บทที่ 195 ตัดสินใจ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 195 ตัดสินใจ (1)
ปราณหยินหยางขวดสมบัติมีความสามารถฟื้นฟูที่แข็งแกร่งสุดขีด แต่ว่านั่นส่งผลแค่กับลู่เซิ่งคนเดียว เขาไม่เคยถ่ายปราณรักษาคนอื่นมาก่อน

‘แต่ตอนนี้ดูเหมือนมีประสิทธิภาพไม่เลว’ ลู่เซิ่งมองสีหน้าที่ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเรื่อของต่งฉี วินิจฉัยในใจ

ราวหนึ่งก้านธูป ลมหายใจต่งฉีค่อยๆ สงบลง

ลู่เซิ่งชักมือกลับ รู้สึกว่าปราณภายในของข่ายกระเรียนหยินกางออกเป็นตาข่ายโดยอัตโนมัติในร่างต่งฉีตอนไหนก็ไม่ทราบ ขอแค่ภายหลังนางพยายามฝึกฝนวิชากำลังภายใน จะต้องมีผลสำเร็จแน่นอน

ปราณหยินหยางขวดสมบัติที่น้อยสุดขีดไม่ได้ทำให้ต่งฉีกลายพันธุ์ ยังคงอยู่ในสภาพคนธรรมดา

“ประมุขพรรค!”

พอไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว พวกสวีชุยก็รีบรุดมาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เห็นพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ต่อสู้ที่รุนแรงเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าประมุขพรรคสู้กับเจ้าบ้านไม่หัวเราะอย่างไร แม้แต่อาคารยังถูกรื้อไปมากกว่าครึ่ง

“เก็บกวาดสถานที่ เจ้าบ้านไม่หัวเราะของที่นี่นับว่าจัดการแล้ว นอกจากนี้ให้หามต่งฉีไปพักผ่อน” ลู่เซิ่งสั่งทีละข้อ “พวกเรายังจำเป็นต้องไปหมู่บ้านหินแห่งนั้น”

“หมู่บ้านนั้นหรือ” พวกนิ่งซานงุนงง

“บังอาจถามประมุขพรรค หมู่บ้านนั้นไม่ใช่จัดการแล้วหรือ” สวีชุยถามเบาๆ

“จัดการอันใด แน่นอนว่าไม่ สิ่งที่พวกเราจัดการมีแค่ความประหลาดลี้ลับที่เป็นเจ้าบ้านไม่หัวเราะ แต่ต้นตอที่แท้จริงยังอยู่ที่นั่น ยังไม่ได้ถูกแตะต้อง” ลู่เซิ่งเผยรอยยิ้ม นึกถึงเนื้อหาบนป้ายหิน เนื้อหาส่วนหนึ่งบอกใบ้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของเจ้าบ้านไม่หัวเราะ ขณะเดียวกันก็ใบ้ว่าสถานที่ ที่ทางเชื่อมนั้นทอดไปถึงคือที่ไหนกันแน่

ผู้คนเก็บกวาดสถานที่อย่างรวดเร็ว ความจริงไม่ได้อะไรดีๆ มา เจ้าบ้านไม่หัวเราะกลายเป็นผงสีดำ เฉาหลงพัดไปตามลม เก็บได้แต่เถ้ากระดูกเล็กน้อย นอกจากเศษหินและกองซากมากมาย ก็มีแค่ต่งฉีกับลู่เซิ่งสองคนที่เป็นมนุษย์

จากนั้นก็เป็นตัวลานของพรรคชาที่เสียหาย ภายหลังค่อยซ่อมแซมก็พอ เงินแค่นี้สำหรับพรรคชาที่ร่ำรวยไม่นับเป็นอะไร

ลู่เซิ่งมอบหมายงานคร่าวๆ แล้วพาพวกสวีชุยไปยังหมู่บ้านในหุบเขา ตลอดทางควบม้าไม่หยุด รอจนถึงหุบเขาที่ตั้งหมู่บ้านก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว

ในหมู่บ้านว่างเปล่า สงบเงียบ ไม่มีเงาคนแม้แต่น้อย

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ประตูหมู่บ้าน หยีดตากวาดมองด้านใน ประสาทสัมผัสของเขาสัมผัสความผิดปกติไม่ได้

นิ่งซานเดินไปถึงหน้าบ้านหิน นั่งยองๆ กอบดินดำกระหยิบหนึ่งจากพื้นขึ้นมาดม

“ที่นี่เคยมีคนมา จำนวนคน…สามคน แล้วแยกกันผ่านไป”

“หาร่องรอยของพวกเขาได้หรือไม่ ทิศทางที่มุ่งหน้าไปด้วย” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

“ไม่ไหวขอรับ…ถ้าผู้อาวุโสเฉินอยู่นี่อาจทำได้ แต่ข้าแค่เรียนจากท่านผู้เฒ่ามาแค่กระผีก…” นิ่งซานเป็นคนใฝ่รู้ ดังนั้นถึงเขาจะไม่ได้ไปโรงเรียนสถานศึกษา แต่เป็นเพราะเล่าเรียนไปทั่ว ความสามารถที่ได้มาจึงมีไม่น้อย

ผู้อาวุโสเฉินมีความดีความชอบตอนที่ลู่เซิ่งสะกดรอยคนทรยศที่หนีออกมาจากพันธมูตรบู๊ ในระหว่างที่ลู่เซิ่งฆ่าผู้ประกอบพิธีผีดิบขาว มีความสามารถสะกดรอยที่น่าทึ่ง ดังนั้นหลังจากนิ่งซานทราบ จึงเข้าไปหาเพื่อร่ำเรียนทักษะด้านนี้

“สามคน…” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “หรือจะเป็นพวกเหยียนไค”

“เข้าไปค้นดู” เขาโบกมือพลางกล่าว

พลพรรควาฬแดงรับคำสั่ง พุ่งเข้าไปในหมู่บ้าน หมู่บ้านไม่ใหญ่ มีบ้านหินเจ็ดแปดหลัง ไม่ทันไรก็ค้นเสร็จ

“เรียนประมุขพรรค ด้านในไม่มีเงาคน” องครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง

“ไม่มีคนจริงหรือ” ลู่เซิ่งย่นคิ้ว

“ไม่มีใครจริงๆ ขอรับ” องครักษ์ใกล้ชิดตอบเสียงทุ้มต่ำ

ลู่เซิ่งมองบ้านหลังหนึ่งบนเนินลาดเอียงตรงประตูหมู่บ้าน สัมผัสได้รางๆ ว่าบ้านหลังนั้นคล้ายมีปัญหาอยู่บ้าง ทว่าความรู้สึกนั้นเบาบางยิ่ง เขาบอกไม่ถูก

‘คันฉ่องไตรอริยะ…จนถึงตอนนี้พวกจ้าวเจียวเจียวยังคงหายสาบสูญ หรือว่าจะเป็นฝีมือของสำนักไตรอริยะ’ เขาหยีตาลง

“เหลือคนไว้ในเมืองชาใส เฝ้าที่นี่ไว้ อย่าให้ใครเข้าไป” ลู่เซิ่งสั่ง

“ขอรับ!” สวีชุยขานรับ

“ไป กลับกัน” ลู่เซิ่งมองฟ้า ทราบว่าตอนนี้ไม่มีเบาะแสแล้ว เมื่อไม่มีวิธีการพิเศษ ก็ไม่มีทางหาคันฉ่องไตรอริยะเจอ ยิ่งอย่าว่าแต่พวกจ้าวเจียวเจียวเป็นไปได้ว่าอาจถูกลากเข้าไปในพื้นที่เล็กๆ ด้านในคันฉ่องไตรอริยะแล้ว

เขายังจดจำได้ว่าตนเคยถูกลากเข้าไปด้านในนาข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วผืนนั้นเหมือนกัน

เวลานี้แม้หาจ้าวเจียวเจียวไม่เจอ แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า ความรู้สึกถึงระยะห่างที่ข่ายกระเรียนหยินส่งมาบอกเขาว่า จ้าวเจียวเจียวยังไม่ตาย

หลังค้นหาสักพักแล้วไม่พบสิ่งใด พรรควาฬแดงก็ได้แต่ทิ้งคนไว้ แล้วติดต่อกับพรรคชา เริ่มจ้างคนสร้างฐานที่มั่นชั่วคราวขึ้น

ลู่เซิ่งพาคนกลับหน่วยหลัก เขาไม่ได้หยุดระหว่างทาง ขณะถือไข่มุกเม็ดนั้นไว้ รู้สึกว่าด้านในเหมือนมีบางอย่างกำลังสูญหายตามเวลาที่ผ่านไป

พอกลับไปถึงเรือวาฬแดง เขาก็ขังตัวเองในห้องลับ

ฟุ่บ!

เปลวเพลิงไร้สีกลุ่มหนึ่งลุกไหม้กลางมือลู่เซิ่ง จากนั้นเขาวางไข่มุกสีดำลง เผามันด้วยความร้อนสูง

ไอหมอกในไข่มุกเริ่มพลิกตัวอย่างรุนแรง ความพิศวงนั้นชวนให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังสูญสลายมากกว่าเดิม

เวลาผ่านไปดั่งติดปีก

พริบตาเดียว ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิจ้องไข่มุกอยู่บนพื้นในห้องสงบใจโดยไม่ขยับมาแล้วสองวัน

ในสองวันนี้ เขาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในไข่มุกอย่างตั้งใจ กล่าวให้ถูกต้อง กำลังสัมผัสกลิ่นอายที่กระจายออกมาจากในไข่มุก

หลังกลับมาจากเมืองชาใส ถึงวันนี้ก็ผ่านไปสองวันแล้ว เขาคล้ายจับแบบแผนอย่างหนึ่งได้

‘ทุกๆ ยามจื่อตอนกลางคืน…ใกล้แล้ว… ใกล้ถึงแล้ว…’ ลู่เซิ่งคำนวณเงียบๆ

ทุกๆ ยามจื่อ ไข่มุกเม็ดนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ โดยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนผ่านการเผาไหม้ด้วยปราณภายใน นี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งค้นพบในช่วงเวลานี้

และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เขาควรพิสูจน์การเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว

เวลาค่อยๆ ผ่านไป แสงจันทร์นอกห้องลับเย็นกระจ่างกว่าเดิม

ลู่เซิ่งจ้องมองไข่มุกโดยไม่ขยับ คล้ายกลายเป็นรูปสลักไปแล้ว

ฟู่ว…

ทันใดนั้นมีลมหอบหนึ่งไม่ทราบว่าพัดออกมาจากทิศทางใด

ลู่เซิ่งงุนงง กวาดตามองซ้ายขวา ไม่ทราบทิศทางที่ลมพัดมา หยีตาสอดส่ายค้นหา แล้วพบอย่างรวดเร็วว่าสิ่งใดก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศ

เป็นไข่มุกเม็ดนั้น

ไข่มุกใหญ่ขึ้นกว่าเดิมขณะปราณภายในกำลังเผาผลาญ

จากขนาดเท่าไข่ไก่ ค่อยๆ ลอยขึ้นมา ยิ่งขยายยิ่งใหญ่ ไม่ทันไรก็สูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง

ทางเชื่อมในไข่มุกขยายใหญ่ตาม ไม่นานก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง

กระแสอากาศซัดดังซ่าๆ พัดมาจากด้านในไข่มุก นั่นคือลมที่ลู่เซิ่งสัมผัสได้เมื่อครู่ เป็นกระแสอากาศในทางเชื่อมด้านในไข่มุก

‘น่าอัศจรรย์จริงๆ…’ ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบไข่มุก

เสียงผลุบเมื่อมือของเขาเหมือนกับทะลุเข้าไปในฟองสบู่ชั้นหนึ่ง ทะลุเข้าไปด้านในไข่มุกอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

‘จะเข้าไปไหม นี่เป็นทางเชื่อมที่เฉาหลงไขว่คว้า’ ลู่เซิ่งถามตัวเองในใจ

เขาพิจารณาทางเชื่อมในไข่มุกอย่างละเอียด ทางเชื่อมเส้นนั้นซ่อนอยู่ในไอหมอก ทอดยาวอย่างขมุกขมัวไปจนถึงส่วนลึกของปลายทางที่มองไม่เห็น

ลุ่เซิ่งตื่นเต้น ก้าวออกไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง

พลุบ

เขาหายเข้าไปในไข่มุก ยืนอยู่ในไอหมอกด้านหน้าทางเชื่อม

เขาหันหลังกลับไปมอง

ด้านหลังเป็นห้องลับ เพียงแต่เหมือนมีแก้วชั้นหนึ่งกั้นอยู่

ป้ายหินสองแผ่นตั้งอยู่ด้านหน้า ข้างซ้ายและข้างขวาของทางเชื่อม เมื่อครู่หมอกกั้นไว้จึงมองไม่เห็น ตอนนี้เมื่ออยู่ใกล้กลับเห็นชัดเจน

ป้ายหินเป็นหินสีขาวอมเทาธรรมดา สลักตัวอักษรส่วนหนึ่ง

ด้านซ้ายคือ ‘ความกลัดกลุ้ม ความโศกเศร้า ความเหงา ความเจ็บปวด ความลำบาก’

ด้านขวาคือ “ความทุกข์ ความริษยา ความว่างเปล่า ความโกรธ ความอยาก”

ตัวอักษรที่สลักบนป้ายหินสองแผ่นเป็นตัวอักษรซ่งโบราณ ไม่ทราบว่ามีอายุเท่าไหร่แล้ว รอยสลักไม่ค่อยเรียบนัก

ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าป้ายหิน มองทางเชื่อมผ่านหมอกหนา แล้วหันกลับไปมองห้องลับด้านหลัง

ตอนนี้ห้องลับเหมือนกับประตูบานหนึ่ง ประตูที่กลับสู่ความจริง ส่วนทางเชื่อมเส้นนี้เหมือนเชื่อมสู่โลกที่ตนเองไม่รู้จัก

ลู่เซิ่งลังเล

เขาอยากเข้าไปดูมาก แต่แค่ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของเฉาหลง ก็ทราบว่าสถานที่ ที่ทางเชื่อมนี้ทอดไปถึงจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ถ้าหากว่าเขาเป็นสายเลือดมารปีศาจหรือตระกูลขุนนางจริงๆ เที่ยวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าไปดู

แต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ

สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่มีผลดีต่อภูตผีปีศาจไม่แน่จะเป็นข้อเสียสำหรับเขา หนำซ้ำแค่เขายืนอยู่หน้าทางเชื่อม ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ลี้ลับซับซ้อนแล้ว

กลิ่นอายนี้เหมือนกับไอน้ำที่ลอยมาเพราะน้ำตกกระทบเบื้องล่าง เหนียวเหนอะหนะ คิดจะเกาะเขา คล้ายมีชีวิตของตัวเอง

มันกำลังบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า สถานที่ ที่ทางเชื่อมนี้ทอดไปถึง ไม่แน่จะมีประโยชน์สำหรับเขา

ลู่เซิ่งยืนลังเลหน้าป้ายหินอยู่นาน ในที่สุดเขายังคงคิดจะถอยหลังกลับไปสู่ประตูทางเข้าห้องสงบใจ

‘ในเมื่อสำนักไตรอริยะครอบครองทางเชื่อมแบบนี้ ภายหลังต้องมีโอกาสแน่ จะบุ่มบ่ามเข้าไปไม่ได้ การเข้าไปในสถานการณ์ที่ไม่รู้จัก มีโอกาสเกิดเรื่องมากที่สุด’ เขาไม่เคยต่อสู้ทั้งที่ไม่มีความเชื่อมั่น นอกจากการต่อสู้ครั้งแรกที่จนปัญญา ที่เหลือแทบทุกครั้งเป็นเขาครองความได้เปรียบ จึงค่อยลงมือ

นี่เป็นหลักการของเขา และเป็นกฎการรับมือของเขา

สุดท้ายลู่เซิ่งมองทางเชื่อมอันลึกลับเส้นนั้น กัดฟันหันหน้ากลับ ก้าวเดินออกจากไข่มุก กลับสู่ห้องสงบใจ

ซู่…

พริบตาที่เขาก้าวออกจากไข่มุก แท่งสีดำกับเส้นทางเชื่อมก็บิดเบี้ยว เหมือนกับวังวนสีดำกลุ่มหนึ่งในน้ำ เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็หดเล็ก จางลง โปร่งแสง แล้วหายไป

ฟึ่บ!

พริบตาเดียวในห้องลับก็ไม่เหลืออะไร ไข่มุกสีดำหายไปแล้ว ไม่มีเหลือแม้แต่เศษซาก

ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่ หวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ ความรู้สึกที่ลี้ลับ พิศวง และอันตรายนั้นทำให้เขาจดจำไปอีกนาน

‘เรายังไม่ได้เตรียมตัว ยังไปไม่ถึงสภาพแข็งแกร่งที่สุด หนำซ้ำทางเชื่อมนี้ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ หากผลีผลามเข้าไป ด้วยอายุขัยของภูตผีปีศาจเหล่านี้ พลั้งเผลอนิดเดียวก็ใช้เวลาหลายสิบปี อย่างนั้นทุกสิ่งที่อยู่ในแดนเหนือของเราคงพินาศหมด…ยิ่งไปกว่านั้น ด้านในยังมีอันตรายที่ยังไม่รู้ซุกซ่อนอยู่ จะเสี่ยงไม่ได้’

ลู่เซิ่งไม่สำนึกเสียใจ

แดนเหนือยังมีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ เขาคิดจะสร้างรังที่ปลอดภัยอย่างเด็ดขาดให้แก่ตนเอง เป็นบ้านที่แข็งแกร่ง เป็นฐานที่มั่นใหญ่ที่พักฟื้นซ่อนตัวได้ ตอนที่ตนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ในโลกที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ คิดจะสร้างของแบบนี้ จะต้องใช้พลังยุทธ์และขุมกำลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย

‘ครั้งหน้าก่อน รอให้ศึกษาสำนักไตรอริยะอะไรนั่นจนเข้าใจ เดี๋ยวก็มีโอกาสเข้าไปเอง’ ลู่เซิ่งมองห้องลับที่ว่างเปล่า สีหน้าเยือกเย็น

……………………………………….