บทที่ 194 ทางเชื่อม (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 194 ทางเชื่อม (2)
“เบาเกินไปแล้ว! เบาเกินไปๆๆ!” ลู่เซิ่งคว้าสองมือใส่แสงสีเขียวที่วูบไหวด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง

เฉาหลงหลบหลีกพร้อมโต้กลับไม่หยุด ฝากบาดแผลหลายสายบนร่างลู่เซิ่ง แต่ว่าบาดแผลแบบนี้อยู่ไม่นานความสามารถฟื้นฟูที่กล้าแข็งก็รักษาได้

กำแพงบ้านในลานว่างถูกทั้งสองกระแทกจนถล่มลงระหว่างไล่ล่ากัน

ด้านนอกมีแสงคบเพลิงรุดมา นั่นคือคนของพรรคชาที่มาตรวจสอบเพราะตื่นตัว แต่ก็มีองครักษ์ใกล้ชิดของพรรควาฬแดงไปขวางไว้ทันที

พวกเขาเคยเห็นร่างอันน่ากลัวหลังลู่เซิ่งเปลี่ยนร่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขพรรคถูกลูกหลงและถูกเผยความลับ พวกเขาจึงเข้าไปขวางพวกที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ให้เข้าไปใกล้ทันที

ฟุ่บ!

ลู่เซิ่งใช้สองมือกอบหลังคาบ้านหินขนาดใหญ่ขึ้นมา ชายคาที่มหึมากว้างถึงสิบกว่าหมี่ถูกเขายกทุ่มใส่ลานว่างอย่างแรง

ตูม!

เศษหินเวียนว่อน แสงสีเขียวเจาะหลังคาแล้วพุ่งใส่หน้าลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งอ้าปากออก เผยให้เห็นฟันแหลมเหมือนกับเลื่อยสีขาวที่เชื่อมติดกัน

“จบแล้ว”

เขาอ้าปากออก

ตูม!

ลมปราณสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกจากปากลู่เซิ่งเหมือนลำแสง นั่นเป็นปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่จับตัวในระดับสูง

อุณหภูมิของแท่งปราณภายในที่หนาแน่นแบบนี้พุ่งสูงมากกว่าพันองศาในพริบตาเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังเผาผลาญธาตุหยางอันมหาศาลที่อยู่ด้านใน

แสงสีเขียวปะทะกับแท่งปราณสีแดงตรงๆ รับมือไม่ทันจึงหลบไม่พ้น

มันกระโจนไปด้านบน พุ่งไปถึงครึ่งหนึ่ง ก็ถูกแรงกระแทกอันมหาศาลชนลงไปถึงพื้น

เสียงตูมดังขึ้น เมื่อพื้นปรากฏหลุมลึกสองหลุม นั่นเป็นร่องรอยที่สองขาของเฉาหลงปักลงไปในดิน

พริบตาเดียวเขาก็หายสาบสูญ ตอนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็ถลันหลบเข้าไปหลังกำแพงถล่มแนวหนึ่งแล้ว

ตอนนี้ผิวเขากลายเป็นเกราะสีเขียวอ่อน มีคมมีดปีกจักจั่นบนสองแขน การเปลี่ยนแปลงประหลาดของใบหน้าเขา ทำให้เขาเป็นมนุษย์แมลงที่มีร่างประหลาดตนหนึ่ง

เพียงแต่ตอนนี้มนุษย์แมลงกำลังหายใจกระหืดกระหอบ

เขาโค้งเอวลง ปลายคมมีดบนสองแขนมีร่องรอยหลอมละลายเล็กน้อย เกราะบนตัวเป็นแผลไฟไหม้สีดำเกรียมหลายส่วน เกราะส่วนหนึ่งถึงขั้นแหลกสลาย เลือดสีเขียวอ่อนซึมออกมา

เหนื่อยล้า

นี่เป็นความรู้สึกหนึ่งเดียวในตอนนี้ของเฉาหลง หันไปมองตัวประหลาดสูงห้าหมี่เหมือนกับสัตว์ยักษ์ที่มุมกำแพง

หลายปีแล้วที่เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สู้ยากแบบนี้

ต่อให้ใช้วิชาลับตั้งแต่กำเนิด จนได้รับสุดยอดความเร็วและน้ำหนักที่เบาถึงขีดสุด ก็ยังคงทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เฉาหลงรู้สึกแสบร้อนที่ปอด เป็นเพราะว่าฟันใส่วัตถุที่แข็งเกินไป สองแขนจึงอ่อนนุ่มสุดเปรียบปาน เขารู้ว่าร่างนี้อยู่ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นไม่ต้องเข่นฆ่ากันร่างกายก็จะพังทลายไปก่อน

‘ร่างเก้าสวรรค์…เป็นถึงระดับอสรพิษแล้ว ต่อให้เฉาหู่ก็ไม่อาจมองข้ามพลังของข้าในตอนนี้ ทำไม…ทำไม…’

เขาเงยหน้ามองตัวประหลาดที่กำลังถล่มบริเวณรอบๆ

เสียงกึกป้องดังสับสน เสียงคำรามทุ้มต่ำดังข้างหูมาพร้อมฝุ่นและกรวด

“อยู่ไหนเอ่ย” เสียงโหดเหี้ยมแทรกความบ้าคลั่งของลู่เซิ่งดังอย่างต่อเนื่อง “อยู่ไหนเอ่ย เจ้าแมลงตัวน้อยน่ารัก”

เฉาหลงหอบหายใจ พยายามควบคุมหัวใจที่รับแรงกดดันมากจนเกือบหลุดออกมาจากอก

ทันใดนั้นเขาลืมตา พุ่งปราดไปยังฝั่งขวา

ตูม!

กำแพงที่เขาซ่อนอยู่ ถูกฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่งทุบจนแหลก

ด้านหลังกำแพงถล่มไม่มีสิ่งใด

ลู่เซิ่งมือข้างหนึ่งบีบคอเจ้าบ้านไม่หัวเราะ มือข้างหนึ่งยกขึ้นจากในเศษหินช้าๆ ดวงตาขนาดเท่าโคมไฟสอดส่ายไปทั่ว

“อ้อ…ไม่อยู่นี่หรือ…” เขากล่าวอย่างผิดหวัง

อั่ก

ด้านหลังซากอีกซากหนึ่งของกำแพง เฉาหลงกระอักเลือดสีเขียวออกมา ควักเศษหินชิ้นหนึ่งที่ฝังในแขนขวาออกอย่างแผ่วเบา

สีหน้าเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง แม้นั่นจะเป็นแค่เศษหินธรรมดา แต่ด้วยพละกำลังอันน่าสะพรึงของลู่เซิ่ง บวกกับเมื่อครู่ถูกแท่งปราณพุ่งใส่ เยื่อดำบนตัวถูกหลอมละลายมากกว่าครึ่ง อานุภาพของเศษหินจึงเพิ่มขึ้น

‘ทางเชื่อม…เป็นของข้า…ทางเชื่อมของข้า!’ เขากัดฟัน ดวงตาแน่วแน่อีกครั้ง

“จับได้แล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหลังเขา

มือข้างหนึ่งคลุมฟ้าดิน ไม่รอให้เฉาหลงโต้ตอบ ก็ฟาดลงใส่ศีรษะเขา

ตูม!

พละกำลังมหาศาลทำให้พื้นของเมืองชาใสทั้งหมดสั่นสะเทือนน้อยๆ

แขนขวาของลู่เซิ่งจมลึกลงไปในดินจนถึงหัวไหล่

เขายกมือขึ้นมา

จับมนุษย์สีเขียวที่ทั่วร่างแหลกลาญคนหนึ่งขึ้นมาจากด้านล่าง

“ครั้งนี้จบแล้วจริงๆ” เขายกเฉาหลงที่หายใจรวยรินมาตรงหน้าในลักษณะกลับหัว

“ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร…” เฉาหลงฝืนเปิดตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ และยังสมบูรณ์ เอ่ยอย่างอ่อนแอ “เจ้าชนะแล้ว…ทางเชื่อม…เป็นของเจ้าแล้ว…”

“ทางเชื่อมอะไร ไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอะไรอยู่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างประหลาดใจ

ทันใดนั้นเขาฉุกใจนึกอะไรได้ ค้นหาในซากปรักหักพังรอบๆ เจอต่งฉีที่สลบล้มลงบนพื้นในมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว ประมุขพรรคชาผู้นี้นอนอยู่ในกองหิน

ลู่เซิ่งหดร่างลงจนมีขนาดเท่าเดิม อยู่ในสภาพหยินโชติช่วง

เขาพอใจกับระดับพลังในปัจจุบันมาก

ถ้าหากบอกว่าสภาพหยินโชติช่วงมีพลังต่อสู้เท่ากับสิบ อย่างนั้นสภาพหยางโชติช่วงหรือการเปลี่ยนร่างขั้นแรกก็มีค่าเท่ากับสองร้อย สภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่งอยู่ระหว่างสามร้อยถึงสี่ร้อย ถ้าหากเผาไหม้ปราณเหลวปราณภายในในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ถึงขั้นทะยานเกือบหนึ่งพัน

เลขหนึ่งพันเป็นพลังขั้นสูงสุดของหงฟางไป๋ผู้คุมจตุรัสแดงในสภาพคลุ้มคลั่งหลังจากได้เศษภัยพิบัติมังกรสีชาดมาเสริมพลัง

น่าเสียดายสภาพนั้นคงอยู่ไม่นาน เป็นเพราะไม่ใช่พลังที่แท้จริงของตน ดังนั้นจึงถูกลู่เซิ่งเอาชนะไปได้

ลู่เซิ่งจับเฉาหลงไว้ ลังเลเล็กน้อย ยังคงไม่ลงมือฆ่า อีกฝ่ายคล้ายรู้เรื่องหลายๆ อย่าง ถึงขั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับสำนักไตรอริยะ

เขาทราบอย่างชัดเจนว่า ทางเชื่อมอะไรนั่นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าบ้านไม่หัวเราะ

เทียบกับเขาแล้ว ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนเองบริหารพรรควาฬแดงล้มเหลวอยู่บ้าง คล้ายไม่รู้อะไรเลย

“เหตุใดไม่สังหารข้า” เฉาหลงปลดสภาพเกราะสีเขียว กลับเป็นร่างคน

“สังหารเจ้าไปมีประโยชน์ใดกับข้า นอกจากผูกแค้นกับสมาคมหทัยร่อนเร่แล้ว ก็ไม่มีความหมายอื่นอีก” ลู่เซิ่งชักนำปราณหยินหยางขวดสมบัติมาถ่ายทอดใส่ร่างกายที่แหลกเละของเฉาหลงหลายสาย

พรู่ด!

เลือดหลายสายพุ่งออกจากในร่างเฉาหลง

เขาอ้าปาก แสดงสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว

ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าปราณหยินหยางขวดสมบัติในครั้งนี้เจอแรงต้านมหาศาลในการวางข่ายกระเรียนหยิน แต่ละชุ่นที่ปราณภายในเคลื่อนไป ใช้พลังเป็นสิบเท่าของยามปกติ คล้ายกับบึงน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนตม

‘ควบคุมไม่ได้หรือ หรือว่าปราณภายในไม่พอ’ ลู่เซิ่งสงสัย เพิ่มปริมาณปราณภายในช้าๆ

อั่ก!

เฉาหลงเงยหน้ากระอักเลือดคำโต จากนั้นร่างอ่อนยวบ ศีรษะเอียงไปอีกข้าง บาดแผลเล็กๆ เปิดออก เลือดสีเขียวจำนวนมากไหลออกมา

ลมปราณชีวิตของเขาเสื่อมโทรมด้วยความเร็วสูง ลู่เซิ่งมองเห็นเขาเสียเลือดมาก ตนเองก็ไม่มีวิธีรับมือ

แค่ครู่เดียว ประกายตาของเฉาหลงก็มืดหม่นลงโดยสมบูรณ์

เขาตายแล้ว

ฟุ่บ!

ศพเฉาหลงกลายเป็นสีดำ แข็งขึ้น จากนั้นก็แห้งกลายเป็นกรวดสีดำในมือลู่เซิ่ง กรวดกลายเป็นผงสีดำ โปรยปรายลงพื้น

‘อือ…’ ลู่เซิ่งชักมือกลับ หน้านิ่วคิ้วขมวด ‘ทำไมถึงเจอการต่อต้านรุนแรงแบบนี้ การต่อต้านนี้เหมือนไม่ใช่ความต้องการของเฉาหลง’

เขาเดิมไม่คิดฆ่าอีกฝ่าย แค่อยากควบคุม ถ้าหากว่ามีบริวารระดับอสรพิษสักคน หลายๆ เรื่องจะง่ายดายกว่าเดิม

แต่ผลลัพธ์กลับเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง

‘น่าเสียดาย…แล้วนี่ล่ะ’ ลู่เซิ่งมองเจ้าบ้านไม่หัวเราะที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง

เป็นเพราะร่างกายเขาหดเล็กลงกลับเป็นปกติ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนผู้นี้ดิ้นหลุด จึงหักกระดูกทั้งหมดของอีกฝ่ายจนกลายเป็นผัก ไม่อาจขยับเขยื้อนได้

แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจก็คือ แม้เจ้าบ้านไม่หัวเราะจะไร้กระดูก แต่ยังคงขัดขืนสุดชีวิต ช่องท้องในตัวเขามีแสงสีดำกลุ่มหนึ่งสว่างรางๆ

นั่นเป็นรังสีแสงสีเงินอ่อนที่มีวงนอกเป็นสีดำ

‘ทางเชื่อม…’ ลู่เซิ่งพลันนึกออก ยื่นมือไปคว้านท้องของเจ้าบ้านไม่หัวเราะ

เล็บของเขากลายเป็นเล็บคมกริบด้วยความเร็วสูง ก่อนควักเนื้อก้อนหนึ่งที่ท้องของเจ้าบ้านไม่หัวเราะออกมา

เนื้อมีกลิ่นเหม็นเน่าและแห้งเหี่ยว ไม่ต่างจากศพที่ตายมานาน

ลู่เซิ่งควักเนื้อออก ปรากฏแสงสีดำที่อยู่ตรงกลาง

สิ่งที่เป็นประกายสีดำเป็นผลึกมุกกึ่งโปร่งแสงก้อนหนึ่งมีขนาดเท่าไข่ไก่

ทันใดนั้นลู่เซิ่งรู้สึกว่าในมุกคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่ ความตื่นเต้นอันน่าประหลาดทำให้เขาหยิบมุกขึ้นมาถึงระดับสายตา

เขาเห็นทางเชื่อมสายหนึ่งด้านในไข่มุกผ่านพื้นผิวกึ่งโปร่งแสง

ทางเชื่อมกลางไอหมอกสีเทามัวซัวด้านในไข่มุกคดเคี้ยวเหมือนงู ทอดยาวถึงส่วนลึกที่เป็นหมอกขมุกขมัวไปสู่ปลายทางที่มองไม่เห็น

ให้ความรู้สึกพิศวงยิ่ง

ลู่เซิ่งวางไข่มุกลง ด้านหน้ากลับเป็นแบบเดิม

เมื่อยกไข่มุกในระดับสายตา ด้านในก็ปรากฏทางเชื่อมเส้นนั้นอีกครั้ง คล้ายกับไข่มุกชิ้นนี้เชื่อมกับสถานที่ลับแล

‘ทางเล็กจัง ถ้าเข้าไปในไข่มุกนี้ได้ แล้วเดินตามเส้นทางนี้ไป ไม่รู้ว่าจะเป็นทางเชื่อมที่เฉาหลงพูดถึงรึเปล่า’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว

ทางเชื่อมที่ซ่อนในไข่มุกทอดไปยังสถานที่ปริศนาในไอหมอก

นี่ทำให้รู้สึกได้ว่า ด้านในจะต้องซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้แน่ ไม่อย่างนั้นรองประมุขสมาคมหทัยร่อนเร่คงไม่เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาที่นี่ เพื่อความประหลาดลี้ลับไม่หัวเราะที่สำนักไตรอริยะปล่อยออกมา

‘เงื่อนไขการเปิดทางเชื่อมคงไม่ใช่เรื่องเล่าตลกมั้ง’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงเรื่องเล่าของเจ้าบ้านไม่หัวเราะ

“ไม่…คนที่เล่าเรื่องตลกแม้จะหนีรอดปลอดภัยชั่วคราว แต่จากนั้นก็ตายอยู่ดี’ เขามองเจ้าบ้านไม่หัวเราะที่ถูกควักไข่มุก ตอนนี้ร่างของอีกฝ่ายเน่าเปื่อยแห้งกรัง กำลังจะกลายเป็นผงธุลี

แสดงว่าไข่มุกเม็ดนั้นเป็นความลับหลักที่แท้จริง

‘ครั้งนี้มีความแค้นกับสมาคมหทัยร่อนเร่แล้ว แต่เราต่างจากจตุรัสแดง เบื้องหลังมีตระกูลซั่งหยางที่เป็นขุมกำลังแข็งแกร่งให้แอบอ้าง ต่อให้เป็นสมาคมหทัยร่อนเร่ก็ไม่แน่ว่าจะทำอะไรเราได้ หนำซ้ำพลังที่เราแสดงออกมาก็เป็นแค่ระดับตรีลักษณ์ ขอแค่ไม่พูด ต่งฉีไม่พูด ก็ไม่มีคนรู้ว่าเราฆ่าเฉาหลง’ แม้ไม่กลัว แต่ยิ่งปัญหาน้อยก็ยิ่งดี

ลู่เซิ่งเดินไปถึงข้างกายต่งฉี สตรีนางนี้ถูกกองหินทับในซากอาคาร หายใจรวยรินแล้ว คล้ายกับอวัยวะภายในมีเลือดออก

เขาใคร่ครวญ ยังคงไม่ปล่อยให้นางตาย สตรีนางนี้เป็นอัจฉริยะ สามารถบริหารพรรคชาจนร่ำรวยด้วยตัวคนเดียว ตายไปอย่างนี้ก็น่าเสียดาย

เขายื่นมือไปทาบบนหน้าผากต่งฉี ปราณหยินหยางขวดสมบัติหลายสายไหลสู่ด้านในร่างนางอย่างรวดเร็ว ดูว่าจะช่วยได้หรือไม่

……………………………………….