บทที่ 196 ตัดสินใจ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 196 ตัดสินใจ (2)
พริบตาเดียวก็เป็นสองเดือนให้หลัง หิมะเริ่มตกลงมา

ขุมกำลังใหญ่ที่ปกครองแดนเหนือเช่นพรรควาฬแดงเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นจวนอู๋โยวหรือราชสำนัก ต่างไม่อาจต้านทานการขยับขยายดั่งสัตว์ร้ายของยอดฝีมือในสังกัดของลู่เซิ่ง

ชื่อเสียงของราชาดาบแดนเหนือลู่เซิ่งดุจอาทิตย์กลางหาว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดๆ ในท้องที่บริเวณนี้ ต่างก็ได้ยินคนพูดถึงเขาเป็นนิจ

เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในสังคมมนุษย์ และเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไม่มีใครสู้ได้ และเป็นปรมาจารย์มรรคาดาบ

เชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว ในนี้ย่อมมีคนทั่วไปเล่าลือ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะหลังจากขุมกำลังพรรควาฬแดงใหญ่โตขึ้น พรรคก็ประกาศรับพลพรรค รวบรวมขุมกำลังบริวารอย่างใหญ่โต

พลพรรคมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โบกธงอวดศักดา ชื่อเสียงของลู่เซิ่งยิ่งมายิ่งโด่งดัง

ขุมกำลังของตระกูลขุนนางหวั่นเกรงซั่งหยางจิ่วหลี่ ทั้งหมดลดธงหยุดตีกลองรบ ไม่ยุ่งกับตัวเคราะห์ร้าย

ขอแค่ซั่งหยางจิ่วหลี่ยังอยู่ในตระกูล พลังของนางจะกำหนดการปกครองอันเด็ดขาดในแดนเหนือของลู่เซิ่ง

ตัวลู่เซิ่งฝึกวรยุทธ์ วิชาดาบ และวิชากำลังภายในทุกวัน ทั้งยังเริ่มขยายการรับศิษย์สำนักอาทิตย์ชาด

เขาประกาศข่าวที่ตนเป็นเจ้าสำนักอาทิตย์ชาดอย่างเปิดเผย หนำซ้ำยังประกาศจัดการประลองคัดเลือกศิษย์ในสำนักที่เมืองเลียบคีรี

ไม่ว่าใครต่างมีคุณสมบัติเข้าร่วม ขอแค่ผ่านการทดสอบ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ไม่สนใจพลังฝึกปรือ ไม่สนใจพฤติกรรม ขอแค่ผ่าน ก็เข้าสำนักอาทิตย์ชาดเพื่อรับการถ่ายทอดวรยุทธ์ของสำนักได้ทั้งสิ้น

แน่นอนว่าการประลองคัดเลือกนี้ไม่ใช่ลู่เซิ่งรับผิดชอบเอง หลังจากศิษย์พี่ของเขาหงหมิงจือได้รับการอนุญาตจากเขาก็เริ่มจัดการประลองใหญ่นี้เอง

สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ผู้อาวุโสระดับเอกะฟ้าไม่น้อยในพันธมิตรบู๊ออกหน้าอาสารับตำแหน่งผู้วิจารณ์ พวกเขายอมรับพลังของยอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างลู่เซิ่งแล้ว

ในนี้ถึงขั้นมีระดับเอกะฟ้าหลายคนเข้าพรรควาฬแดงเพราะเลื่อมใสในพลังของลู่เซิ่ง กลายเป็นผู้จัดการภารกิจภายนอกของพรรควาฬแดง หลังจ้าวเจียวเจียวหายไป ในสังกัดลู่เซิ่งกลับมีระดับเอกะฟ้าเพิ่มมาหลายคน

นอกจากนี้หลังจากอยู่ใต้การบัญชาของพรรควาฬแดงแล้ว ยอดฝีมือเหล่านี้ยังขอเข้าสำนักอาทิตย์ชาด และได้รับการอนุญาตจากลู่เซิ่ง

เขาจัดพิธีเข้าสำนักเอง หลังจากคนเหล่านี้เข้าร่วมไม่กี่วัน สหายของพวกเขาในพันธมิตรบู๊ก็ค้นพบว่า คนที่เข้าร่วมกับพรรควาฬแดงเหล่านี้มีสัญญาณว่าพลังเลื่อนระดับแล้ว

การค้นพบนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว

หลังจากระดับเอกะฟ้าคนหนึ่งในนี้เข้าร่วมสำนักอาทิตย์ชาดของลู่เซิ่ง ได้รับการถ่ายทอดวิชาลับ ในที่สุดก็ทำลายคอขวดที่ติดมาหลายปี มุ่งสู่ขอบเขตใหม่สำเร็จ

ถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ ระดับเอกะฟ้าที่เลื่อนระดับเองก็แก่มากแล้ว และสั่งสมพลังยุทธ์ไว้ล้ำลึกสุดขีด แต่การแสดงออกเช่นนี้ก็ยังสร้างความตื่นเต้นให้แก่พวกเฒ่าไม่ตายในพันธมิตรบู๊อยู่ดี

ดังนั้นยอดฝีมือมนุษย์จำนวนมากกว่าเดิมเริ่มออกจากพันธมิตรบู๊ เพื่อเข้าร่วมกับพรรควาฬแดงและสำนักอาทิตย์ชาดอย่างเงียบๆ ขุมกำลังลับในสังกัดลู่เซิ่งยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง

ชุมนุมคัดเลือกของสำนักอาทิตย์ชาดมียอดฝีมือระดับเอกะฟ้าที่มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น หลังจากที่พันธมิตรบู๊เข้าร่วมสำนักอาทิตย์ชาดอย่างต่อเนื่อง

แดนเหนือพอสงบมั่นคง ก็ครึกครื้นรื่นเริง ภูตผีปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ปกปิดตัวตนมากกว่าเดิม เมื่อยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าเลื่อนระดับ ก็จะกลายเป็นผู้เข้มแข็งที่อาจคุกคามระดับพันธนาการได้ ภูตผีธรรมดาไม่ใช่คู่มืออีกแล้ว

ระดับพันธนาการที่มีสติปัญญาของตัวเองทราบว่าพรรควาฬแดงมีขุมกำลังยิ่งใหญ่ จัดการไปหนึ่งก็เพิ่มเป็นสอง เพิ่มเป็นสาม สุดท้ายยังมีประมุขพรรคที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว กับตระกูลซั่งหยางที่อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุน ถ้าปะทะตรงๆ รังแต่จะหาที่ตาย

อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้อยู่อาศัยในแดนเหนือก็รู้สึกได้ถึงสภาพแวดล้อมที่สงบสุขมากกว่าเดิม ในเวลาสั้นๆ ขบวนพ่อค้าถึงขั้นไม่เห็นโจรป่าโจรภูเขา ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยเป็นกลุ่มใหญ่ หาที่ตายต่อหน้าระดับเอกะฟ้าที่เพิ่งจะเข้าสำนักอาทิตย์ชาดและคิดสร้างผลงาน

หากมีคนไร้หัวคิดเช่นนี้ ก็จะถูกกำจัดกวาดล้างทันที

เดือนที่สองซึ่งหิมะตก แดนเหนือค่อยๆ เริ่มเจริญรุ่งเรือง ใกล้เคียงกับสภาพก่อนภัยแล้ง

“หิมะตกหนักกว่าเดิมแล้ว”

บนยอดเขาของเขาสีชาดในเทือกเขาบูรพา ด้านในหอบนภูเขาซึ่งเป็นของพรรควาฬแดง

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองฟ้าดินที่ขาวโพลนจนแยงตาด้านนอก สะท้อนใจเล็กน้อย

“นี่ไม่ใช่หิมะธรรมดา แต่เป็นภัยหิมะ แต่ละที่ส่งข่าวร้ายไปที่ราชสำนัก บ้านเรือนหลายแห่งถล่มเพราะหิมะหนาเกินไป บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย”

อวี้เหลียนจื่อกับชายชราร่างสูงผอมเหมือนบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง ก้มหน้ารายงานสถานการณ์

ชายชราคนนั้นสวมอาภรณ์สีเขียว แขนเสื้อปักลวดลายสีเขียวเหมือนกับรวงข้าวและใบไม้ เสียบปิ่นหยกสีเขียวมรกตแท่งหนึ่งไว้บนมวยผม สีหน้าจริงจัง

เขาชื่อโอวหยางชี คนในยุทธภพเรียกงูไร้หัว ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าขั้นสูงสุดที่โหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนอย่างเด็ดขาด เคยสร้างชื่อไม่น้อยในอาณาเขตของจงหยวน ภายหลังถูกยอดฝีมือระดับพันธนาการของราชสำนักไล่ล่า จึงค่อยหลบหนีถึงแดนเหนือ

ปัจจุบันเขาเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดในระดับเอกะฟ้าจากพันธมิตรบู๊ที่สวามิภักดิ์กับลู่เซิ่งเป็นคนแรก

เดิมทีคนผู้นี้ก็ไม่เข้าพวกในพันธมิตรบู๊เพราะนิสัยโหดเหี้ยม ทำแต่เรื่องชั่วช้าสามานย์ ดูดเลือดเป็นนิจ ดังนั้นถูกระดับเอกะฟ้าคนอื่นๆ กีดกัน

หลังจากได้ยินว่าสำนักอาทิตย์ชาดรับสมัครคนไม่ว่ามีพฤติการณ์อย่างไร เขาก็มาทดลองเข้าร่วมดูเป็นคนแรก คิดไม่ถึงลู่เซิ่งไม่สนใจพฤติการณ์จริงๆ รับตัวไว้ทันที

“เฒ่าชี ทางด้านท่านดำเนินการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ลู่เซิ่งมองโอวหยางชี เขาใช้คนผู้นี้เพราะอีกฝ่ายมีความสามารถในการดูแลยอดเยี่ยม เมื่อมีข่ายกระเรียนหยินก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาด

โอวหยางชีก้มหน้าตอบ “การประลองใหญ่ดำเนินตามกำหนด ไม่ได้รับผลกระทบ ศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือกจากแต่ละแห่งเริ่มคุ้มครองส่งมายังเมืองเลียบคีรีแล้ว ตามการคำนวณขั้นแรกมีคนสองร้อยหกสิบสองคนผ่านการเลือกสรร”

“คนเข้าร่วมมีสองพันกว่า เดิมคัดเลือกขั้นต้นไปแล้ว มีผ่านแค่นี้เองหรือ” อวี้เหลียนจื่องุนงง

“ถือว่าไม่เลวแล้ว ตามการคำนวณขั้นต้นของข้า จำนวนนี้ยังถือว่าเกินคาด คิดจะเลือกยอดฝีมือที่เข่นฆ่ากับภูตผีได้ มีจิตใจกับคุณสมบัติธรรมดาย่อมไม่พอ” โอวหยางชีกล่าวอย่างเย็นชา

อวี้เหลียนจื่อชะงัก ไม่กล้าพูดอีก พลังของเขาห่างชั้นจากโอวหยางชีมากเกินไป ถ้าไม่ใช่เป็นขุนพลใต้สังกัดประมุขพรรคเหมือนกัน ไปสู้หนึ่งต่อหนึ่งที่อื่น ชายชราผู้นี้ใช้นิ้วเดียวก็กำจัดตนทิ้งได้แล้ว

“พอแล้ว เวลานี้มีศิษย์พี่ควบคุมอยู่ ไม่มีปัญหาอะไรมาก คนที่พวกเราต้องการเป็นศิษย์ที่ไม่สนว่าจะดีจะชั่ว ขอแค่มีความแน่วแน่ก็พอ” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

“แต่ว่าประมุขพรรค ไม่สนดีชั่วกล่าวได้ว่ามองทุกคนเท่าเทียม ไม่สนใจคำวิจารณ์ภายนอก กระนั้นคำสอนของอาจารย์เล่า เกิดเจอศิษย์ทรยศที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ไม่ทะนุถนอม กลับข่มเหงอาจารย์ทำลายบรรพบุรุษจะทำอย่างไร” โอวหยางชีไม่เข้าใจความคิดของลู่เซิ่ง

“ไม่ว่าจะดีจะชั่ว ซื่อสัตย์หรือไม่ ขอแค่เข้าสำนักอาทิตย์ชาด ก็ตัดสินใจเองไม่ได้แล้ว…” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ

คนทั้งสองพอได้ยินคำพูดนี้ จิตใจเย็นเยียบ ไม่กล้าถามต่ออีก

ศิษย์ธรรมดาเหล่านี้ไม่มีทางแก้การควบคุมของข่ายกระเรียนหยินได้ การวางข่ายกระเรียนหยินหลักๆ อาศัยปราณหยินหยางขวดสมบัติ

คุณสมบัติของปราณขวดสมบัติได้แยกแยะไว้แล้วว่าคนเหล่านี้มีโอกาสค้นพบและถอนข่ายกระเรียนหยินได้หรือไม่ ด้วยข่ายกระเรียนหยินที่มีพลังยุทธ์พันปีของลู่เซิ่ง ความเป็นไปได้ที่จะถูกค้นพบแทบเป็นศูนย์

ลู่เซิ่งคิดจะให้ศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้ใช้ข่ายกระเรียนหยินฝึกฝนปราณภายในอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นแบบนี้ ยิ่งพลังยุทธ์ของพวกเขาล้ำลึก วิชากำลังภายในก็จะเชื่อมต่อกับข่ายกระเรียนหยินอย่างล้ำลึก พอสะสมทุกวันเข้า ข่ายกระเรียนหยินก็จะหลอมรวมกับตัวพวกเขามากกว่าเดิม

เป็นเพราะความแตกต่างทางธรรมชาติของพลังยุทธ์ พวกเขาจึงไม่อาจทำลายข่ายกระเรียนหยินที่ลู่เซิ่งทิ้งไว้ได้

นั่นเป็นเครือข่ายอันน่ากลัวที่ลู่เซิ่งผนึกรวมด้วยพลังยุทธ์นับพันปี นอกเสียจากว่าพวกเขาจะมีพลังยุทธ์พันปี แต่อายุขัยของพวกเขาไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงมีความเชื่อมั่น

เขาจะเปลี่ยนแดนเหนือทั้งหมดให้กลายเป็นคลังสำหรับดูดวิชากำลังภายในตามความหมายจริงๆ

ต่อให้ระดับความบริสุทธิ์และการปนเปื้อนของพลังยุทธ์จะแตกต่าง จนการดูดซับพลังยุทธ์หนึ่งปีจะได้ปราณภายในแค่หนึ่งดือน แต่นั่นเป็นแค่คนคนเดียว

ถ้าหากมีสิบสองคนฝึกฝนวิชากำลังภายในหนึ่งปีพร้อมกัน ก็จะเป็นปราณภายในหนึ่งปีหลังจากลู่เซิ่งดูดซับ

ถ้ามีหนึ่งร้อยยี่สิบคน ก็เป็นวิชากำลังภายในสิบปี

ถ้ามีหนึ่งพันสองร้อยคน ก็เป็นวิชากำลังภายในหนึ่งร้อยปีแล้ว!

ก่อทรายเป็นเจดีย์ เก็บเล็กผสมน้อย

การกระทำนี้จะถือเป็นพฤติกรรมชั่วร้ายหรือไม่ ลู่เซิ่งไม่นำพา

‘เรากำลังช่วยพวกเขา คนจำนวนมากไม่มีคุณสมบัติฝึกวรยุทธ์ เราทำให้พวกเขาได้โอกาสเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต’

ลู่เซิ่งมองการกระทำของตัวเองเป็นเหมือนการให้เช่า

เขาใช้ปราณภายในของตัวเองสร้างบ้านให้คนอื่นๆ อาศัยอยู่ด้านใน พวกเขามีความสุขกับตำแหน่งและการปฏิบัติอันสะดวกสบายซึ่งก็คือมีบ้านให้อยู่ แต่ในเวลาที่เหมาะสมก็สมควรจ่ายค่าเช่าให้เขา เรียบง่ายแบบนี้

“เอาล่ะ ทุกอย่างดำเนินการตามแผนเดิม ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ไม่ต้องมาหาข้า ทำให้ลุล่วงซะ” ลู่เซิ่งหยุดครุ่นคิด กล่าวราบเรียบ

“ขอรับ”

อวี้เหลียนจื่อกับโอวหยางชีแยกกันถอย ตอนที่ทั้งสองคนจากไป ก็งับประตูเบาๆ

ลู่เซิ่งยืนนิ่งที่หน้าต่างตามลำพังอยู่เนิ่นนาน

ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นยื่นไปนอกหน้าต่าง

พั่บๆ

นกประหลาดสีดำสนิทเหมือนกับอีกาที่มีหัวเป็นงูตัวหนึ่ง พุ่งมาที่นี่จากที่ไกลๆ หิมะทั่วฟ้าป้องกันการเคลื่อนที่ของมันไม่ได้แม้แต่น้อย

นกประหลาดทิ้งตัวลงกลางฝ่ามือลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา

หลอดทองแดงหลอดหนึ่งพันติดขานก ลู่เซิ่งปลดลงมา แล้วคลี่ออก

ในหลอดทองแดงเป็นกระดาษม้วนหนึ่ง

ลู่เซิ่งมองนก วางมันไว้ด้านข้าง สองมือคลี่กระดาษออก

‘เมืองชมฟ้าที่จงหยวนจัดงานชุมนุมร้อยเส้นสาย ข้ามีคุณสมบัติของตระกูล มีศิษย์แนะนำสองสามรายชื่อ เจ้าเลือกได้ว่าจะร่วมชุมนุมหรือไม่ ร้อยเส้นสายว่ากันว่ามีมากกว่าร้อยฝ่าย แต่ความจริงมีหกสิบสี่เส้นสาย เคล็ดวิชาตระกูลซั่งหยางไม่เหมาะกับเจ้า จึงถ่ายทอดให้ไม่ได้ แต่ทั่วไปเคล็ดวิชาร้อยเส้นสาย เจ้าเลือกฝึกฝนได้ ข้าขอแนะนำให้เจ้าไปเลือกฝ่าย’

คำพูดที่ซั่งหยางจิ่วหลี่เขียนบนม้วนกระดาษมีไม่มาก อาจเพราะมีพื้นที่จำกัด ลู่เซิ่งจึงจับต้นชนปลายไม่ถูก

“อิงอิง เจ้ารู้จักร้อยเส้นสายหรือไม่” ลู่เซิ่งเก็บม้วนกระดาษ ถามเบาๆ

แอ๊ด…

ตู้เสื้อผ้าเปิดออกช้าๆ สตรีกางร่มคุกเข่าพยายามกดเสื้อผ้าให้ลู่เซิ่งอยู่ด้านใน ด้านข้างนางยังมีเสื้อผ้ากองใหญ่ที่พับไม่ดีกระจายอยู่

“รู้…จัก…” อิงอิงได้ยินเสียง แหงนหน้ามองลู่เซิ่ง มือไม่หยุด พยายามกดต่อไป

เสื้อผ้าเหล่านี้หนาเป็นพิเศษ ตัวนางเล็กกระจิ๋ว แรงไม่เยอะ ได้แต่ใช้ทั้งตัวกด ออกแรงจนหน้าแดง

พลังของนางที่เพิ่งคืนชีพอ่อนแอจนไม่ต่างจากเด็ก บวกกับความแค้นที่ดูดซับน้อยเกินไป ทั้งมอบส่วนใหญ่ให้ท่านพี่ ที่เหลือใช้ไปกับการยืดร่าง นางในตอนนี้เป็นคนธรรมดา อย่างมากสุดก็มีท่าเท้าแผ่วเบา วิ่งเร็วนิดหน่อยเท่านั้น

เห็นสตรีกางร่มตัวน้อยกดเสื้อผ้าพลางส่งเสียงฮึดฮัด ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ตั้งใจจะทรมานนาง แต่ปัจจุบันเขามีความลับมากขึ้นเรื่อยๆ หญิงรับใช้ธรรมดาไม่อาจสนองความต้องการของเขาได้ จึงให้สตรีกางร่มรับตำแหน่งนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ปล่อยสตรีกางร่มไปไม่ได้

……………………………………….