ตอนที่ 182 ปฏิกิริยาตอบกลับ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวตำหนิด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “พวกเด็กๆ พูดจาไม่รู้จักหนักเบา การแยกตระกูลออกไป เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องง่ายเพียงนั้นหรือ…” กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอ้าปากค้างพูดไม่ออกขึ้นมาในทันใด บนใบหน้าปรากฏสีหน้าพรั่นกลัวออกมาเล็กน้อย

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” เกรงว่าถ้อยคำของโจวเสาจิ่นจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธขึ้ง นางรีบกระทุ้งโจวเสาจิ่น “ยังไม่รีบกล่าวขอโทษท่านยายของเจ้าอีก” แต่เจตนาที่ต้องการจะปกป้องโจวเสาจิ่นกลับฉายชัดอยู่ในคำพูดและท่าทางของนาง จากนั้นเกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหไปเลยนะเจ้าคะ ท่านกล่าวเองมิใช่หรือว่า พวกเด็กๆ พูดจาไม่รู้จักหนักเบา รอให้นางโตขึ้นอีกสักสองปี ก็จะรู้ความมากขึ้นแล้ว ท่านอย่าได้โกรธเลยนะเจ้าคะ นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน…”

บางทีอาจเป็นเพราะว่าไม่รู้จะช่วยตระกูลเฉิงให้รอดปลอดภัยได้อย่างไร ความคิดนี้จึงแล่นผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ด้วยเหตุนี้โจวเสาจิ่นก็เลยโพล่งถ้อยคำเหล่านี้ออกมายามที่รู้สึกกระวนกระวาย

นางรู้สึกกระดากอายระคนละอายใจไปด้วย

ในตอนแรกที่ทั้งห้าจวนแยกจวนกัน จวนหลักยังนำเงินทองส่วนหนึ่งจากรายได้ของตนเองมาช่วยเหลือค้ำจุนจวนสี่ ทำให้จวนสี่ยืนหยัดดำรงอยู่ต่อไปได้หลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าเซวี่ยนเสียชีวิตจากไป ต่อมายังประคับประคองจวนสี่โดยให้มาร่วมเป็นหุ้นส่วนของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อีก วันเวลาของจวนสี่ถึงได้รุ่งเรืองขึ้นมา กล่าวได้ว่า สำหรับจวนสี่แล้วจวนหลักมีพระคุณเหลือล้นดั่งภูผา…ยามนี้ตระกูลเฉิงตกระกำลำบาก นางกลับโน้มน้าวให้จวนสี่แยกตระกูลออกจากตระกูลเฉิง…เช่นนั้นจะต่างอะไรกับผู้ที่ยินดีแบ่งปันความทุกข์ยากแต่หนีหายยามสุขสบายเล่า

นางรีบกล่าวขอโทษฮูหยินผู้เฒ่ากวน “ท่านยายเจ้าคะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่คิดเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ…”

โจวเสาจิ่นลอบกล่าวอยู่ในใจว่า รอให้นางเล่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลให้จวนหลักทราบเสียก่อน แล้วค่อยหยิบยกเรื่องแยกตระกูลมาพูดอีกครั้งก็ยังไม่สาย

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนราวกับไม่ได้ยินว่าพวกนางเอ่ยกล่าวอะไรก็ไม่ปาน พึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ๆ!”

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ มองตากันปริบๆ อย่างช่วยไม่ได้

สองพี่น้องตระกูลโจวส่งสายตาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนครั้งหนึ่ง

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนลังเลเล็กน้อย แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ ไฉนข้าถึงฟังแล้วไม่เข้าใจเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเสมือนตื่นขึ้นจากภวังค์ จ้องฮูหยินใหญ่เหมี่ยนด้วยสายตาเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้รู้สึกตัว แล้วเหลือบมองทั้งสามคนที่อยู่ในห้องด้วยสีหน้าจริงจัง พลางกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องแยกตระกูล พวกเจ้าห้ามเอ่ยถึงอีก นอกจากจะเอ่ยถึงไม่ได้แล้ว แม้แต่คิดก็อย่าได้คิด เดิมทีก่อนที่ท่านทวดของพวกเจ้าจะสิ้นใจท่านเคยถามข้ากับท่านตาของเจ้า บอกว่าพวกเรากับจวนหลัก จวนรองและจวนสามกลายเป็นญาติห่างๆ กันแล้ว หากหมายจะแยกตระกูลออกมา ก็ให้บอกท่านยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไม่เป็นภาระของข้ากับท่านตาของเจ้า หากว่าปรารถนาจะแสวงหาร่มเย็นใต้ต้นไม้ใหญ่ หวังจะได้รับการคุ้มครองโพยภัยจากจวนหลักและจวนรอง เช่นนั้นต่อไปก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่ตระกูลถูกล้มล้างจนสูญสิ้นไป ก็ไม่อาจกระทำเรื่องที่เป็นการหักหลังซอยจิ่วหรูได้ และไม่อาจมานึกเสียใจภายหลังได้เช่นกัน จำต้องรู้ว่าครั้นเจ้าเสวยสุขบนทรัพย์สมบัติของตระกูล ก็ต้องทุ่มเทกำลังเพื่อวงศ์ตระกูล…ตอนนี้เห็นทีว่า ถ้อยคำที่ท่านทวดของพวกเจ้ากล่าวมานั้น อาจจะหมายถึงรายได้ส่วนนี้ก็เป็นได้ เกรงว่ารายได้ส่วนนี้จะมีที่มาที่ไปที่ไม่โปร่งใสมากนัก และอาจนำพาความวุ่นวายมาสู่ตระกูลได้…” กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเล็กน้อย นางกำชับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าห้ามบอกผู้ใดแม้แต่คำเดียว เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของซอยจิ่วหรูก็เป็นได้ เจ้ารีบไปเรียกนายท่านใหญ่เข้ามา นายท่านใหญ่เพียงรู้สึกว่าสถานการณ์ระหว่างจวนหลักกับจวนรองมีพิรุธอยู่บ้างเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ถึงภัยอันตรายนี้!”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไหนเลยยังจะนั่งลงอยู่ได้ เลิกกระโปรงขึ้นแล้วรีบเดินออกไป

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นนั้น คนหนึ่งไปช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวน อีกคนหนึ่งไปรินน้ำชาร้อนๆ จอกใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่ากวน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดื่มชาแล้ว ก็หายใจหายคอสะดวกขึ้น จึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี เรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งไปบอกพี่ชายเก้ากับพี่ชายอี้ของพวกเจ้า รอให้ข้ากับลุงใหญ่ของพวกเจ้าปรึกษาหาคำตอบให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปบอก ประเดี๋ยวลุงใหญ่ของพวกเจ้าจะมาแล้ว พวกเจ้ากลับไปที่เรือนหว่านเซียงก่อนเถิด!” จากนั้นถ้อยคำก็ชะงักลงเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกว่า “ทางด้านบิดาของพวกเจ้า…หากพวกเจ้าคิดจะบอกเขา ก็จำเอาไว้ว่าอย่าเขียนเป็นจดหมาย แต่ให้ส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้นำความไปแจ้งด้วยตัวเองแทน”

ทั้งสองพี่น้องต่างขานรับ “เจ้าค่ะ” ตามกัน แล้วออกจากเรือนเจียซู่ไป

โจวชูจิ่นดึงตัวโจวเสาจิ่นไปใต้ต้นการบูรข้างๆ ทางเดินเพื่อหารือ

“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ควรบอกท่านพ่อหรือไม่” นางรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ “หากบอกท่านพ่อ ท่านพ่อไม่อาจนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจเป็นแน่ แต่ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของตระกูลเฉิง ท่านพ่อจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้อย่างไร แต่ถ้าหากไม่บอกท่านพ่อ ครั้นจวนสี่ประสบเคราะห์ภัย พวกเรายังจะมีหน้าพบท่านยาย ท่านลุง ท่านป้าและพี่ชายทั้งสองคนได้อย่างไรเล่า”

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกปลื้มปิติอยู่ในใจ

หลังจากที่นางกลับชาติมาเกิด เรื่องที่นางเฝ้าคะนึงหาอย่างไม่ลืมเลือนก็คือการทำให้ตระกูลเฉิงรอดพ้นจากหายนะ แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวเยาว์วัยที่ฐานะต่ำต้อย สำหรับนางแล้วบรรดานายท่านใหญ่ทั้งหลายล้วนเปรียบเสมือนภูเขาไท่ซานซึ่งเป็นหนึ่งในห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเต๋าอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ใครจะรู้ว่านางกลับงัดศิลาก้อนนี้ขึ้นมาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

ครั้นมีพวกผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องราวในชาติก่อนเลยสักคำ แต่ก็อาจจะช่วยตระกูลเฉิงให้พ้นวิบัตินี้ไปได้ก็เป็นได้!

“แน่นอนว่าต้องบอกท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างมั่นใจ “สุดท้ายแล้วท่านพ่อก็เป็นบุตรเขยของตระกูลเฉิง หากว่าตระกูลเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ต่อให้ท่านพ่อไม่ถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย แต่เกรงว่าคงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในภายภาคหน้าได้”

โจวชูจิ่นไหนเลยจะไม่เข้าใจ แต่นางไม่เหมือนกับโจวเสาจิ่นที่รู้เรื่องราวในอนาคต เวลาที่ต้องตัดสินใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์หรือความเป็นความตายของตระกูลเฉิง อย่างไรนางก็ลังเลและไม่มั่นใจอยู่บ้าง น้ำเสียงของน้องสาวที่หนักแน่นและเฉียบขาดยิ่งนักช่วยสร้างความมั่นใจให้นาง นางผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าจะให้หม่าฟู่ซานนำความไปแจ้งท่านพ่อ ดูว่าท่านพ่อจะว่าอย่างไร แล้วพวกเราพี่น้องค่อยมาวางแผนกันอีกที!”

เช่นนี้ย่อมดีที่สุด

โจวชูจิ่นรีบเรียกหม่าฟู่ซานมาที่จวน

ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้รับข่าวแล้ว รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก กระซิบกล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงดูฟูมฟักพวกนางสองพี่น้องมาอย่างดี”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกไม่สบายใจ จึงคลี่ยิ้มพลางหยอกเย้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ข้านับพวกนางสองพี่น้องเป็นเสมือนบุตรแท้ๆ ของข้ามานานแล้ว ใครจะรู้ว่าท่านยังขีดเส้นแบ่งแยกพวกนางเช่นนี้อยู่อีกหรือเจ้าคะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ ต่อให้จวนหลักกับจวนรองกระทำความผิดอะไรขึ้นมาข้าก็ไม่หวาดหวั่นอีกแล้ว เมื่อทุกคนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน ความสมัครสมานสามัคคีนี้ย่อมหักทองคำลงได้!”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าไม่หยุด

ตกบ่าย โจวเสาจิ่นยังคงไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานตามปกติ แต่เห็นได้ชัดว่านางนิ่งเงียบมากกว่าทุกที

เสี่ยวถานกระซิบถามชุนหว่านว่า “คุณหนูรองอารมณ์ไม่ดีหรือ”

ชุนหว่านชำเลืองมองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่ง แล้วกระซิบตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะพี่สาวซือเซียงใกล้จะออกจากจวนแล้ว พี่สาวซือเซียงรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูรองมาตั้งแต่คุณหนูรองอายุแปดขวบ”

“ถึงว่า!” เสี่ยวถานกล่าว แล้วหันไปบอกปี้อวี้ว่า “พี่สาวซือเซียงจะออกจากจวนแล้ว พวกเราควรจะมอบของขวัญเป็นที่ระลึกแก่นางสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมาหลายเดือน ซือเซียงก็มารับใช้อยู่ด้วยหลายเดือน อีกทั้งอุปนิสัยของนางก็เป็นมิตรเข้ากับคนได้ง่าย จึงสนิทสนมกับปี้อวี้และเสี่ยวถานเป็นอย่างยิ่ง

“แน่นอนอยู่แล้ว!” ปี้อวี้ยังไปถามเฝ่ยชุ่ย เจินจูและหมาเหน่าอีกด้วย ทั้งสามคนต่างเห็นพ้องที่จะมอบของขวัญให้ซือเซียง พอสาวใช้คนอื่นๆ ในเรือนหานปี้ซานทราบเข้า ต่างก็ตัดสินใจรวบรวมสิ่งของนำมามอบให้ซือเซียง ไปๆ มาๆ เรื่องนี้ผ่านไปเข้าถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวว่า “การที่ซือเซียงออกจากจวนย่อมต้องไปแต่งงานเป็นแน่ ปี้อวี้ เจ้าช่วยข้าห่อเงินยี่สิบเหลี่ยงเป็นรางวัลมอบให้ซือเซียงที บอกว่าข้ามอบให้นางเป็นเงินส่วนตัว”

ปี้อวี้ยิ้มพลางรับคำ แล้วนำตุ้มหูทองและก้อนเงินที่พวกนางรวบรวมให้แก่ซือเซียงไปมอบให้ที่เรือนหว่านเซียง

ซือเซียงซาบซึ้งใจยิ่งนัก

โจวเสาจิ่นย่อมต้องพานางไปโขกศีรษะให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องใช้เวลากว่าร้อยปีในการบำเพ็ญเพียรถึงจะมีวาสนาอยู่ร่วมเรือลำเดียวกันได้ การที่เจ้าได้รับใช้คุณหนูของพวกเจ้า และได้เข้าออกเรือนหานปี้ซาน ก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคชะตาร่วมกันแล้ว” ทั้งยังกำชับนางอีกว่า เมื่อกลับไปแล้วให้กตัญญูต่อบิดามารดา ดำเนินชีวิตอย่างเที่ยงตรง อย่าทำให้ตระกูลเฉิงต้องอับอายขายหน้าและอื่นๆ

ทว่าโจวเสาจิ่นที่ฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาสะกิดใจ

การที่นางได้กลับชาติมาเกิดใหม่ และได้กลับมาเกิดในวัยสิบสองปีก่อนที่ความสัมพันธ์ของนางกับเฉิงลู่ยังไม่ชัดเจนนัก ไม่ใช่ว่าก็ถือเป็นโชคชะตาของนางกับตระกูลเฉิงอย่างหนึ่งหรอกหรือ

การไปสืบหาว่าใครถูกใครผิดนั้น แท้จริงแล้วก็ไม่มีความหมายใดๆ เลย

นางเพียงต้องทำเรื่องที่ตนควรจะทำให้ดีก็พอแล้ว

สำหรับเรื่องผลลัพธ์ การที่นางใช้ชีวิตนี้ตอบแทนตระกูลเฉิงได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว

อย่างไรก็ตามในชาติก่อนนางมีชีวิตอยู่เพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น

โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกหายกังวลขึ้นมาในทันที

นางไปหาเฉิงฉือด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ท่านน้าฉือ ท่านยังอยากจะให้ข้าเล่นหมากเป็นเพื่อนท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ”

เฉิงฉือกำลังเอนกายอิงเก้าอี้มีเท้าแขนที่ระเบียงอย่างเกียจคร้าน พลางมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย

พอได้ยินแล้วก็ยกยิ้มกล่าวว่า “วันนี้ไม่ต้องแล้ว อีกสองวันค่อยมาเดินหมากเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน!” จากนั้นเขาก็เอ่ยถามว่า “หลายวันมานี้เจ้ายังเรียนการเดินหมากกับเฉินต้าเหนียงอยู่หรือเปล่า ฝีมือพัฒนาขึ้นบ้างหรือยัง”

โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างขัดเขิน ตอบว่า “เฉินต้าเหนียงกล่าวว่า ข้าเริ่มอ่านตำราคู่มือการเดินหมากได้แล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือกล่าวว่า “เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าเรียนรู้ได้เร็วยิ่งนัก! คราวหน้าพวกเราคงเล่นหมากล้อมได้แล้วกระมัง”

โจวเสาจิ่นหัวเราะแหะๆ พลางกล่าวว่า “พวกเราเล่นหมากล้อมห้าเม็ดต่อไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ! ข้ายังต้องเรียนรู้วิธีการเล่นหมากล้อมอยู่อีกมาก”

เฉิงฉือพยักหน้าพอเป็นพิธี

โจวเสาจิ่นเดินจากไป

เฉิงฉืออดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้

ไหวซานกระซิบรายงานว่า “นายท่านสี่ขอรับ นายท่านใหญ่ของจวนสี่ กำลังตรวจสอบทรัพย์สินของพวกเรา ของจวนรองและของจวนสามอยู่ขอรับ”

“แล้วเขาค้นพบอะไรบ้าง” เฉิงฉือเอ่ยถามเสียงเบา

“ไม่พบสิ่งใดเลยขอรับ” ไหวซานเป็นกังวลเล็กน้อย “ทั้งๆ ที่เป็นคนกันเอง แต่เกรงว่าจะอยากรู้มากกว่าคนนอกมากนักขอรับ”

“อยากจะรู้ก็ปล่อยให้รู้ไป” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “เจ้าไปปล่อยข่าวลือ หากว่าพวกเขาอยากจะแยกตระกูลออกไป หุ้นส่วนของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็ซื้อขายได้ตามที่ต้องการ”

ไหวซานตกตะลึง เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นจะไม่เป็นการปล่อยจวนรองง่ายไปหรอกหรือขอรับ”

เฉิงฉือยิ้มเย็น “ช่วงที่ผ่านมานี้ไม่ใช่ว่าเขาเข้าหาผู้คนไปทั่วและอยากจะดูแลกิจการร้านตั๋วแลกเงินของตระกูลหรอกหรือ พอดีเลย ข้าจะมอบโอกาสนี้แก่เขา!”

ไหวซานกลอกลูกตาไปมาอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมาย

จวนรองไม่มีกิจการของตนเองมากสักเท่าใด เงินทั้งหมดล้วนอยู่ที่ร้านหย่งฝูเซิ่ง สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเหล่านั้น ต่อให้จวนรองใช้จ่ายกินอยู่ไปหลายชั่วคนก็ใช้ไม่หมด อยากจะทำให้จวนรองควักเงินออกมาใช้ วิธีที่ดีที่สุดคือให้จวนรองทำการค้า มีเพียงการทำการค้าเท่านั้น จึงจะทำให้ขาดทุนย่อยยับได้ ครั้นจวนรองขาดทุนย่อยยับ ภายใต้สถานการณ์ที่ตอนนี้จวนรองไม่มีผู้ใดสนับสนุนค้ำจุนตระกูลได้ จวนรองย่อมตื่นตระหนก พอตื่นตระหนกแล้ว ก็ง่ายที่จะทำเรื่องผิดพลาด เมื่อทำเรื่องผิดพลาดแล้ว ก็ง่ายที่จะถูกจับให้อยู่หมัด…แล้วก็จะกลายเป็นวังวนแห่งปัญหาไปในที่สุด

เขาอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ พลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ แผนการนี้ของท่านช่างแยบยลนัก”

เฉิงฉือยิ้มเยาะ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง เฉิงซวี่ไม่ได้โง่งมถึงเพียงนั้น”

ไหวซานแสยะยิ้ม

ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เฉิงซวี่จะไม่ได้โง่งม แต่เขาก็ไปขัดขวางความโง่เขลาของผู้อื่นไม่ได้ โชคดีที่เงินเหล่านี้ก็ไม่ได้ปล่อยผู้อื่นไปง่ายดายนัก”

จริงด้วย หากว่าจวนสี่กับจวนห้าต่างขายหุ้นในมือไปละก็ ย่อมต้องทำให้จวนรองสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน

………………………………………………