนจึงจะเข้าใจเป็นที่ประจักษ์

หงหรุ่ยจึงไม่กล้าซักไซ้ไล่เลียงให้มากความ

นางกล่าวว่า “ท่านสะใภ้ใหญ่รีบรับประทานข้าวหมากนี้เถิด หากเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”

สะใภ้ใหญ่สือพยักหน้า พลางยกถ้วยข้าวหมากขึ้นมารับประทานสองสามคำ แล้ววางถ้วยลงอย่างใจลอย กล่าวว่า “นายท่านได้ส่งจดหมายมาหรือไม่”

“ยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ” หงหรุ่ยยิ้มน้อยๆ ตอบ “ท่านเพิ่งจะได้รับจดหมายจากนายท่านเมื่อสองวันก่อนมิใช่หรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าคงไม่มีจดหมายส่งมาอีกเร็วขนาดนี้หรอกเจ้าค่ะ!”

สีหน้าของสะใภ้ใหญ่สือห่อเหี่ยวลงหลายส่วนอีกครา

หงหรุ่ยกล่าวปลอบใจว่า “ท่านผู้นำตระกูลไม่ได้บอกเอาไว้หรือว่า ท่านได้ฝากฝังให้มิตรสหายเก่าช่วยดูแลนายท่าน นายท่านจะไม่เป็นไร ท่านอย่าได้กังวลไปเลยนะเจ้าคะ”

ทว่าสะใภ้ใหญ่สือกลับขมวดหัวคิ้วมุ่น พลางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาตลอด ตามหลักแล้ว พวกเราควรจะจับตามองเฉิงเจียซ่านถึงจะถูก แต่ไฉนข้าถึงได้รู้สึกว่าท่านผู้นำตระกูลกลับเพ่งเล็งนายท่านสี่ฉือเสียมากกว่า ราวกับ…ราวกับว่าหากปราบนายท่านสี่ฉือได้แล้ว จวนหลักก็จะไม่เป็นที่น่าเกรงขามอีกต่อไปก็ไม่ปาน…ข้าก็ไม่รู้ว่าลางสังหรณ์นี้ถูกต้องหรือไม่…อยากจะไปหานายท่านเพื่อปรึกษาดูสักหน่อย ในตอนแรกข้าเพียงนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะหักหน้าจวนหลัก อีกทั้งหลังๆ มานี้เรือนหานปี้ซานมักจะยกย่องชมเชยคุณหนูรองของจวนสี่อยู่เสมอ จึงคิดอยากจะทำให้นางขายหน้าอับอายสักหน่อย ทำให้จวนหลักพลอยเสียหน้าไปด้วย แต่ไม่คิดเลยว่าพอท่านผู้นำตระกูลทราบเรื่องเข้ากลับส่งเหลียงอี๋เหนียงมาไต่ถามถึงงานอ่านบทกลอน…หากจะกล่าวหาว่าข้าทำผิด แม้ท่านผู้นำตระกูลไม่ถึงกับต้องการตำหนิข้า แต่ก็ควรจะตักเตือนข้าอย่างอ้อมๆ สักสองสามประโยค แต่หากว่าข้าทำถูกแล้ว ก็ควรจะบอกข้าอย่างเป็นนัยสักสองสามประโยคถึงจะถูก แต่ท่านผู้นำตระกูลกลับไม่เอ่ยคำใด หรือกลัวข่าวลือจะแพร่งพรายออกจากปากของข้าอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ข้าสับสนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะถูก!”

หงหรุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ไม่เช่นนั้น ท่านเขียนจดหมายหานายท่านอีกครั้ง ดูว่านายท่านจะว่าอย่างไรดีหรือไม่เจ้าคะ”

สะใภ้ใหญ่สือนิ่งเงียบอยู่นาน

นางเคยลองสืบถามจากฮูหยินผู้เฒ่าดูแล้ว ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับเอ่ยตอบนางอย่างคลุมเครือ แต่นางไม่อาจซักไซ้ไล่เลียงให้มากนัก ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ต่อให้แม่สามีของนางจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ก็ควรจะทราบเรื่องปมพยาบาทของทั้งสองจวนบ้างไม่มากก็น้อย หนำซ้ำสามียังเคารพนับถือฮูหยินผู้เฒ่าเสมอมา แทนที่จะเขียนจดหมายไถ่ถามสามีแล้วเสี่ยงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นตระหนก ไม่สู้นางหาทางล้วงเอาข้อมูลจากปากของแม่สามีเองเสียยังจะดีกว่า

ครั้นนางตัดสินใจได้แล้ว จิตใจก็เบิกบานขึ้นมาตามไปด้วย กำชับหงหรุ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเก็บมาสนใจแล้ว ข้ามีแผนของข้า”

หงหรุ่ยราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก

นางรับใช้สะใภ้ใหญ่สือมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกนึกคิดย่อมแตกต่างกัน ทว่าเรื่องราวเกี่ยวกับความลับในตระกูลประเภทนี้ ยิ่งนางรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการดีต่อนางมากเท่านั้น

***

ภายในเรือนเจียซู่ ฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับเฉิงเหมี่ยนต่างมองหน้ากันและกันแต่ไม่เอ่ยคำใด บรรยากาศตึงเครียดยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวกับบุตรชายและบุตรสะใภ้ว่า “ข้าคิดว่า เรื่องนี้ต้องบอกเสาจิ่นสักหน่อย เด็กคนนี้รอบคอบยิ่ง หากว่าไม่ใช่ถ้อยคำของนางที่กระตุ้นความสนใจของพวกเราล่ะก็ พวกเราก็คงยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ได้เลวร้ายมาถึงขั้นนี้แล้ว”

เฉิงเหมี่ยนรีบลุกขึ้นมาพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้ากลับไปที่ห้องหนังสือก่อนนะขอรับ”

เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว มารดาเรียกโจวเสาจิ่นมาพูดคุย การที่เขาอยู่ตรงนี้ความหมายย่อมไม่เหมือนกันแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนส่งสามีออกไป แล้วรีบบอกให้สาวใช้เด็กไปเรียกสองพี่น้องตระกูลโจวมาทันที

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติ พลางลูบลูกประคำไม้กฤษณาสิบแปดเม็ดภายในมือทีละเม็ด กระทั่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้ลืมตาขึ้น พลางพยักเพยิดให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปปิดประตู กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสาจิ่น ข้าให้พ่อบ้านในบ้านไปตรวจสอบรายได้ในคลังกองกลางของจวนหลักมาแล้ว ได้ยินเสมียนในห้องบัญชีผู้หนึ่งกล่าวว่า รายได้ของคลังกองกลางในซอยจิ่วหรูแต่ละปีคือสองพันเหลี่ยง รายได้จากที่นามีเพียงห้าร้อยเหลี่ยง ส่วนรายได้อื่นๆ ล้วนมาจากร้านเครื่องเคลือบร้านหนึ่งที่ถนนต้าซื่อข้างนอกวัดเทียนเจี้ย ร้านเครื่องเคลือบนี้เป็นร้านที่ได้รับตอนที่จวนหลัก จวนรองและจวนสามแยกจวนกัน หลังจากที่นายท่านสี่รับช่วงดูแลกิจการในตระกูล จวนหลักกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ ทั้งยังเริ่มกิจการค้าเกลือและการขนส่งทางทะเล วันเวลาในช่วงที่ผ่านมานี้จึงเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ”

ความงงงวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวเสาจิ่น

ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้ความสำคัญกับถ้อยคำของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เจ้ามีเรื่องอะไรก็บอกมาเถิด”

โจวเสาจิ่นถึงได้เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่าแต่ละปีร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ได้เงินปันผลมากเท่าใดเจ้าคะ”

“ลุงใหญ่ของเจ้าไปตรวจสอบมาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบ “ทุกๆ ปีจวนของพวกเราได้รับห้าพันเหลี่ยง ส่วนจวนหลักได้รับหนึ่งหมื่นเหลี่ยง”

“เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นนึกถึงเครื่องเรือนเหล่านั้นภายในเรือนหานปี้ซาน “ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแต่งงานออกเรือน ช่วงนั้นตระกูลกัวก็ตกระกำลำบาก เป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลกัวจะซื้อสินสอดมากมายเพียงนั้นให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านน้าฉือจะใช้สินเจ้าสาวของฮูหยินหยวนด้วยเช่นกัน ต่อให้จวนหลักมีรายได้หนึ่งหมื่นสองพันเหลี่ยงในแต่ละปีก็ตาม แต่ท่านลองพิเคราะห์ดูอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มของจวนหลักดู อย่างไรก็ไม่เหมือนกับว่าเพิ่งจะรุ่งเรืองขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เครื่องประดับหลายชิ้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้ข้าเป็นรางวัลเหล่านั้น แต่ละชิ้นล้วนเป็นเครื่องประดับชั้นดี สำหรับตระกูลสามัญชนอาจใช้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลได้เลยนะเจ้าคะ เครื่องประดับเหล่านี้ต่อให้มีเงินทองก็ไม่อาจหาซื้อเมื่อใดก็ได้ เห็นได้ชัดว่าเก็บรักษามาหรือซื้อมาเป็นเวลานานแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้ารัวอย่างห้ามไม่อยู่ สายตาที่มองโจวเสาจิ่นยิ่งแฝงความชื่นชมมากขึ้นหลายส่วน พลางกล่าวว่า “ลุงใหญ่ของเจ้าก็คิดเหมือนกับเจ้า สงสัยว่าจวนหลักยังมีรายได้จากทางอื่นอีก เพียงแต่รายได้ส่วนนี้ตรวจสอบอย่างไรก็หาไม่พบ หากจะกล่าวว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ซื้อมาหลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าของจวนหลักรับราชการละก็ เช่นนั้นนายท่านผู้เฒ่าของจวนหลักจะต้องยักยอกเงินทองมากเพียงใดถึงจะซื้อทรัพย์สมบัติส่วนนี้มาได้ แต่นายท่านผู้เฒ่าของจวนหลักกลับขึ้นชื่อว่าเป็นคนซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม นี่เป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วในบรรดาขุนนางที่ทำงานร่วมกับนายท่านผู้เฒ่าของจวนหลักทุกคน หากว่าคนผู้หนึ่งต้องการฉ้อโกง ย่อมต้องมีเส้นสายใช่หรือไม่ แม้นจะปิดบังได้คนหนึ่ง แต่ไม่อาจปิดบังทุกคนได้หรอกกระมัง…

…ดังนั้นลุงใหญ่ของเจ้าจึงไปตรวจสอบทรัพย์สินที่ดินของจวนรองและจวนสามด้วยเช่นกัน…

…สำหรับจวนรองนอกจากที่นาและร้านค้าที่ได้รับยามที่แยกจวนแล้ว ไม่คาดคิดว่าหลายปีมานี้จะไม่ได้ซื้อทรัพย์สินที่ดินอื่นใดอีกเลย แต่กลับเป็นลูกค้ารายใหญ่ของร้านเครื่องเงินหย่งฝูเซิ่งที่ใหญ่ที่สุดในจิงเฉิง ทุกๆ ปีร้านหย่งฝูเซิ่งจะส่งผู้จัดการใหญ่ของร้านมาคารวะท่านผู้นำตระกูล จวนรองนั้นแม้จะเป็นเพียงพ่อบ้านผู้หนึ่งที่มีธุระต้องไปจิงเฉิง ร้านหย่งฝูเซิ่งจะส่งบ่าวรับใช้ระดับผู้จัดการร้านมาให้การต้อนรับและติดตามดูแล…

…ทว่าจวนสามกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงบริหารจัดการร้านโอสถที่ได้รับเมื่อตอนแยกจวนให้กลายเป็นร้านโอสถใหญ่ที่มีสาขามากถึงสิบสามสาขา ภายใต้จวนสามยังมีเหลาสุรา โรงรับจำนำ โรงสกัดน้ำมัน ร้านขนม…และร้านอื่นๆ อีกมากมาย การค้าแทบทุกอย่างที่ทำเงินได้ล้วนมีจวนสามเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย…

…ความคิดเห็นของท่านลุงใหญ่ของเจ้าคือ หากมีรายได้ที่ว่านี้จริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นรายได้ส่วนนี้ต้องมีแค่จวนหลักและจวนรองที่ได้ร่วมแบ่งกัน ไม่มีส่วนของจวนสาม และแปดถึงเก้าในสิบส่วนของรายได้ส่วนนี้อยู่ในมือของนายท่านสี่ผู้ดูแลกิจการของตระกูล…

…ตอนนี้จวนรองเสื่อมถอยลงแล้ว ทว่าจวนหลักกลับเฟื่องฟูเบ่งบานประหนึ่งดอกไม้สดนานาสีสันก็ไม่ปาน เมื่อถึงยามที่โหย่วอี๋กับเจียซานต่างต้องใช้เงินทอง เป็นไปได้มากว่าถึงเวลานั้นจวนรองจะกลัวจวนหลักฮุบรายได้ส่วนนี้ไปใช้แต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งขึ้นกับจวนหลัก…

…ด้วยเหตุที่รายได้ส่วนนี้ไม่อาจตรวจสอบได้จากที่ไหน พวกเราจึงไม่รู้ว่าจวนหลักไปก่อเรื่องอะไรมาถึงได้ทำให้จวนรองเข้าใจผิดหรือว่าจวนรองคาดเดาไปเองอย่างไร้มูลเหตุเหมือนดังชายหนุ่มจากเมืองฉี่ที่กังวลว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา[1]…”

ขณะที่ฮูหยินใหญ่กำลังเอ่ยปากเล่าทุกอย่างในคราวเดียวอยู่นั้น ทางด้านโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นกลับตกตะลึงตาค้างอยู่นาน ผ่านไปครู่หนึ่งสติก็ยังไม่คืนกลับมา โดยเฉพาะโจวเสาจิ่นที่ราวกับมีคลื่นใหญ่ถาโถมอยู่ในใจ ไม่อาจสงบลงมาได้กว่าพักใหญ่

ตระกูลเฉิงยังมีความลับอะไรอีกกันแน่

ที่ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์สินจะเกี่ยวข้องกับความลับนี้หรือไม่นะ

ทั้งห้าจวนในซอยจิ่วหรูต่างใกล้ชิดสนิทสนมเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน เหตุใดจวนหลักกับจวนรองถึงได้ปิดบังอีกสามจวนที่เหลือกันเล่า

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันใด

ยามที่สุขสำราญจวนหลักกับจวนรองต่างเสวยสุขกันเอง แต่ยามที่ตกทุกข์ได้ยากจวนสี่ต้องไปรับเคราะห์กรรมร่วมกับพวกเขาด้วย ไหนเลยจะมีเรื่องต่ำช้าถึงเพียงนี้ได้!

คราวนี้ นางจะต้องดึงจวนสี่ออกมาให้ได้

ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นทุกคนต่างก็ต้องโชคร้ายไปตามๆ กัน!

หนำซ้ำเพียงแค่ช่วยจวนสี่ให้รอดย่อมง่ายกว่าช่วยทั้งซอยจิ่วหรูให้รอดมากนัก

นางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านยายเจ้าคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราแยกตัวออกไปเสียจะดีกว่ากระมัง ซอยจิ่วหรูยุ่งเหยิงซับซ้อนเกินไป ข้าเกรงว่าจวนสี่ของพวกเราจะเสียเปรียบเอาได้เจ้าค่ะ!”

………………………………………………………………….

[1] ชายหนุ่มจากเมืองฉี่ที่กลัวว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา เปรียบเปรยได้ว่า ตีตนก่อนไข้