บทที่ 101 เปลี่ยนมุมมอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 101 เปลี่ยนมุมมอง

คมกระบี่เป็นประกายสีแดงวาบราวดอกไม้ไฟที่ถูกจุดยามค่ำคืน

นี่คือการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 ผนวกเข้ากับวิชา ‘กระบี่เพลิงไสว’ ซึ่งเป็นวิทยายุทธ์ระดับ 1 ดาว เมื่อรวมกันแล้วก็กลายเป็นการโจมตีที่น่ากลัวมาก

เซี่ยโหวฉ่งภูมิใจในความสามารถของตนเองเสมอ

กระบี่ในมือเขาเมื่อถูกแทงออกไปแล้ว แม้แต่ขุนเขาก็ไม่อาจต้านทานได้

ไป๋ชินหยุนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที สัญชาตญาณสั่งให้นางล่าถอย

ระดับพลังในปัจจุบัน เด็กสาวยังไม่สามารถต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 ได้

แต่จังหวะที่เด็กสาวกำลังจะถอยหลังกลับนั้นเอง นางก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมา ทำให้ต้องยืนอยู่ที่เดิมต่อไป

“กระบี่นี้มีพลังโจมตีหนักหน่วงมาก…หลินเป่ยเฉินจะสามารถต้านรับได้หรือไม่?”

ความสงสัยข้อนั้นปรากฏขึ้นในใจไป๋ชินหยุน

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง…

หลินเป่ยเฉินก็ชักกระบี่วิหคครามออกจากข้างเอว

วูบ!

คมกระบี่เป็นประกายสีครามในอากาศ

ประกายกระบี่สีแดงครามตวัดตัดกัน เกิดสะเก็ดไฟกระจายขึ้นวับวาว แล้วทุกอย่างก็จางหายไป

หลังจากนั้น…

“อ๊าก…”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น

ดังออกมาจากปากของเซี่ยโหวฉ่ง

เด็กหนุ่มถอยไปด้านหลังเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต ใบหน้าซีดขาว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากข้อมือ

“เจ้า…”

กระบี่ของเซี่ยโหวฉ่งตกลงไปบนพื้นดิน ความเจ็บปวดที่พบเจอ ทำให้เหงื่อกาฬผุดพราวขึ้นมาเต็มหน้าผาก

ใบหน้าของเซี่ยโหวฉ่งเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นระคนหวาดหวั่น ปากตวาดว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้ากล้าตัดเส้นเอ็นของข้าได้อย่างไร? ไม่คิดว่าลงมืออำมหิตเกินไปหรือ?”

“ใครใช้ให้ฝีมือของเจ้าต่ำต้อยมากเกินไปล่ะ!” หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มเหยียดหยาม “ข้ายังไม่ทันได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับพ่ายแพ้เสียแล้ว นับว่าเป็นเศษขยะไร้ความสามารถจริงๆ”

เซี่ยโหวฉ่งทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น ทั่วกายรู้สึกเย็นเฉียบ สายตาก็ดูเหมือนจะพร่าเลือนไป

เขามีสถานะเป็นถึงหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะประจำชั้นปีที่ 3 ของสถานศึกษากระบี่หลวง แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินในกระบวนท่าเดียว

นี่คือสิ่งที่เซี่ยโหวฉ่งไม่มีวันคิดว่าจะเกิดขึ้น

หลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งมากกว่าในข่าวลือ

แต่ผู้ที่ตื่นเต้นตกใจไม่แพ้กลุ่มคนดูในขณะนี้ ก็คือตัวของหลินเป่ยเฉินเอง

หลังเปิดแอปฝึกวิชาในโทรศัพท์ 10 วันเต็ม นอกจากจะใช้ฝึกวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ กระบี่รักนิรันดร์ วิชาวิหคดั้นเมฆ และวิชาย่องหาโฉมสะคราญแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยังเปิดการทำงานของแอปการโคจรพลังลมปราณระดับสูง รวมถึงแอปกระบี่เร้นกายฉบับสมบูรณ์เอาไว้อีกด้วย

นั่นส่งผลให้ในตอนนี้ ยังไม่ต้องใช้พลังลมปราณช่วยเหลือ หลินเป่ยเฉินก็มีพลังโจมตีจากร่างกายถึง 1,000 ชั่งแล้ว

ในขณะที่เซี่ยโหวฉ่งซึ่งอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 สามารถใช้พลังลมปราณโจมตีได้ 1,000 ชั่งก็จริง แต่กลับมีพลังโจมตีจากร่างกายอ่อนด้อยเพียง 300 ชั่งเท่านั้นเอง

นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะเซี่ยโหวฉ่งได้ทั้งตอนที่ใช้ลมปราณและไม่ใช้ลมปราณ

เมื่อสักครู่นี้ กระบวนท่าที่หลินเป่ยเฉินใช้ออกมาก็คือวิชา ‘กระบี่ทะลวงจันทร์’

เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนทำภารกิจได้สำเร็จ หลังจากวางกลยุทธ์มาเป็นอย่างดี

เปรียบเสมือนการสามารถเผด็จศึกสาวงามบนเตียงนอนได้นั่นเอง

แม้ว่าตอนที่อยู่โลกมนุษย์…เขาจะยังไม่เคยทำเรื่องนั้นสำเร็จมาก่อนก็ตาม

“ก่อนหน้านี้เจ้าว่าข้าไม่มีฝีมือมากพอ ตอนนี้เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินขยับเท้าออกมาข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับข้ามากมายเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เจ้าไม่มีหลักฐาน กลับกล้ามาทำลายภาพลักษณ์ของข้าและสถานศึกษากระบี่ที่สาม เซี่ยโหวฉ่ง สิ่งที่เจ้าเพิ่งทำลงไปนั้น รู้ตัวหรือไม่ว่ามันทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลกไปแล้ว ต่อให้เจ้าบอกว่าตนเองเป็นหนึ่งในอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง คิดหรือว่าจะมีใครเชื่อถือคำพูดของเจ้าได้อีก?”

“เจ้า…” เซี่ยโหวฉ่งกัดฟันกรอด “ข้า…ข้าไม่ทันสังเกตมาก่อน เจ้า…”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นับว่าเจ้าปากพล่อยเกินไปแล้ว”

พรึ่บ!

ทันใดนั้น เสียงนกกระพือปีกดังขึ้น

หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบา ‘วิหคดั้นเมฆ’ ลอยตัวเข้าไปตบหน้าเซี่ยโหวฉ่งหลายครั้งติดๆ กัน

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังสนั่น

เซี่ยโหวฉ่งรู้สึกเหมือนแก้มของตนเองถูกค้อนฟาด ดวงตาเห็นดาวระยิบระยับ เกือบจะสลบเต็มที

ผลั่ก!

หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบฝ่ายตรงข้ามกลิ้งกระเด็นไปพร้อมกับคำรามว่า “ต่อจากนี้จงระวังปากของเจ้าด้วย…ดูถูกข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้ากล้าดูถูกแม่นางหลิงเฉินได้อย่างไร เจ้าคิดว่ายอดอัจฉริยะประจำเมืองอย่างนาง จะเป็นคนบ้าผู้ชายสามารถโดนข้าหลอกลวงเอาได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?…เศษขยะอย่างเจ้า ต่อให้โง่หรือชั่วร้ายสักเพียงใด อย่างน้อยก็ไม่สมควรพูดเรื่องแบบนี้ออกมาเลย”

เซี่ยโหวฉ่งกระเด็นไปนอนกองอยู่ตรงหน้าศาลาริมน้ำ

ตลอดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทุกคนรู้สึกเหมือนได้เป็นพยานเห็นนกเหยี่ยวบินโฉบลงมาจัดการกระต่ายป่า แววตาของพวกเขาเป็นประกายวาวโรจน์

บางคนยังตั้งตัวไม่ติดด้วยซ้ำกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อย่างเช่น ไป๋ชินหยุนที่ตอนนี้ยืนอ้าปากค้าง ยังไม่หายจากอาการตะลึงงัน

ณ ชั้นสามของจวนผู้ว่า

“นี่มันอะไรกัน?”

เมื่อพบว่าเหตุการณ์กลับกลายไปไม่เป็นอย่างที่คิด ชินหลันซูก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาแล้ว

“หลันซู เจ้าไม่อยากเชื่อใช่ไหมล่ะ?”

ท่านผู้ว่าการหลิงจุนเซวียนหรี่ตามองพร้อมกับยิ้มกว้าง

“คิดไม่ถึงเลยว่าคนไม่เอาไหนอย่างเจ้าเด็กนี่ จะสามารถพูดถ้อยคำที่คมคายเช่นนี้ออกมาได้จริงๆ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจนัก”

หญิงสาวหมายถึงคำพูดที่หลินเป่ยเฉินกล่าวตอนถีบเซี่ยโหวฉ่งกระเด็นกลับไป

นางและสามียืนดูเหตุการณ์ตลอดเวลาจากบนนี้ คอยสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายในงานเลี้ยง

คำพูดของเซี่ยโหวฉ่งทำให้ชินหลันซูเดือดดาลอยู่ไม่น้อย

นายน้อยจากตระกูลเซี่ยโหวกำลังมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉินอยู่แท้ๆ เหตุไฉนจึงต้องลากบุตรสาวของนางไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า

เซี่ยโหวฉ่งกำลังจะบอกทุกคนว่า หลิงเฉินเป็นเพียงเด็กสาวไร้สมองที่บ้าบุรุษคนหนึ่งเท่านั้นเองหรือ? เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไรกัน?

หลังจากนี้ นางตัดสินใจแล้วว่าจะต้องสั่งสอนบทเรียนแก่ตระกูลเซี่ยโหวสักหน่อย

และชินหลันซูก็ตัดสินใจว่าจะจัดการหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน

แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นเศษขยะไร้ค่าประจำเมือง กลับสามารถพูดถ้อยคำที่คมคายออกมาตอกหน้าฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเจ็บแสบ และนั่นทำให้ชินหลันซูต้องเปลี่ยนมุมมองต่อตัวเขาไปเล็กน้อย

“ฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้วไงว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่คนเขาลือกัน” ท่านผู้ว่าการยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “แม้แต่ท่านพ่อก็ยังชื่นชมเขาอยู่พอสมควร”

“จะดีเด่นแค่ไหนก็ไม่สำคัญอยู่ดีเจ้าค่ะ” ใบหน้าที่สวยงามของชินหลันซูพลันกลับมาเย็นชาอีกครั้ง นางหมุนตัวมามองหน้าสามี กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ข้าขอแนะนำให้พวกท่านพ่อลูกเลิกคิดไร้สาระได้แล้ว เฉินเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของข้า ท่านจงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี ข้ารักนางไม่แพ้พวกท่าน และนางจะต้องแต่งงานกับเว่ยหมิงเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น”

สุดท้าย หนึ่งในกลุ่มเด็กหนุ่มที่อยู่ในศาลาริมน้ำก็ทนไม่ไหว

“ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเจ้าจะปิดบังความสามารถเอาไว้จริงๆ สินะ”

เด็กหนุ่มชุดม่วงอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลา

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปจ้องมองเด็กหนุ่มผู้นั้น ขณะคิดอยู่ในใจว่า “แค่นี้ยังเล่นใหญ่ไม่พออีกหรือไง ทำไมอาจารย์ติงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก”

สายตาของเด็กหนุ่มชุดม่วงที่จ้องมองมาไม่ต่างจากคมกระบี่สองเล่ม เขาหัวเราะในลำคอก่อนกล่าวว่า “อายุเพียงเท่านี้ เจ้ากลับรู้จักวางแผนหลอกลวงผู้คน ซ้ำยังมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเพราะอะไรจึงมีคนจำนวนมากมายโดยเจ้าหลอกใช้ และทำให้เจ้าสามารถผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ”

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว”

หลินเป่ยเฉินยกกระบี่ในมือขึ้นชี้หน้าเด็กหนุ่มชุดม่วง ก่อนที่จะไล่ไปยังเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ทีละคน โดยเว้นเฉาพั่วเถียนไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น “พวกเจ้าสงสัยในฝีมือของข้านักไม่ใช่หรือ? ออกมาสู้กันเลยดีกว่า ข้าขอเสนอให้พวกเจ้าเข้ามาต่อสู้กับข้าแบบสิบรุมหนึ่ง”

บรรดาเด็กหนุ่มในศาลาริมน้ำมีสีหน้าเดือดดาลขึ้นทันที

“เจ้าอยากตายหรือไง”

“ยโสโอหังเกินไปแล้ว”

“สู้กับเจ้ามันจะทำให้กระบี่ของข้าแปดเปื้อนเสียเปล่าๆ”

“เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าต้องลงไปนอนนับเศษฟันด้วยตัวข้าเอง”

เด็กหนุ่มหลายคนลุกขึ้นยืนพรวดพราดตามกัน

“ทุกคนใจเย็นก่อน อย่าได้หลงกลมันเด็ดขาด”

เด็กหนุ่มชุดม่วงยกมือห้ามเพื่อนพ้อง และกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เจ้าเศษขยะรู้ตัวดีว่าสู้ข้าไม่ได้ ก็เลยอยากยั่วโมโหให้พวกเจ้าเข้าไปรุมทำร้ายมัน ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้สุดท้ายหลินเป่ยเฉินต้องพ่ายแพ้พวกเรา แต่ก็ยังสามารถใช้เป็นข้ออ้างบอกทุกคนได้ว่า พวกเราใช้คนหมู่มากรังแก…”

“อ้าว? มันวางแผนเอาไว้จริงๆ ด้วยแฮะ”

“เจ้าเศษขยะคนนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว ข้าเกือบตกหลุมพรางของมันแล้วเชียว”

“ศิษย์พี่เซี่ยโหว อย่าได้เมตตาปราณีหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด สั่งสอนให้มันรู้เสียว่าท่านแข็งแกร่งมากแค่ไหน”

บรรดาเด็กหนุ่มในศาลาส่งเสียงตะโกนเชียร์ขณะทรุดกายกลับลงไปนั่งตามเดิม

เด็กหนุ่มชุดม่วงแสยะยิ้มบนใบหน้า กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน แผนการของเจ้าพังทลายเสียแล้ว บัดนี้ ขอข้ายลโฉมทักษะกระบี่ของเจ้าหน่อยเถอะ แต่ก่อนอื่น เจ้ามีคุณสมบัติดีพอที่จะได้รู้ชื่อของข้าแล้ว จงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ข้ามีนามว่าเซี่ยหะ…”