บทที่ 102 ตงฟางจัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 102 ตงฟางจัน

“เฮอะ!”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นทั้งที่อีกฝ่ายยังกล่าวไม่จบ “เจ้าคิดว่าคนอื่นอยากรู้ชื่อของเจ้านักหรือไง เลิกพูดมากได้แล้ว รีบชักกระบี่ออกมาเสียที!”

เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินหน้าลุย

“ไอ้หมอนี่มันจะภูมิใจอะไรกับชื่อตัวเองนักหนาวะ?”

หลินเป่ยเฉินยังไม่รู้ว่าในกฎของยุทธจักร มีแต่เพียงผู้ฝึกฝนมาอย่างหนักจนได้รับชัยชนะในการต่อสู้เท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติมากพอที่จะเอ่ยนามของตนเองได้

หลินเป่ยเฉินใช้กระบวนท่ากระบี่ทะลวงจันทร์อีกครั้ง

กระบี่วิหคครามในมือของเขาสาดประกายสีน้ำเงินเข้มอย่างต่อเนื่อง

แก่นแท้ของวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ อยู่ที่คำว่า ‘ทะลวง’

แต่ละครั้งที่กระบี่ทิ่มแทงออกไป แรงกระแทกของมันไม่ต่างจากลูกธนูที่หลุดออกจากแหล่ง

ควับ! ควับ! ควับ!

เสียงคมกระบี่ตัดอากาศดังได้ยินถนัดหู

ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินใช้วิชา ‘กระบี่ทะลวงจันทร์’ แทงปราดออกไปด้วยกันถึง 7 กระบี่

เด็กหนุ่มชุดม่วงรู้สึกได้ถึงคลื่นความเย็นเยียบเหมือนดาวตกแผ่มากระทบผิวกาย ในจังหวะกระทันหัน จึงทำได้เพียงโบกสะบัดกระบี่ของตนเองปัดป้องเท่านั้น

เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!

เสียงโลหะปะทะกันดังต่อเนื่อง

แต่กระบี่เพียงปะทะกันเป็นครั้งที่ 3 เท่านั้น เด็กหนุ่มชุดม่วงก็รู้สึกเย็นวาบที่ข้อมือ จากนั้นความเจ็บปวดจึงแล่นพล่าน มือไม่สามารถยึดกุมกระบี่ได้อีก

ฟู่!

คมกระบี่กรีดเนื้อหนัง

เลือดสีแดงเข้มสาดกระจาย

“อ๊าก…”

กระบี่ในมือเด็กหนุ่มร่วงหล่นกระทบพื้นดินในขณะที่เขาส่งเสียงร้องออกมาโหยหวน

เส้นเอ็นที่ข้อมือขวาเกือบถูกตัดขาด เลือดพุ่งทะลักออกมาจากง่ามนิ้วมือซ้ายที่ใช้ปิดบาดแผลบนข้อมือ

“โถ เพียงกระบวนท่าเดียว เจ้าก็ต้านรับไม่ได้เสียแล้ว” หลินเป่ยเฉินลดกระบี่ลง “เจ้าไม่สมควรที่จะได้รู้ชื่อของข้า ไสหัวไปจากที่นี่ซะ”

หลินเป่ยเฉินมีพลังลมปราณเทียบเท่ากับขั้นปรมาจารย์แล้ว แต่เพราะยังไม่ได้เปิดจุดก่อกำเนิดปราณธาตุ ตอนนี้เด็กหนุ่มจึงเป็นแค่ขั้น ‘ปรมาจารย์ตัวปลอม’ เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกาย หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองสามารถต่อกรกับปรมาจารย์ระดับที่ 1 ได้ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ยังสามารถใช้พลังลมปราณคอยช่วยเหลือได้อยู่

เมื่อได้ยินคำพูดถากถางของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มในชุดม่วงก็โกรธแค้นจนตัวสั่นเทา กรามของเขาบดกรอดจนฟันแทบจะหักหมดปากแล้ว

ข่าวลือเรื่องการสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมของหลินเป่ยเฉินในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ทำให้กลุ่มเด็กหนุ่มอัจฉริยะตัวจริงรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงจอมหลอกลวง ไม่มีใครคิดเลยว่าเจ้าแกะดำคนไม่เอาไหนจะมีฝีมือเก่งกาจถึงเพียงนี้

เหล่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในศาลาริมน้ำก็ถึงกับตกตะลึงกันไปหมด

แม้ว่าบางคนจะไม่ได้ประมาทตั้งแต่แรก แต่พวกเขาก็เพิ่งตระหนักว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งกว่าที่คิด

ขนาดเซี่ยโหวฉ่งยังพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว ทั้งที่มีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 แท้ๆ

ส่วนพี่ชายของเขาอย่างเซี่ยโหวอัง ซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 ตอนปลาย ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินในกระบวนท่าเดียวอยู่ดี

“อย่าบอกนะว่าเจ้าเศษขยะนี่จะมีพลังถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว?”

แต่มันก็ไม่น่าเป็นไปได้

เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินยังไม่ได้เปิดจุดก่อกำเนิดปราณธาตุ เพราะพลังลมปราณที่ปล่อยออกมาไม่มีสีสัน จึงยืนยันว่าระดับพลังของเจ้าแกะดำยังไม่ถึงขั้นปรมาจารย์แน่นอน

ขณะนี้ กลุ่มเด็กหนุ่มมึนงงสงสัยในระดับพลังของหลินเป่ยเฉิน จนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“เข้ามาเลย พวกเจ้าอวดดีนักไม่ใช่หรือไง?” หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียก “ออกจากศาลามาประลองกระบี่กับข้าเดี๋ยวนี้”

“เจ้ามันโอหังเกินไปแล้ว”

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”

“จงเตรียมตัวรับมือ”

อย่างไรเสียเด็กหนุ่มเหล่านี้ยังอายุน้อย เลือดลมพุ่งพล่าน ฆ่าได้หยามไม่ได้เด็ดขาด

เงาร่างหลายสายพุ่งปราดออกจากศาลาริมน้ำ กระบี่ในมือถูกชักออกมาตวัดกวัดแกว่ง โจมตีใส่หลินเป่ยเฉินอย่างพร้อมเพียง

“จังหวะนี้แหละ” หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะและใช้วิชาตัวเบา ‘วิหคดั้นเมฆ’

ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศเหมือนวิหคโผบินท่ามกลางหมู่เมฆา บางครั้งรวดเร็ว บางครั้งเชื่องช้า บางครั้งไปทางซ้าย บางครั้งไปทางขวา บางครั้งลอยขึ้นข้างบน บางครั้งโฉบลงข้างล่าง การเคลื่อนไหวเปลี่ยนจังหวะตลอดเวลา ยากที่จะจับได้ไล่ทัน

ขณะนั้น กระบี่วิหคครามในมือก็ถูกใช้ออกด้วยท่วงท่ากระบี่ทะลวงจันทร์

ควับ! ควับ! ควับ!

ปลายกระบี่เสียดแทงในอากาศเกิดเป็นเสียงแสบหู

แต่ละครั้งที่กระบี่พุ่งแทงออกไป จะมีคู่ต่อสู้คนหนึ่งของหลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นถอยหลัง พร้อมกับร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด

เพียงพริบตาเดียว เด็กหนุ่มจำนวนห้าถึงหกคนก็ต้องกุมข้อมือทิ้งกระบี่ลงพื้น ล่าถอยกลับไปในสภาพที่มีเลือดไหลทะลักออกมาจากง่ามนิ้วที่กดปิดบาดแผล

“เหอเหอ นี่น่ะหรือสุดยอดมือกระบี่ในอนาคตของเมืองหยุนเมิ่ง ช่างอ่อนแอเกินไปแล้ว”

หลินเป่ยเฉินลดกระบี่ลงและส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

อย่าบอกนะว่าพวกศิษย์อัจฉริยะที่ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานในคืนนี้ ต่างก็เป็นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ทั้งสิ้น?

ถ้างั้นพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์อัจฉริยะประจำเมือง ก็ไม่มีใครสู้กับเขาได้เลยสักคน

บรรดาคู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ

มีแต่ผู้ที่ได้ปะทะฝีมือกับหลินเป่ยเฉินแล้วเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเด็กหนุ่มน่ากลัวมากแค่ไหน

วิชาตัวเบาที่รวดเร็วและกระบวนท่าการใช้กระบี่ที่พิสดาร ทำให้คู่ต่อสู้ไม่รู้ว่าควรตั้งรับอย่างไร เมื่อสักครู่นี้ พวกเขารวมตัวโจมตีพร้อมกันห้าถึงหกคน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ในเวลาแค่พริบตาเดียว

ความห่างชั้นของฝีมือทั้งสองฝ่าย แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

“มีใครอยากลองดีอีกหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงคำราม

บรรดาเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในศาลามีสีหน้าตื่นกลัว พวกเขาผงะกายถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

เฉาพั่วเถียนวางแก้วหยกขาวในมือลงบนโต๊ะอย่างแช่มช้า ก่อนพูดว่า “เจ้าคนไม่เอาไหนอาศัยงานประลองกระบี่สร้างชื่อเสียงให้ตนเองเสียได้…ให้ตายเถอะ บรรดาศิษย์อัจฉริยะที่เจ้าพามาด้วย ไม่เห็นจะเก่งกาจอะไรเลย”

ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายเฉาพั่วเถียนเป็นเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเหลืองสว่างตา มีสง่าราศีไม่แพ้เด็กหนุ่มผมทอง เขายิ้มและอธิบายว่า “เหล่าศิษย์น้องของข้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ที่ผ่านมาข้าเคยตักเตือนแล้ว แต่พวกเขาจะปฏิบัติตามก็หาไม่ เพราะฉะนั้น ปล่อยให้ได้รับบทเรียนบ้างเสียก็ดี จะได้รู้ซึ้งว่าเมื่อไม่เชื่อถือคำตักเตือนของพี่ใหญ่ สุดท้ายจะต้องพบกับเคราะห์กรรมเช่นไรบ้าง”

ระหว่างที่เด็กหนุ่มเสื้อคลุมสีเหลืองกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เซี่ยโหวฉ่ง เซี่ยโหวอังและเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ที่พ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินก็ต้องก้มหน้าก้มตาด้วยความละอายใจ

“วันนี้มีคนช่วยสั่งสอนศิษย์น้องของข้า ไม่นับเป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด”

เด็กหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองรินเครื่องดื่มใส่แก้วของเฉาพั่วเถียน จากนั้นจึงจัดการรินใส่แก้วที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตนเอง “นี่คือสุราหมักที่ดีที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง ให้รสชาติหอมหวานและร้อนแรง เมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็จะเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนในร่างกาย ช่วยกระตุ้นพลังงานของมือกระบี่ได้เป็นอย่างดี พี่เฉา โปรดรอสักครู่ เดี๋ยวข้ากลับมา”

พูดจบ เด็กหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากศาลาริมน้ำ

“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยสั่งสอนศิษย์น้องแทนข้า”

เด็กหนุ่มประสานมือคำนับขอบคุณ แล้วกล่าวต่อ “แต่อย่างไรเสีย เดี๋ยวเจ้าก็ต้องแพ้อยู่ดี ข้ามีนามว่าตงฟางจัน เจ้าต้องจำชื่อนี้เอาไว้ให้ดี เพราะตลอดชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ นี่จะเป็นชื่อที่เจ้าพยายามเอาชนะ แต่ไม่มีวันทำสำเร็จเด็ดขาด”

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองผู้มีนามว่าตงฟางจันก็เลื่อนมือไปจับด้ามกระบี่อย่างเชื่องช้า

กระบี่ของเขาเหน็บอยู่ข้างเอว

เป็นกระบี่ที่ธรรมดายิ่ง

ดูเหมือนว่าตงฟางจันจะมั่นใจในฝีมือของตนเอง จนไม่ต้องพึ่งพากระบี่คุณภาพสูงแต่อย่างใด

กระบี่ถูกชักออกจากฝักแล้ว

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า ได้ลงมือโจมตีก่อน” ตงฟางจันพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ

ดูท่าคู่ต่อสู้ของเขาคนนี้คงมีฝีมือดีกว่าพวกของเซี่ยโหวฉ่งพอสมควร

แต่หลินเป่ยเฉินไม่เคยหวาดกลัวมือกระบี่รุ่นเดียวกันอยู่แล้ว

“จงเตรียมตัวรับมือ”

หลินเป่ยเฉินทะยานร่างออกไป

กระบี่วิหคครามในมือเสือกแทง ยังคงเป็นท่วงท่ากระบี่ทะลวงจันทร์

คมกระบี่ทะลวงอากาศเหมือนลูกธนู บรรจุด้วยแรงดันมหาศาลที่ทำให้มวลอากาศปั่นป่วน ก่อเกิดเป็นวังน้ำวนหมุนรอบตัวกระบี่ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ฮ่าฮ่า ดีมาก”

ตงฟางจันยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่เมื่อปลายกระบี่วิหคครามกำลังจะถึงกายเขาแล้ว กระบี่ในมือจึงได้เคลื่อนไหววูบวาบ ลำแสงสีเงินสาดประกาย แล้วกระบี่ของตงฟางจันก็สามารถปัดป้องกันการโจมตีของหลินเป่ยเฉินได้อย่างไม่มีปัญหา